วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

นโยบายจำนำข้าวของเพื่อไทย ทำลายชาติ !!





ผมเคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า แม้ไทยจะขายข้าวได้ราคาสูงขึ้น แต่กลับได้เงินจากการขายข้าวน้อยลง ในบทความเรื่อง ฟายแดงหลงดีใจ ปลัดหน้าปลาตีนบอกไทยส่งออกข้าวอันดับ1

ซึ่งในบทความนั้น ผมได้เคยคำนวณให้ดูแล้วว่า ประเทศไทยทำเงินหายจากการส่งออกข้าวตามนโยบายจำนำของรัฐบาลชั่ว ไม่ได้เงินมากขึ้นตามทีโม้ เพราะแค่5เดือนแรก ก็หายไปเกือบพันล้านบาทแล้ว แต่ใช้เงินในการซื้อข้าว(จำนำ)จากชาวนาสูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ลองกลับไปย้อนอ่านดูได้

และคงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ไทยเราเสียแชมป์ส่งออกข้าวอันดับ1ของโลก ให้อินเดีย อันดับ1 และเวียตนาม อันดับ 2 ส่วนไทยตกลงเป็นอันดับ3

หากการรับจำนำข้าว แล้วข้าวไทยขายออกไม่เหลือค้างสต๊อกบานเบอะ ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลชั่วกู้เงินธกส. มารับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าตลาดโลก จึงเป็นผลให้ไทยเราเหลือข้าวค้างโกดังมากมาย ที่ขายไม่ออก แล้วเงินที่กู้ธกส. ใครล่ะเป็นหนี้ ก็คือเงินภาษีของคนทั้งชาตินั่นแหละ ที่ต้องนำไปชดใช้

ถามว่าชาวนาได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำเต็มที่หรือไม่?

ตอบได้เลยว่า ไม่!! เพราะต้นทุนการผลิตทุกอย่างเพิ่มขึ้นหมด ทั้งค่าเช่าที่นา เจ้าของที่ดินก็เพิ่มค่าเช่าตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ ส่วนค่ายา ค่าปุ๋ย ค่าจ้างคนงาน ค่าจ้างเกี่ยว ฯลฯ ทุกอย่างมีต้นทุนเพิ่มขึ้นหมด

ผู้ที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือ บริษัทขายยา ขายปุ๋ย เช่นเจี่ยไต๋ ของซีพีเป็นต้น เพราะราคาของพวกนี้ขึ้นก่อนค่าแรงทันที

อีกทั้งชาวนาส่วนใหญ่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว ไม่มีลานตากข้าว พอจ้างรถมาเกี่ยวข้าวเสร็จ ก็จะรีบนำข้าวไปจำนำแก่โรงสีทันที ทีนี้ความชื้นข้าวก็สูง โรงสีก็จะกดราคารับจำนำให้ต่ำเกินความเป็นจริง ชาวนาจึงเหมือนถูกมัดมือชกให้ต้องขาย เพราะไม่มียุ้งฉางจะเก็บด้วย และเมื่อชาวนาขายข้าวไปแล้ว เมื่อหักต้นทุนการผลิตทุกอย่าง สรุปว่า จนไม่เปลี่ยนแปลง!!

พอโรงสีได้ข้าวจากชาวนาราคาต่ำ ก็จะเอาข้าวไปตากให้แห้ง ทีนี้ก็จะนำไปกินส่วนต่างราคาจำนำเต็มจากรัฐบาลได้ สบายๆ

ฉะนั้นชาวนาที่ได้ผลประโยชน์เต็มที่จริงๆ จึงไม่มากตามที่รัฐบาลโม้ ซึ่งเราสังเกตได้ว่า มีม็อบชาวนามาประท้วงเรียกร้องกับรัฐบาลอยู่เรื่องๆ ทั้งเรื่องโดนกดราคา ทั้งโดนโรงสีสวมสิทธิ นำข้าวเก่าในสต็อกโรงสีมาสวมสิทธิ รับราคาจำนำ

หรือแม้แค่ผลสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจม.หอการค้า พบว่า โครงการรับจำนำข้าวกลับไม่ได้ทำให้ชาวนามีคุณภาพชีวิตดีขึ้นแต่อย่างใด หนี้สินก็ไม่ได้ลดลง เพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมาก



ปี55 ประเทศไทยส่งออกข้าวได้น้อยลงกว่าปีที่แล้วแบบ หน้ามือเป็นหลังตีน ตัวเลขการส่งออกข้าวของไทย ฤดูกาล กย.54 ถึง 55



จากตัวเลขขายข้าวปีที่ผ่านมา คือประมาณ 4.87 ล้านต้น ราคาขายเฉลี่ยข้าวทุกประเภท อยู่ที่ 700เหรียญต่อตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา ไทยเราขายข้าวได้เงินเพียง 1.02 แสนล้านบาทเท่านั้น

หลายคนอาจไม่รู้ว่า เงินที่รัฐบาลนำมารับจำนำข้าวนั้น ปีที่ผ่านมาหมดไปแล้ว ร่วม5แสนล้านบาท แต่ขายข้าวไม่ออก เหลือบานเบอะในโกดัง ขาดทุนไปแล้วร่วมแสนล้านบาท (หากยังไม่นับข้าวที่เหลือค้างโกดัง)

หนี้เก่าที่กู้ธกส. ยังไม่ทันได้ใช่ รัฐบาลประกาศงบจำนำข้าวปี55/56 ต่อไปอีก 4.05 แสนล้านแล้ว บางทีถ้าไม่พอมีอนุมัติงบเพิ่มภายหลังอีก

เท่ากับว่า ปีนี้และปีหน้า รัฐบาลใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวไป ร่วมๆ 1ล้านล้านบาท !! นี่มันเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณประเทศชาติในแต่ละปีเลยนะครับ

ถ้าเงินเข้ากระเป๋าชาวนาเต็มที่ ก็ยังพอทน แต่มันกลับเป็นว่าเงินจำนำข้าวเข้ากระเป๋าพวกโรงสี นักการเมือง พวกบริษัทปุ๋ยยา มากกว่า (และพวกโกงจำนำด้วย)

แต่ที่น่าขำและเจ็บใจที่สุด คือข่าวที่เวียตนามขอบคุณรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ออกนโยบายจำนำข้าวโง่ๆ ออกมา ทำให้ข้าวไทยซื้อมาเก็บให้เหลือในโกดัง แต่กลับทำให้เวียตนามขายข้าวได้ดีจนกำลังจะก้าวเป็นอันดับ1 ของโลกแล้ว แถมชาวนาเวียตนามรวยกันทั่วหน้า

ลองอ่านข่าวนี้สิครับ เวียตนามขอบคุณนโยบายของรัฐบาลโง่ แถมเยาะเย้ยไทยไปในตัว



เวียดนามครองอันดับสองในฐานะกลุ่มประเทศส่งออกข้าวมากที่สุดของโลกรองจากไทยมายาวนาน แต่ในปีนี้เวียดนามคาดการว่าจะสามารถส่งออกข้าวได้ราวๆ 7 ล้านตัน มากกว่าการประมาณการส่งออกข้าวของไทยที่ราวๆ 6 ล้าน 5 แสนตันเท่านั้น (จริงๆไทยส่งออกได้น้อยกว่าที่เวียตนามคาด)

Nguyen Van Don ผู้บริหาร บริษัท Viet Hung บริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ของเวียดนาม บอกว่า ในปีนี้ยอดการส่งออกข้าวของเวียดนามจนถึงขณะนี้มีมากกว่าประเทศไทย ซึ่งต้องขอบคุณนโยบายการจำนำราคาข้าวของรัฐบาลไทยที่ส่งผลในยอดการส่งออกไทยลดลง!!

นักธุรกิจส่งออกข้าวชาวเวียดนาม บอกว่า เหตุผลก็คือนโยบายการจำนำราคาข้าวของไทยนั้นรัฐบาลจะสนับสนุนชาวนาไทยด้วยการรับซื้อข้าวในราคาสูงไปเก็บไว้ แต่เป็นเรื่องยากที่จะนำข้าวออกขายในตลาดโลกเพราะมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไป ทำให้แต่ละประเทศเช่นเวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน และพม่าต่างแข่งขันเพื่อแย่งตลาดในส่วนนี้ โดยเวียดนามมีคู่แข่งสำคัญคืออินเดีย

Nguyen Van Don บอกด้วยว่า การส่งออกข้าวของเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นยังมีส่วนมาจากยอดสั่งซื้อข้าวที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจากประเทศจีน ทำให้ปีนี้จีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดที่นำเข้าข้าวจากเวียดนาม ในจำนวนมากกว่า 2 ล้านตันแล้ว ทั้งๆที่ปีก่อนหน้านี้การค้าข้าวระหว่างจีนกับเวียดนามนั้นไม่ค่อยมีมากนัก แต่ในปีนี้จีนกลับกลายเป็นตลาดส่งออกข้าวหลักของเวียดนามไปแล้ว

อย่างไรก็ตามในวงการค้าข้าวจะทราบว่า ปกติแล้วข้าวเวียดนามนั้นมีคุณภาพที่ด้อยกว่าข้าวของไทย และมีตลาดการส่งออกข้าวที่ค่อนข้างต่างกัน แต่เจ้าหน้าที่ด้านการเกษตรของเวียดนามบอกว่า การส่งออกข้าวที่น้อยลงของไทยกลายเป็นโอกาสสำคัญของเวียดนามที่เพิ่มช่องทางใหม่ๆมากขึ้น

Huynh Cong Minh ผู้ช่วยผู้อำนวยการหน่วยงานด้านการพัฒนาการเกษตรและชนบท ในจังหวัดTien Giang แหล่งปลูกข้าวสำคัญทางตอนใต้ของเวียดนาม บอกว่า แม้จะยังถึงกับเป็นโอกาสทองของการส่งออกข้าวของเวียดนามเสียทีเดียว

แต่ถือเป็นจุดเริ่มของโอกาสในระยะยาวที่จะช่วยให้เวียดนามค่อยๆเปลี่ยนวิธีการเลือกพันธุ์ข้าวในการปลูก และเพิ่มพื้นที่การปลูกข้าวคุณภาพดีให้มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

เจ้าหน้าที่คนนี้บอกด้วยว่า กว่าร้อยละ 45 ของข้าวที่ปลูกในพื้นที่จังหวัด Tien Giang นั้นเป็นข้าวพันธุ์คุณภาพดี และกำลังวางแผนสนับสนุนเตรียมขยายพื้นที่ปลูกให้มากขึ้นเพื่อรองรับตลาดข้าวใหม่ๆของเวียดนาม

Nguyen Ngoc Phan ชาวนาในจังหวัดTien Giang บอกว่า เขามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากหันมาปลูกข้าวพันธุ์ดี มากว่า 5 ปี หลังได้รับการส่งเสริมจากเจ้าหน้าที่ให้ปลูกข้าวพันธุ์ดีคุณภาพสูงเมื่อหลายปีก่อน และแน่นอนว่าเมื่อปลูกข้าวคุณภาพที่ดีขึ้นรายได้ก็ดีขึ้นตามไปด้วย จนต้องขยายพื้นที่ปลูกข้าวพันธุ์นี้ให้มากขึ้นจนเต็มแปลงนาที่มีอยู่ทั้งหมด

แน่นอนว่าผู้คนในวงการข้าวของเวียดนามต่างยินดีที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกในปีนี้ และทราบดีว่าเงื่อนไขสำคัญที่จะสามารถรักษาตำแหน่งนี้ไว้ต่อไปคือ สภาพอากาศและปริมาณความต้องการข้าวของตลาดโลก แต่เจ้าหน้าที่เวียดนามย้ำว่า เป้าหมายในการรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวนั้นยังมีความสำคัญน้อยกว่าการเร่งส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพดีให้มากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการจากทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต

-----------------------

ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยต่ำกว่าเพื่อนบ้าน

ผลผลิตข้าวของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 459 กิโลกรัม/ไร่ ขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 1,270 กิโลกรัม/ไร่ เกาหลีใต้ 1,216 กิโลกรัม/ไร่

แม้ประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น เวียดนามเฉลี่ยอยู่ที่ 836 กิโลกรัม/ไร่ อินโดนีเซียเฉลี่ย 799.76 กิโลกรัม/ไร่ พม่าเฉลี่ย 653 กิโลกรัม/ไร่ ลาวเฉลี่ย 576 กิโลกรัม/ไร่ ฟิลิปปินส์เฉลี่ย 574 กิโลกรัม/ไร่

(ข้อมูลจากมติชนออนไลน์ เรื่อง "ข้าว-หลงทาง" เมินเพิ่มผลผลิตข้าวต่อไร่ จนเวียดนามแซงหน้า")

จากข้อมูลนี้ทำให้เราเห็นอะไร?

คำตอบก็คือ ชาวนาไทยใช้ปุ๋ยมาก ใช้ยามาก ใช้ต้นทุนการผลิตมากมายกว่าชาติอื่นๆ แต่กลับได้ผลผลิตต่ำกว่าชาติที่มีเทคโนโลยีการเกษตรต่ำกว่าไทยด้วยซ้ำ?? เพราะขนาดลาวยังได้ผลผลิตข้าวต่อไร่สูงกว่าไทยเลย!!

สาเหตุก็เพราะ ชาวนาหลงเชื่อแนวทางการเพาะปลูกแบบผิดๆ ไปเชื่อพวกบริษัทปุ๋ย ยา มากกว่า เชื่อในหลวง !! ซึ่งผมเคยได้อธิบายไปในหลายบทความแล้ว

ในเมื่อชาวนาไทยใช้ต้นทุนสูงกว่าประเทศอื่นๆ แถมได้ผลผลิตต่อไร่น้อยกว่าชาติอื่นๆ แบบนี้ชาวนาไทยจะไม่ยากจนได้อย่างไร แล้วแบบนี้บริษัทปุ๋ย ยา จะไม่รวยมหาศาลได้อย่างไรเล่า!!

------------------------------

ข้าวไทยแย่แน่หากเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน

ในเมื่อข้าวไทยแพงกว่าชาติอื่นๆ เมื่อเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียนแล้ว ก็จะมีข้าวจากต่างชาติเข้ามาขายในไทยได้มากขึ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดทางภาษี

ชาวนาไทย และคนไทยอาจหลงภูมิใจว่า หลงตัวเองว่า ไม่เห็นต้องกลัว ถึงข้าวไทยจะแพง แต่ข้าวไทยคุณภาพดีกว่าชาติอื่นๆ ขอบอกว่านั่นเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์!!

เพราะทุกชาติในอาเซียนก็กินข้าวเป็นอาหารหลัก เทคโนโลยีการปลูกข้าวไม่ได้สูงส่งจนไล่ตามกันไม่ทัน ฉะนั้นหากรัฐบาลชั่วยังใช้นโยบายจำนำข้าวต่อไป ก็จะทำให้ชาวนาไทยไม่สนการลดต้นการผลิต และการเพิ่มผลผลิตต่อไร่เท่าที่ควร เพราะนโยบายจำนำมันหลอกให้ชาวนาไทยหลงกับราคาข้าวที่สูงเกินจริง

ข้าวไทยแพง คนไทยกินข้าวแพง แน่นอนข้าวชาติอื่นคุณภาพใกล้เคียงข้าวไทย แต่ถูกกว่าข้าวไทยมาก คนไทยก็อาจต้องเลือกกินข้าวชาติอื่นๆ แทน เพราะมีหลายคนบอกว่า ข้าวหอมมะลิเขมร กับข้าวหอมมะลิเวียตนามก็อร่อยเหมือนกัน

---------------------------

ข้าวพม่า อร่อยที่สุดในโลก

แต่ก่อนที่พม่าจะปิดประเทศเป็นเผด็จการทหาร ในอดีต พม่าคือ ประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก !! และมาวันนี้พม่ากำลังเปิดประเทศ กำลังจะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

พม่าได้ประกาศแล้วว่า เป้าหมายของพม่าคือ จะขอกลับมาเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ1 ของโลก ซึ่งแน่นอนไทยเราต้องเจอคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดแล้ว เพราะพม่าเป็นยักษ์ที่หลับมานาน

ที่สำคัญ ในปัจจุบันนี้ ข้าวพม่าชนะเลิศความอร่อยอันดับ1 ของโลก ตามข่าวนี้

ข้าวพม่า โค่นแชมป์"หอมมะลิ"จากไทย ครองสุดยอดข้าวอร่อยที่สุดในโลก

หนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัลรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากการประกวดสุดยอดข้าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานการประชุมข้าวโลก ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19-21 ต.ค. ที่เมืองโฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม โดยในปีนี้ คณะกรรมการได้จากข้าวกว่า 30 สายพันธุ์ที่ส่งเข้าประชันงานประกวดข้าว โดยเกณฑ์การตัดสินข้าวจะพิจารณาจากรสชาติ สี และคุณภาพของตัวข้าวเป็นสำคัญ การประกวดที่เริ่มเมื่อ 2 ปีก่อน ภายใต้การสนับสนุนของไรซ์ เทรดเดอร์ส องค์การที่ปรึกษาข้าวระดับโลก โดยข้าวหอมมะลิของไทยได้ครองตำแหน่งสุดยอดข้าวไปครองติดต่อกันใน 2 ปีแรก ขณะที่ในปีนี้โดยตัดสินให้ข้าว "Pearl Paw San" จากประเทศพม่า ได้ตำแหน่งชนะเลิศไปครอง

นายไมเคิล ครอส พ่อครัวจากสถาบันด้านศิลปะการทำอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ จากเมืองซาเครเมนโต สหรัฐฯ กล่าวว่า คณะกรรมการตัดสินข้าวหลากหลายสายพันธุ์ โดยพิจารณาถึงคุณสมบัติของตัวข้าวเป็นหลัก โดยไม่มีส่วนผสมอย่างอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

ด้านนายเจเรมี สวิงเกอร์ ประธานสมาคมไรซ์ เทรดเดอร์ เปิดเผยว่า ผู้ผลิตข่าวทั่วโลกมักมีข้อถกเถียงกันมานานว่า ใครเป็นเจ้าของสายพันธุ์ข้าวที่มีรสชาติดีที่สุด และในบางชาติ นั่นอาจถือเป็นความภูมิใจของชาติ อีกทั้งข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ต่างก็มีความพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร โดยข้าวสายพันธุ์ที่พลาดแชมป์ไปอย่างฉิวเฉียดในปีนี้คือข้าวพันธุ์ Venere ซึ่งเป็นข้าวเม็ดสีดำที่ปลูกในอิตาลี และข้าวหอมมะลิจากไทย

นายอดัม แทนเนอร์ หัวหน้าพ่อครัวจากโรงแรมเชอราตัน ไซง่อน และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสิน ระบุว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมการตัดสินรสชาติข้าวที่มีสายพันธุ์ที่หลากหลายและมีคุณสมบัติแตกต่างกันตามแต่ละสายพันธุ์ ทำให้การตัดสินข้าวแตกต่างจากการชิมเครื่องดื่ม อย่างชา หรือไวน์ แต่โชคดีว่าทางงานประกวดมีเกณฑ์ในการตัดสินเป็นแนวทางให้คณะกรรมการ

ทั้งนี้ หนึ่งในเกณฑ์ที่สำคัญก็คือกลิ่นหอมเฉพาะของข้าวแต่ละสายพันธุ์ โดยข้าวพันธุ์ใดที่ยังคงรักษากลิ่นหอมเฉพาะนั้นๆ ไว้ได้หลังจากที่ผ่านการหุงให้สุกแล้ว ก็จะได้รับคะแนนอย่างท่วมท้นจากคณะกรรมการนอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ต้องบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ เมล็ดเต็มสมบูรณ์ และไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ

ด้านสมาคมอุตสาหกรรมข้าวพม่าเปิดเผยว่า ข้าวสายพันธุ์ Pearl Paw San ซึ่งชนะในการประกวดครั้งนี้ เป็นข้าวที่มีลักษณะเม็ดกลมหนา โดยมีความยาวประมาณ 5-5.5 มม. และเมล็ดข้าวจะมีขนาดยาวมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่าตัวเมื่อผ่านการหุงเรียบร้อยแล้ว และยังสามารถรักษากลิ่นหอมเฉพาะไว้ได้

ครอสและแทนเนอร์ เห็นว่า การที่ข้าวสามารถขยายขนาดได้เมื่อผ่านการหุง ความแน่นของตัวข้าวเมื่อเคี้ยวและผิวสัมผัสที่ดี ล้วนส่งให้ข้าวPearl Paw San ของพม่าเฉือนเอาชนะข้าวหอมมะลิของไทย และข้าวสีดำสายพันธุ์ Venere ของอิตาลีได้อย่างฉิวเฉียด

-----------------------

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ชาวนาไทยถ้ายังคิดเลือกพรรคเพื่อควายต่อไป ก็รอวันเจ๊ง จนมากขึ้นได้เลยครับ

คลิกอ่านต่อ ตอน2 คนไทยจ่ายภาษีให้ต่างชาติซื้อข้าวถูก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น