วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เครื่องบินแอร์เอเซียสูญหาย คือกฎแห่งกรรมลงโทษมาเลเซีย






เฟสบุ๊คแอร์เอเซีย ขึ้นหน้าปกสีดำ 


ก่อนอื่นต้องขออภัยคุณผู้อ่านก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้จะมาซ้ำเติมผู้โดยสารที่สูญหายและญาติ ๆ ของพวกเขาที่กำลังเศร้าโศกเพื่อรอคอยการกลับมาของญาติพี่น้อง

เพราะ ผู้โดยสารเหล่านั้นเป็นผู้ประสบเคราะห์ร้าย ที่น่าสงสารและน่าเห็นใจ

แต่ทีนี้ผมจะขอพูดในส่วนของกฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้นกับสายการบินของมาเลเซียอีกครั้ง เท่ากับเกิดหายนะกับสายการบินของมาเลเซีย 3 ลำแล้วในรอบ 1 ปี

การที่เกิดหายนะกับเครื่องบินของสายการบินเชื้อชาติมาเลเซียถึง 3 ลำใน 1 ปี นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

ผมขอเรียกเหตุการณ์แบบนี้ว่า "กรรมจัดสรร" จากบาปกรรมที่มาเลเซียก่อไว้กับ 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย จึงต้องพบหายนะซ้ำแล้วซ่ำเล่า

ทำไมต้องเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องบิน ?

เพราะเครื่องบินคือพาหนะที่บินได้ และถือเป็นพาหนะที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก การเกิดหายนะกับเครื่องบินจึงเสมือนเป็นการเตือนจากพระเจ้า (กฎแห่งกรรม) ที่มีต่อประเทศมาเลเซีย

ส่วนผู้โดยสารที่ประสบเคราะห์กรรมนั้น พวกเขาแค่มีชะตากรรมที่จะต้องเสียชีวิตในวันเวลาเดียวกันเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโจร 3 จังหวัดใต้ไทย

เพียงแต่ กฎแห่งกรรมได้จัดสรรให้พวกเขาได้มาขึ้นเครื่องบินของมาเลเซีย เพื่อให้เหตุปัจจัยถึงพร้อม เพื่อให้กฎแห่งกรรมลงโทษมาเลเซียเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์


ซึ่งผมเคยเขียนเรื่อง กรรมลงโทษมาเลเซีย มาแล้วหลายบทความ ตั้งแต่ MH370 สูญหายไป ต่อเนื่องกับ MH17 ถูกยิงตกในยูเครน และเตือนว่า หากมาเลเซียยังไม่หยุดสนับสนุนผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย จะต้องเกิดหายนะแบบนี้กับมาเลเซียอีก

โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมเพิ่งไปโพสทำนองนี้ไว้ที่คอลัมภ์เปลว สีเงิน  ซึ่งพอผ่านไปเพียงแค่วันเดียวก็เกิดเรื่องอีกจนได้




ล่าสุดเมื่อคืนนี้ผมได้ไปโพสที่เพจแอร์เอเซียของมาเลเซีย แล้วมีคนมาเลเซียถามผมกลับมา





จุดตกของเครื่องบินแอร์เอเซีย เที่ยวบิน QS8501 เส้นทางจากสุราบายัน ปลายทางที่สิงคโปร์




-----------------

จำนวนผู้สูญหายในเที่ยวบิน QS8501



แอร์เอเซีย เป็นสายการบินราคาถูกของเอกชนมาเลเซีย สายการบินโลว์คอสที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย ซึ่งเดิมถือกำเนิดจากรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งของมาเลเซีย แต่พบสภาวะขาดทุนจึงขายกิจการให้เอกชนไป

ซึ่งแอร์เอเซียได้ไปเปิดสายการบินในอีกหลายประเทศในเอเซีย โดยร่วมทุนกับกลุ่มทุนในประเทศนั้น ๆ เช่น ไทยแอร์เอเซีย ก็มีกลุ่มทุนของไทยถือหุ้น 51.1 % แล้วก็มีแอร์เอเซียมาเลเซียถือหุ้น 48.9 %

เช่นเดียวกันแอร์เอเซียอินโดนีเซียก็มีแอร์เอเซียมาเลเซียถือหุ้นอยู่ 48.9 % เหมือนกัน

แม้อุบัติเหตุจะเกิดกับสายการบินแอร์เอเซียของอินโดนีเซียก็ตาม แต่บริษัทแม่อย่างแอร์เอเซียมาเลเซียก็ถือเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เพราะความจริงเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่สุดในบริษัทแอร์เอเซียอินโดนีเซีย

หลังจากเกิดเหตุการเครื่องบินสูญหายครั้งนี้ ก็ทำให้หุ้นของแอร์เอเซียตกหนักที่สุดในรอบ 3 ปี เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของสายการบิน

โฆษณาเขียนว่า มาเลเซียและแอร์เอเซีย จะบินสูงด้วยกัน (รับกรรมร่วมกัน)


ผมอยากจะเตือนคุณผู้อ่านทุกท่านว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าไปใช้สายการบินใด ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศมาเลเซียเลยครับ

เพราะผมเชื่อว่า หายนะกับเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียจะมีตามมาอีกแน่นอน ตราบใดที่โจร 3 จังหวัดใต้ไม่เลิกทำร้ายประเทศไทย


น้องน็อต ชนันภรณ์ รสจันทน์ อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์ส 2548 ที่ไปเป็นนักบินของสายการบินไทยแอร์เอเซีย เธอได้ขึ้นหน้าปกรายงานผลประกอบการประจำปี 2013 ของบริษัทแม่สายการบินแอร์เอเซีย





ถึงอย่างไร ผมก็ต้องแสดงความเสียใจกับญาติของผู้สูญเสียทุกคน เพราะใจเขาใจเรา ซึ่งหากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวเรา เราก็คงรู้สึกทุกข์มหาศาลเช่นกัน


ชาวสิงคโปร์ มารอรับญาติในเที่ยวบิน QZ8501 ที่สนามบินชางฮี



บทความเก่าที่เกี่ยวข้อง

คลิกอ่าน ทฤษฎีแหวกแนวกรณี MH370 MH 17 ใครทำ

คลิกอ่าน มาเลเซียต้องถูกลงโทษเพราะบาปกรรมที่ก่อกับไทย

คลิกอ่าน อาถรรพ์ที่ทำให้เครื่องบินมาเลเซียสูญหายไร้ร่องรอย

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สาวไทยอกหักเพราะปีหน้า ชัปปุยส์ จะพาแฟนสาวชาวสวิสมาอยู่ด้วย









ชาริล ชัปปุยส์ นักเตะรูปหล่อทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดทวงแชมป์อาเชียนคัพ ลูกไทยครึ่งสวิส เขามีแฟนแล้ว เป็นสาวสวิสเชื้อสายโปรตุเกส ชื่อ เมลานี มานูเอล เธอมีอาชีพเป็นแฮร์สไตลิสท์ หรือช่างเสริมสวยออกแบบทรงผม

ซึ่งชัปปุยส์ ให้สัมภาษณ์ในรายการที่นี่หมอชิต ว่า ตอนอยู่สวิส ก็ได้แฟนสาวคนนี้ช่วยตัดผมให้เขาทุกครั้ง แล้วปีหน้ามีโครงการว่าจะให้แฟนมาอยู่ที่ไทยด้วยกัน !!!

สงสัยชัปปุยส์ คิดถึงฝีมือการตัดผมแฟนสาวของเขาเป็นแน่แท้ 555













ชมรายการที่นี่หมอชิต ไปสัมภาษณ์ ชาริล ชัปปุยส์ ถึงห้องพักส่วนตัว

ไปฟังชัด ๆ ชัปปุยส์ บอกจะพาแฟนมาอยู่เมืองไทยด้วยกันในปี 2558



ขำขัน เค้าเรื่องจริงนะ

รายงานข่าวทุกสื่อแจ้งว่า ชัปปุยส์ จะบินกลับสวิสเซอร์แลนด์ในเที่ยงวันจันทร์ที่ 2 ธันวาคมทันที

นักข่าว : ทำไมรีบกลับล่ะคะ ทำไมไม่อยู่ร่วมฉลองชัยชนะกับเพื่อนร่วมทีมให้นาน ๆ ก่อน ยิ่งรายการเจาะข่าวเด่นของสรยุทธเนี่ย อดได้ชัปปุยส์ไปเอาหน้าในรายการเลยนะคะ"

ชัปปุยส์ "คือผมดีใจมากที่ยิงประตูสำคัญให้ทีมไทยได้ ผมเลยอยากกลับไปยิงประตูสำคัญที่สวิสบ้างน่ะครับ อดอยากปากแห้งมานาน"

55555555555555 /@akecity

พอถึงสวิสปั๊บ โดดเข้าจูบปุ๊บ

รูปจากเพจ ชาริล ชัปปุยส์แฟนคลับ


คลิกอ่าน เหตุผลที่ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซูซูกิคัพ 2014


วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แนะวิธีแก้ปัญหายางพาราราคาตก ให้พลเอกประยุทธ์







ได้ดูพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพูดมาจากเกาหลีใต้เรื่องยางพารา ในรายการคืนความสุข

พลเอกประยุทธ์ บอกว่า ประเทศที่เจริญแล้ว รวมทั้งประเทศรอบบ้านเราเขาไม่มีการอุดหนุนสินค้าการเกษตรกันแล้ว เพราะมันผิดกฎหมาย และไม่ใช่การแก้ปัญหาให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน

ส่วนประเทศที่ปลูกยางพาราขายแข่งกับไทยทุกประเทศเขามีต้นทุนผลิตน้ำยางพาราตกกิโลกรัมละ 35- 45 บาทเท่านั้น

ในขณะที่ชาวสวนยางพาราไทยมีต้นทุนการผลิตน้ำยางพาราสูงถึงกิโลกรัมละ 60 กว่าบาท แล้วแบบนี้ยางพาราจะไปขายแข่งกับเขาได้อย่างไร

-------------------

ประเทศไทยผลิตยางพาราส่งออกมากที่สุดในโลก ผลิตไว้ใช้เองในประเทศ 13 % ส่งออกไปขายประมาณ 87 % แต่การส่งออกเริ่มลดลงเพราะ

เพราะเดี๋ยวนี้จีน ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของไทย เขาหันไปซื้อยางพาราจากประเทศเพื่อนบ้านเรามากขึ้นเพราะราคาถูกกว่า ประกอบกับจีนก็ปลูกยางพาราเองด้วย แล้วแบบนี้ยางพาราไทยก็ยิ่งตกอยู่ในสภาวะขายไม่ออก ราคาก็ยิ่งตกฮวบ ๆ เป็นธรรมดา

ดังนั้นไทยจึงจำเป็นต้องทำการแปรรูปยางพาราให้เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้มากขึ้น อย่างน้อยต้องแปรรูปไว้ใช้เองในประเทศหรือแปรรูปเพื่อการส่งออกอย่างน้อย 50 % หรือยิ่งแปรรูปได้ยิ่งมากก็ยิ่งดี และอย่าเพิ่มพื้นที่ปลูกยางมากไปกว่านี้ เพราะยิ่งปลูกเยอะก็ยิ่งเจ๊ง

จริง ๆ ผมก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นะ ว่า ทำไมประเทศที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลกอย่างไทย ซึ่งน่าจะมีการนำยางพาราไปผลิตยางรถยนต์จำนวนมาก แล้วทำไมยางพาราไทยถึงยังเหลือคามากมายขายไม่ค่อยออก หรือว่าบริษัทยางรถยนต์ในไทยเขาไม่ค่อยได้ใช้ยางพาราไทย ? หรือว่าใช้ แต่ก็ยังใช้น้อย

พอนึกถึงข่าวพื้นยางปูสนามฟุตซอลโรงเรียน ที่โกงกินกันสะบัด คุณภาพยางปูพื้น ซึ่งเป็นยางสังเคราะห์ก็ห่วยไม่ได้มาตรฐาน

มันยิ่งทำให้ผมคิดว่า เพราะคุณภาพการแปรรูปยางพาราของไทยมันห่วยด้วยหรือไม่ ก็ขนาดยางปูพื้นฟุตซอลยังไร้มาตรฐาน คนซื้อเขาเลยไปหาซื้อผลิตภัณฑ์ยางปูพื้นจากนอกดีกว่า ?

ฉะนั้นการผลิตสินค้าไร้คุณภาพ ก็น่าจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพาราของไทยจึงไม่ค่อยได้รับความสนใจจากต่างประเทศ พูดง่าย ๆ คือ ขายไม่ค่อยออก

จนทำให้อุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราในประเทศไทยจึงมีน้อย จนไม่พอกับปริมาณยางพาราดิบที่ไทยเราผลิตได้

ผมลองไปค้นดูว่า ยางพาราส่วนใหญ่เขานำไปแปรรูปเป็นอะไรบ้าง แต่เป็นข้อมูลปี 2553 ก็มีดังนี้

1. ยางยานพาหนะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดของประเทศในปี 2552 มีมูลค่าการส่งออก 68,726.08 ล้านบาทได้แก่ ล้อรถยนต์ ล้อเครื่องบิน ล้อรถจักรยายนต์ ล้อรถจักรยาน และล้อรถอื่นๆ ทั้งยางนอกและยางใน รวมถึงยางอะไหล่รถยนต์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ยางในกลุ่มนี้มีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบเกือบร้อยละ 50 โดยใช้ประมาณ ปีละ 158,883 ตัน

2. ยางยืดและยางรัดของ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางธรรมชาติจำนวนมากในส่วนผสมยางยืดใช้ใน อุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าต่างๆ ส่วนยางรัดของก็ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันใช้ยางธรรมชาติในการผลิตถึงปีละ 90,561 ตัน หรือร้อยละ 28.22

3. ถุงมือยางทางการแพทย์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าส่งออกรองจากยางยานพาหนะ ปี 2553 มีมูลค่าการส่งออก 2,274.9 ล้านบาท ถุงมือยางที่ผลิตในประเทศไทย ประกอบด้วย ถุงมือตรวจโรค และถุงมือผ่าตัด สำหรับวัตถุดิบยางธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตถุงมือยาง เป็นนํ้ายางข้น มีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติปีละ 57,120 ตัน ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ17.80 ของปริมาณการใช้ยางทั้งหมด

4. รองเท้าและอุปกรณ์กีฬา รองเท้ายางและพื้นรองเท้าที่ทำจากยางธรรมชาติรวมทั้งอุปกรณ์กีฬาบางชนิด มีส่วนผสมที่เป็นยางธรรมชาติและผลิตในประเทศไทยปีหนึ่งจำนวนไม่น้อย ในปี 2549 ใช้ยางธรรมชาติในการผลิตประมาณ 8,492 ตัน

5. สายพานลำเลียง ใช้งานในการลำเลียงของหนักชนิดต่างๆ มีขนาดตั้งแต่ 2-3 นิ้ว ไปจนถึง 1.5 เมตร ผลิตภัณฑ์ยางกลุ่มนี้มีการนำเข้ามากกว่าการส่งออก โดยในปี 2549 มีมูลค่าการส่งออก 1,057 ล้านบาท และนำเข้า 1,620 ล้านบาท ในการผลิตสายพานใช้ยางปีละประมาณ 1,318 ตัน เป็นยางแผ่นรมควันชั้น 1,3,5 และยางแท่ง STR XL, 20

6. ผลิตภัณฑ์ฟองนํ้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนํ้ายางข้น ปี 2549 มีปริมาณการใช้ยางธรรมชาติ 364 ตัน ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศ มีโรงงานผลิต 12 โรง

7. สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอน โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ จะใช้วัสดุจำพวกยางและนำเข้าจากต่างประเทศ ให้ความรู้สึกในการปฏิบัติงานเหมือนของจริง ยางพาราสามารถนำไปใช้ผลิตสื่อการสอน การฝึกปฏิบัติงานได้เป็นอย่างเช่นกันโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยางฟองนํ้า เช่น โมเดล ร่างกายมนุษย์, สัตว์ แขนเทียมสำหรับฝึกทางการแพทย์ เป็นต้น

8. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างและวิศวกรรม
8.1 ยางรองคอสะพาน (Elastomeric Bearings for Bridges) หรือแผ่นยางรองคอสะพาน (Rubber Bridge Bearigs) แบ่งตามชนิดของยางที่ใช้ผลิตเป็น 2 ประเภท คือ ยางรองคอสะพาน ทำจากยางสังเคราะห์ Polychloroprene, (CR) or Neoprene และทำจากยางธรรมชาติ (Natural Rubber, NR) ซึ่งทั้ง 2 ประเภท มีทั้งแบบแผ่นยางล้วน (Plain) และแบบที่มีวัสดุเสริมแรง (Laminated) สำหรับการเลือกใช้ยางตามประเภท ชนิด และแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับการกําหนดมาตรฐานของผู้ออกแบบและ / หรือของผู้ก่อสร้าง

8.2 แผ่นยางกันนํ้าซึม (Water Stop) ทำหน้าที่เหมือนปะเก็นของงานคอนกรีต ใช้ป้องกันการขยายตัว หรือ หดตัวของคอนกรีต เพื่อไม่ให้นํ้ารั่วซึมหรือผ่านได้ ในงานก่อสร้างทั่วไป เช่น คอนกรีต คานสะพาน อาคารชั้นใต้ดิน ดาดฟ้า เป็นต้น รวมทั้งงานก่อสร้างที่โครงสร้างต้องสัมผัสกับนํ้าตลอดเวลา เช่น แท้งค์นํ้า บ่อบำบัดนํ้าเสีย สระว่ายนํ้า คลองส่งนํ้า เขื่อนและฝาย เป็นต้น

8.3 ยางกันชนหรือกันกระแทก (Rubber of Rubber Bumper) ใช้เป็นเครื่องป้องกันการเฉี่ยวหรือการกระแทกของเรือ หรือรถเมื่อเข้าจอดเทียบท่า ใช้วัตถุดิบผลิตได้ทั้งยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์

8.4 ยางคั่นรอยต่อคอนกรีต (Rubber Hose for Joint of Rubber Sealant) มีลักษณะเป็นท่อยางขนาดเล็กมีรูกลางตลอดความยาว ใช้อุดรอยต่อด้านล่างของคอนกรีตของสะพาน หรือรอยต่อระหว่างคานสะพานกันตอม่อของสะพานก่อนการหยอดยางมะตอย วัตถุดิบที่ใช้ผลิตทั้งจากยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ แต่มักมีการกําหนดให้ใช้ยางสังเคราะห์

8.5 บล็อกยางปูพื้น (Rubber Block) ใช้ปูพื้นแทนอิฐบล็อกคอนกรีต บล็อกยางมีข้อได้เปรียบบล็อกคอนกรีตคือเบากว่า ผิวมีสปริง ยืดหยุ่นได้เวลาลื่นล้มจึงไม่บาดเจ็บมากและไม่เป็นแผล ส่วนใหญ่มักผลิตจากยางธรรมชาติผสมกับยางรีเคลมธรรมชาติหรือสังเคราะห์ ปัจจุบันยังไม่ค่อยนิยมใช้ยางบล็อกปูพื้นเพราะราคาค่อนข้างสูงกว่าบล็อกคอนกรีต

8.6 แผ่นยางปูอ่างเก็บนํ้า (Rubber Water Confine) เป็นผลิตภัณฑ์ยางที่สามารถใช้ยางธรรมชาติปูรองสระ เพื่อเก็บกักนํ้าบนผิวดินที่เก็บนํ้าไม่ได้ เช่น ดินปนทราย ดินลูกรัง โดยมีสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2529 และสามารถพัฒนาได้กว้างขวาง ได้แก่ ใช้เก็บกักนํ้าสำหรับเกษตรกร ใช้งานในสนามกอล์ฟและรีสอร์ท ใช้ในงานชลประทาน บ่อบำบัดนํ้าเสียของโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถกักเก็บนํ้าได้ โดยทั่วไปวัตถุดิบที่ใช้ในการปูสระกักเก็บนํ้าสามารถใช้เป็นยางธรรมชาติ หรือยางสังเคราะห์ หรือ พลาสติก หรือผ้าใบเคลือบยาง

8.7 ฝายยาง (Rubber Dam) หรือเขื่อนยางส่วนใหญ่ผลิตจากยางสังเคราะห์แต่ผู้ผลิตให้ความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะใช้วิธีการเคลือบชั้นนอกของตัวฝายยางด้วยยางสังเคราะห์ และภายในใช้ยางธรรมชาติแต่ความเป็นไปได้นี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ใช้อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่ค่อยเป็นที่สนใจของผู้ผลิตภายในประเทศ เพราะมีผู้ใช้จำกัดเพียงกรมชลประทานและมีราคาสูง แต่ข้อดีของฝายยางธรรมชาติ คือสามารถปรับระดับความสูงของฝายได้ตามความเหมาะสมของระดับนํ้า ซึ่งสามารถลดแรงกระแทกจากนํ้าหลากและช่วยระบายนํ้าป้องกันนํ้าท่วมล้มตลิ่ง อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดนํ้าล้นหน้าฝาย ป้องกันตะกอนทราย ตกตะกอนหน้าฝายได้ นอกจากนี้ในฝายที่อยู่บริเวณปากแม่นํ้าจะสามารถป้องกันนํ้าเค็มรุกลํ้าเข้ามาในพื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่อยู่อาศัยอีก ทั้งฝายยางยังทนทานต่อการกัดกร่อนของนํ้าเค็มได้ดีกว่าบานประตูระบายนํ้าที่ทำด้วยเหล็ก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้ศึกษาสูตรผลิตแผ่นฝายยางโดยการใช้ยางธรรมชาติผสมยางสังเคราะห์ EPEM และทดลองติดตั้งฝายยางเมื่อปี 2537

8.8 แผ่นยางปูพื้น (Rubber Floor Mat) ส่วนใหญ่ผลิตจากยางธรรมชาติ ใช้ปูพื้นหรือทางเดินบนอาคารโรงงาน สำนักงาน สนามบินใช้ได้ทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่ลาดเอียง เพื่อป้องกันการลื่น และลดเสียงที่เกิดจากการเดิน หรือการกระแทก

9. การใช้ยางพาราผสมยางมะตอยสำหรับทำผิวถนน ปัจจุบันการคมนาคมขนส่งมีความสำคัญและมีการขยายตัวมาก โดยเฉพาะถนนถือเป็นปัจจัยหลักของการคมนาคมแลถนน แต่มักจะประสบปัญหาในเรื่องเกิดการชำรุดเสียหายเร็วกว่าปกติ การปรับปรุงสมบัติของยางมะตอยให้ใช้ในงานทางให้ดีขึ้นจะช่วยให้ถนนมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น โดยใช้ยางพาราผสมยางมะตอยในอัตราร้อยละ 5 ทำให้ยางมะตอยมีความแข็งมากขึ้นมีความอ่อนตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ดังนั้นถนนที่ราดยางมะตอยผสมกับยางพาราจะมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น และมีการเกิดร่องล้อน้อยกว่าการใช้ยางมะตอยปกติ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม บำรุงรักษาและเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้นด้วย (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)


---------------

ถ้าดูจากข้อมูลข้างต้น ที่แน่ ๆ ในวันนี้ อุตสาหกรรมรองเท้ากีฬาของไทยก็เจ๊งไปหลายโรงงานแล้ว เพราะนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทำโรงงานปิดตัวหนีไปตั้งโรงงานในประเทศอื่นดีกว่า เขาก็คงไปซื้อยางพาราจากเพื่อนบ้านเราแทนด้วย

ถุงมือยาง และถุงมือทางการแพทย์ วันนี้ก็โดยเวียดนามเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมาก เพราะคุณภาพดีจนมีสกู๊ปข่าวต่างประเทศเคยนำเสนอ แถมราคาถูกกว่าถุงมือไทย

คู่แข่งสำคัญอีกประเทศคือ มาเลเซีย ที่เน้นแปรรูปยางพาราจากการซื้อยางพาราจากต่างประเทศไปแปรรูปมากกว่าใช้ยางพาราที่ผลิตเอง ในวันนี้มาเลเซียผลิตยางพาราในประเทศไม่พอใช้สำหรับการแปรรูปแล้ว

เพราะมาเลเซียไม่มีการส่งเสริมการปลูกยางพาราในประเทศอีกแล้ว เขาเน้นแปรรูปยางด้วยการนำเข้ายางพาราจากต่างประเทศมาใช้มากกว่า

----------------------

“ลู่-ลานกรีฑา” ฝีมือไทยสร้างราคายางพารา



ดร.อรสา อ่อนจันทร์ นักวิจัยอาวุโส กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยแก่มทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ว่า ได้ร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทยพัฒนา “ลู่-ลานกรีฑา” ที่ผสมยางธรรมชาติ ซึ่งเป็นงานวิจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ยางพาราได้

“ตามปกติสนามกรีฑาประเภทลานดินจะต้องใช้วัสดุปูพื้นที่ได้รับมาตรฐานหรือมีสมบัติตรงตามข้อกำหนดสหพันธ์กรีฑานานาชาติ (IAAF: International Association of Athletics Federations) ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับการบันทึกสถิติโลก แต่ที่ผ่านมาเราต้องนำเข้าทั้งเทคโนโลยีและยางสังเคราะห์ราคาแพงสำหรับวัสดุปูพื้นนี้ จึงเกิดความร่วมมือในการพัฒนาวัสดุปูพื้นที่มีราคาถูกลง และใช้ยางธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์ที่ต้องนำเข้า” ดร.อรสาเผย

หลังจากใช้เวลา 2-3 ปีทางทีมวิจัยได้พัฒนาพื้นลู่-ลานกรีฑาที่มีค่าคุณสมบัติต่างๆ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดโดย IAAF ซึ่งวัสดุปูพื้นดังกล่าวเป็นวัสดุ 2 ชั้นประกบกัน ในส่วนของชั้นล่างเป็นชั้นรองรับน้ำหนักพื้น มีความหนา 10 มิลลิเมตร ทีมวิจัยสามารถทดแทนการใช้ยางสังเคราะห์ได้ 100% โดยใช้พอลียูรีเธนและยางธรรมชาติหรือเม็ดยางดำที่เรียกว่า “เม็ดยางครัมบ์” ซึ่งได้จากยางรยนต์เสื่อมสภาพ ในส่วนชั้นบนเป็นชั้นสร้างแรงเสียดทานของผู้ใช้กับพื้นสนาม มีความหนา 2-3 มิลลิเมตร ทีมวิจัยใช้ยางธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์ได้ถึง 60%

ผลจากการพัฒนาดังกล่าว ดร.อรสาระบุว่า ช่วยลดค่าใช้สำหรับวัสดุปูพื้นสนามกรีฑาได้ถึง 30% โดยวัสดุเดิมที่ผลิตขึ้นจากยางสังเคราะห์นั้นมีราคาที่ตารางเมตรละ 2,500 บาท แต่วัสดุที่พัฒนาขึ้นมาใหม่นี้มีราคาตารางเมตรละ 1,700 บาท โดยคำนวณจากต้นทุนยางพารากิโลกรัมละ 50 บาท ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายสร้างสนามกรีฑาที่มีพื้นที่ 6,500 ตารางเมตรลงได้ถึง 5.2 ล้านบาท และสนับสนุนการใช้ยางธรรมชาติซึ่งผลิตในประเทศได้ถึงสนามละ 12 ตัน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าให้แก่ยางพาราไทยได้

http://astv.mobi/Ay3u2eQ

---------------

ที่นอนยางพารา นอนสบายที่สุดในโลก

ทีนี้ผมมาคิดถึงที่นอนยางพาราแท้ 100 % จะมีราคาแพงมาก คนไทยส่วนใหญ่ที่ฐานะไม่ดีนัก จึงไม่มีโอกาสได้ซื้อที่นอนยางพาราแท้ ๆ 100 % มานอนกัน

ถ้าคุณผู้อ่านลองเสิร์ชราคาที่นอนยางพาราแท้ ๆ 100 % ดูในกูเกิลสิครับ เห็นแล้วจะหนาวว่า ราคามันแพงจริง ๆ

ผมเลยนำราคาที่นอนยางพาราจากยี่ห้อดังยี่ห้อนึงมาให้ดู ในรุ่นที่ถูกที่สุด ราคาก็ตามความกว้างและความหนา ลองดูสิครับ ราคาหลักหมื่นขึ้นไปทั้งสิ้น


กว้าง x หนา (ส่วนความยาวมาตรฐานคือ 6.5ฟุตทุกขนาด)

ลองดูขนาดกว้าง 3.5 ฟุต หนา 4 นิ้ว เป็นที่นอนขนาดเล็กสำหรับนอนคนเดียวยังราคาตั้ง 11,050 บาทเลยครับ จัดว่าแพงสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ทั่วไปจะซื้อมาใช้ จนทำให้มีผู้ผลิตที่นอนยางพาราแท้ (แต่ปลอม) ออกมาหลอกขายมากมาย จนเป็นปัญหาของผู้บริโภคไม่น้อยทีเดียว

ที่นอนยางพาราถือว่า เป็นที่นอนที่นอนสบายที่สุด ใครมีที่นอนยางพาราแท้ ๆ นอนคงจะรู้ดี

ผมถึงอยากให้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ น่าจะลองส่งเสริมให้มีการผลิตที่นอนยางพาราแท้ ๆ 100 % ให้มาก ๆ เพื่อจะได้นำมาขายในราคาประหยัดกว่านี้ สมราคาหรือถูกกว่าที่ขายอยู่กันในตลาดที่นอนวันนี้ มาขายให้คนไทยได้นอนที่นอนยางพารามากขึ้น

เช่นให้กองทัพบก มาผลิตที่นอนยางพาราแท้ 100 % ขาย เหมือนสมัยก่อนที่กองทัพบกเคยผลิตทีวียี่ห้อ RTA ออกมาขายในราคาประหยัดไงครับ

ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยผลิตยางพาราได้มากที่สุดในโลก แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับไม่มีโอกาสได้นอนที่นอนดี ๆ แบบนี้ เพราะราคาจัดว่าแพงสำหรับคนไทยทั่วไป

ช่างน่าเศร้าจริง ๆ


ตัวอย่าง ที่นอนท๊อปเปอร์ยางพาราแท้ 100 % ขนาด 3 ฟุต หนา 1 นิ้ว ราคา 3,000 บาท นี่คือสินค้าที่ถูกที่สุดแล้ว สำหรับยี่ห้อที่ดังที่สุดในเรื่องที่นอนยางพาราแท้


ที่นอนยางพารา หมอนยางพาราเท่านั้น คือทางออกของประเทศไทย ในการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เพราะที่นอนยางพาราแพงมาก

ถ้านำน้ำยางพารามาผลิตที่นอนยางพารากันเยอะ ๆ เพราะเทคโนโลยีที่นอนยางพาราไม่ได้สูงมากแล้วในปัจจุบัน

ถ้าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่นอนยางพารากันเยอะ ๆ จะช่วยให้คนไทยมีโอกาสซื้อที่นอนยางพาราแท้ 100 % ได้มากขึ้น เพราะราคาจะถูกลง หากมีผู้ผลิตที่นอนยางพารามากขึ้น

เพราะปัญหาตอนนี้คือ ยางแผ่นดิบมันมีมากเกินความต้องการในต่างประเทศแล้ว ต้องแปรรูปเยอะ ๆ ในประเทศเท่านั้น คือทางออก

การทำที่นอนยางพารา จะช่วยให้ราคายางแผ่นดิบราคาดีขึ้น แต่กลับทำให้ที่นอนยางพาราราคาถูกลง (ที่นอนยางพาราจะใช้น้ำยางดิบในการผลิต)

การทำถนนผสมยางพารา มันไม่พอช่วยเกษตรกรได้ทันหรอกครับ เพราะการทำถนนใช้ยางพาราใช้ในเปอร์เซนต์ที่น้อยมาก เพราะใช้ยางพาราแค่10 % ที่ต้องนำมาผสมกับยางมะตอย 90% (ตามสูตรที่เหมาะสมที่สุด)


คลิกที่รูปเพื่อไปดูรูปการผลิตหมอนยางพารา จ.พัทลุง



เบาะรองนั่งยางพาราแท้ 100 %


นี่แหละสิ่งที่ผมอยากได้ตอนนี้มากที่สุด เบาะรองนั่งดี ๆ

เพิ่งเจอในเว็บ ทำจากยางพาราแท้ 100 % แต่ติดตรงที่รู้สึกราคามันแพงไปหน่อย หนา 1 นิ้ว ราคาตั้ง 600 บาท แถมใหญ่ไปหน่อย

ถ้าได้เล็กกว่านี้สักนิด ถูกกว่านี้เยอะ ๆ จะดีมาก

ผมแนะนำเกษตรกรสวนยางพาราเลย ว่า น่าจะทำเบาะรองนั่งขาย ไม่น่าจะยากอะไร ขอให้กรมส่งเสริมวิทยาศาสตร์ฯ มาช่วยให้คำแนะนำการผลิตน่าจะได้

ผมว่า จะขายดี ๆ มาก ๆ เลย เชื่อผม (โคตรอยากได้มากเลย)


คลิกอ่าน ชาวสวนยางพาราหัดอยู่บนโลกความจริงบ้าง

คลิกอ่าน สาเหตุที่ยางพาราไทยราคาตก


วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ร่วมใจปกป้องในหลวง เป็นพลังสามัคคี คือพลังแผ่นดิน








ณะที่ผมเขียนบทความนี้ คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำให้ในหลวงทรงงดเสด็จออกมหาสมาคม 5 ธ.ค. เพราะพระวรกายยังไม่พร้อม

ก็คงทำให้ประชาชนชาวไทยต้องผิดหวังที่จะได้เข้าเฝ้าและเฝ้ารอชมการถ่ายทอดสดทางทีวีไม่น้อย แต่ก็เราต้องยอมรับว่า ช่วงนี้ในหลวงทรงยังไม่แข็งแรงพอ

แต่ไม่เป็นไร ความจงรักภักดีของพวกเราสามารถส่งไปถึงในหลวงได้อยู่แล้ว


เมื่อพูดถึงพระราชกรณียกิจของในหลวง  2 วันก่อนผมดูสารคดีเรื่องการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรเมือง 40-50 ปีที่แล้ว

ในถิ่นทุรกันดารสมัยก่อน ถนนก็คือลูกรังบ้าง ถนนทางเกวียนบ้าง เดินทางยากลำบากมาก ๆ

แล้วขอให้คุณผู้อ่านลองนึกภาพตามนะครับ สมัยก่อนถนนหนทางไม่ดีเลย แถมรถพระที่นั่งเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เวลาเสด็จก็ต้องเปิดหน้าต่างกระจกรถตลอดเวลา

ถ้าบางทีไปเจอถนนที่ฝุ่นมาก ๆ ก็ต้องปิดกระจกรถลง เพราะไม่งั้นฝุ่นก็เข้ามาฟุ้งในรถ

พอปิดกระจก อากาศภายในรถก็ต้องร้อนมากขึ้นเท่าตัว ดังนั้นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนถิ่นทุรกันดารในสมัยก่อน ช่างลำบากเหลือเกิน

อย่าง สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงแต่งฉลองพระองค์ที่สวยงาม ก็เพื่อจะให้ราษฎรได้ชื่นชม ได้เห็นพระองค์ พระองค์ก็ทรงต้องอดทนร้อนเพื่อไม่ให้ฉลองพระองค์ต้องสกปรก เพราะราษฎรที่อยากจะเข้าเฝ้า ก็อยากเห็นพระสิริโฉมที่สวยงามของสมเด็จฯพระราชินีนาถ พระองค์ทรงไม่อยากให้ราษฎรต้องผิดหวัง

นี่คือความยากลำบากของการเดินทางในอดีตเมื่อร่วม ๆ 50 ปีที่แล้ว

ถ้าเป็นพวกเราในยุคนี้ ขนาดเดินทางบนถนนอย่างดี มีแอร์คอนดิชันในรถอย่างดี การเดินทางไกล ๆ เรายังเหนื่อยล้าเลยใช่ไหมครับ

แล้วทั้งสองพระองค์ล่ะ ทรงลำบากเดินทางไปเยี่ยมราษฏรในถิ่นทุรกันดารนั้น พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์เหลือเกิน

แค่เพียงในหลวง พระราชินีนาถ เสด็จไปให้ราษฎรเห็นก็ทำให้ราษฎรในสมัยนั้นชื่นใจเป็นที่สุด ที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอุตส่าห์ลำบากตรากตรำพระวรกายเดินทางเข้าไปถึงหมู่บ้านของพวกเขาจนได้ แต่ทั้งสองพระองค์ไม่เคยทรงบ่น หรือทรงท้อเลยแม้แต่น้อย 

ราษฎรในสมัยนั้นต่างซาบซึ้ง ดีใจเป็นที่สุดในพระมหากรุณาธิคุณของทั้งสองพระองค์ ที่เสด็จไปเยี่ยมราษฎร ทั้ง ๆ ที่ในยุคที่ภัยคอมมิวนิสต์ยังครุกรุ่นอยู่ ทั้งสองพระองค์ก็ยังไม่ทรงกลัวภยันอันตราย ก็ยังเสด็จไปเยี่ยมราษฎรแบบไม่ห่วงความปลอดภัยของพระองค์เองเลย









แล้วเรื่องห้องน้ำห้องท่า อาหารการกินเวลาไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารอีกล่ะ แค่พวกเราคิดเรายังแทบไม่อยากไปลำบากแบบนั้นกันเลย แต่ในหลวงทรงเสด็จไปมาแล้วทั่วประเทศนี้

ยิ่งตอนที่ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมบางหมู่บ้านทางอีสาน ที่คนเกือบทั้งหมู่บ้านเป็นโรคเรื้อน ถามว่า ถ้าเป็นพวกเราในสมัยนั้นแค่ได้ยินว่าโรคเรื้อน คุณจะกล้าไปย่างกรายแถวนั้นหรือไม่ ?


แต่ ศจ.รพี สาคริต ได้เคยเล่าว่า "ในหลวงทรงดื่มน้ำที่มาจากแหล่งเดียวกับที่ชาวบ้านที่เป็นโรคเรื้อนดื่ม โดยไม่ทรงนึกหวาดกลัวอะไร"

ซึ่งต่อมาในหลวงจึงทรงตั้งมลนิธิราชประชาสมาสัย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อน และยังทรงสร้างโรงเรียนราชประชาสมาสัย สำหรับบุตรหลานของผู้ป่วยโรคเรื้อน เพราะในสมัยนั้นผู้คนต่างรังเกียจลูกหลานของผู้ป่วยโรคเรื้อน ไม่ยอมให้ลูกหลานของผู้ป่วยไปเรียนในโรงเรียนเดียวกับลูกหลานของพวกเขา

และพระราชดำรัสในพิธีทรงเปิดโรงเรียนราชประชาสมาสัย เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ มีความตามลำดับ ดังนี้

"…เด็กเหล่านี้มีสิทธิที่จะเล่าเรียนเช่นเด็กอื่น เพราะขณะนั้นกระทรวงสาธารณสุขไม่ส่งเด็กที่ยังมิได้ป่วยให้เข้าเรียนในโรงเรียนในนิคม หรือในโรงพยาบาลโรคเรื้อน เนื่องจากเกรงว่าจะติดโรค และกระทรวงศึกษาธิอการก็ยังไม่ยอมรับบุตรผู้ป่วยโรคเรื้อนเข้าเรียนในโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากเกรงว่าจะไปแพร่เชื้อโรคเรื้อนแก่เด็กผู้อื่น ขณะนี้กรมประชาสงเคราะห์ของกระทรวงมหาดไทยมีโรงเรียนสำหรับเด็กที่ไม่มีผู้อุปการะแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรับเด็กเหล่านี้ได้เพราะเป็นเด็กผู้มีบิดามารดา…"

"…การที่ดำริสร้างสถานศึกษานี้ขึ้น ก็เพื่อจะได้ช่วยเหลือเด็กผู้พลอยประสบเคราะห์กรรมให้มีสถานที่เล่าเรียน ซึ่งโดยธรรมชาติควรมี่สิทธิที่จะกระทำสิ่งใดได้เช่นผู้อื่น การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่โชคชะตาบันดาลให้ต้องเกิดมาในภาวะเช่นนี้ย่อมเป็นกุศลและเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ เพราะเด็กเช่นว่านี้เมื่อได้รับการศึกษา อบรมด้วยดีเติบโตขึ้นก็จะเป็นพลเมืองที่ดีเป็นประโยชน์แก่ตนเองและชาติบ้านเมืองในอนาคต…"




คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!



--------------

พอดีผมเห็นรูปที่มีคนโพสบนเฟสบุ๊คดี ๆ หลายรูป ในช่วงนี้ เลยขอนำมาให้คุณผู้อ่านได้ดูด้วยกันครับ















คุณผุ้อ่านครับ ถ้าคนไทยเราแตกแยก แตกความสามัคคีกันแล้ว ใครได้ประโยชน์ที่สุด ?

ทำไมคนไทยชั่ว ๆ บางคน ที่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้ชาติบ้านเมือง วัน ๆ พวกชั่วมันก็เอาแต่กุเรื่องเพื่อให้คนไทยแตกความสามัคคี เพราะพวกนี้มันหวังเปลี่ยนระบอบประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ แต่ก็ยังมีคนโง่ ๆ หลงเชื่อพวกกุเรื่องเหล่านี้

คุณผู้อ่านคิดเอาเถิดครับว่าจะมีใครรักคนไทย รักประชาชนไทยจริง และเสียสละเพื่อคนไทยเท่ากับในหลวงของเรานั้น ไม่มีอีกแล้ว

ถ้าเราลองศึกษางานที่ในหลวงทรงค้นคว้า หรือทรงสนับสนุนให้หน่วยงานของพระองค์ทรงค้นคว้าทดลองวิจัยแล้ว เราจะรู้ว่า ในหลวงทรงทำเพื่อคนไทยทุกคนอย่างจริงใจ

ฉะนั้น ขอให้คนไทยรักในหลวง รู้รักสามัคคี ประเทศไทยจะเจริญมากกว่านี้แน่นอน


คลิกอ่าน ทำไมในหลวงต้องทรงเหนื่อยมานาน

คลิกอ่าน คนไทยอย่าเป็นลูกที่ดื้อของในหลวง



วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนฉากหลังให้ท่านผู้นำ คสช. เผด็จการที่น่ารักที่สุดในโลก







เผด็จการเมืองไทยยุ คสช. นั้นดีนักหนา ใครใคร่อยากจะตัดต่อล้อเลียนท่านผู้นำ คสช. แบบฮา ๆ ก็ทำได้สบายใจดี

แต่ยุคอีปู แค่มีคนเรียงลำดับคำว่า เสือ สิงห์ กระทิง ยิ่งลักษณ์ แค่เนี้ย ไอ้ธาริต สีดวง ดันจะเอาผิด จะให้เป็นคดีพิเศษ

ใครออกไปประท้วงอีปูเท่านั้น โดนระเบิดไปลงที่บ้าน โดน M16 ยิงถล่มบ้าน โดนเผารถในบ้าน ทันที

นั่นแแสดงว่า ประชาธิปไตยยุคอีปู มันโหดจริง ๆ

เมื่อหลายวันก่อน นายกฯ ประยุทธ์พูดถึงเพจ เปลี่ยนฉากหลังให้ท่านผู้นำ ว่า "ทุเรศทุกฉาก"

ผมเลยคัดเอารูปจากเพจเปลี่ยนฉากหลังให้ท่านผู้นำ คสช. ที่ผมดูแล้วชอบ มาให้คุณผู้อ่านของผมได้ดูกันนิดหน่อย

จะได้รู้ว่า เผด็จการ คสช. ไม่ได้โหดร้ายเหมือนในยุคอีปูตูดบานพุงปลิ้นเลยจริง ๆ 555

ซึ่งก่อนที่บิ๊กตู่จะพูดว่า "ทุเรศทุกฉาก" เพียง 1 วัน ผมเคยไปโพสที่เพจเปลี่ยนฉากหลังให้ท่านผู้นำไว้ว่า "พวกคุณเชิญตัดต่อตู่ได้ตามสบาย เพราะผมสั่งตู่ไปแล้วว่า ห้ามแบนเพจนี้เด็ดขาด 555"

ขอบคุณเจ้าของรูปทุกรูปด้วยครับ





เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ฮอกวอตซ์ ดับเบิลดอร์ หรือ ท่าน ดอ 2 อัน !! 











เป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร หรือ โวลเดอยุทธ 
























เป็นอาจารย์เด๋อ ก็ได้ หรือ ตู่ ดอกสะเดา 






คลิกอ่าน ตื่นตะลึง ! พบงูเหลือมตัวเท่าควายเขมือบเหยื่อจนพุงปลิ้น


วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การประท้วงผิวสีในมิสซูรี ทำไมไม่ชู 3 นิ้วเหมือนพวกโง่ในไทย






กระแสประท้วงเรื่องสีผิว ในสหรัฐอเมริกากลับร้อนแรงอีกครั้ง หลังคณะลูกขุนไม่เห็นด้วยที่จะดำเนินคดีตำรวจผิวขาวที่ยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิต จนการประท้วงเรื่องนี้ลามไปแล้วกว่า 37 รัฐทั่วสหรัฐ

ส่วนประธานาธิบดีโอบามา ก็ประกาศว่า จะดำเนินคดีกับผู้ประท้วงที่ก่อเหตุรุนแรงทุกคน

ล่าสุด ตำรวจผิวขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเป็นครั้งแรก แล้ว

"ดาเรน วิลสัน" ตำรวจเมืองเฟอร์กูสัน ที่ก่อเหตุยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิต ออกมาเปิดเผยเรื่องราวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกภายหลังจากที่คณะลูกขุนมีความเห็นไม่ดำเนินคดีในข้อหาเจตนาฆ่าซึ่งนำมาสู่เหตุจลาจลในหลายเมืองทั่วสหรัฐอเมริกา โดยวิลสันอ้างว่าเขายิงปืนออกไปหลายนัดเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้ายถึงชีวิต



ดาเรน วิลสัน อายุ 28 ปี ตำรวจเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี ผู้ก่อเหตุยิงนายไมเคิล บราวน์ วัยรุ่นผิวสีอายุ 18 ปีเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 ส.ค.2557 ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ เอบีซี ของสหรัฐฯ ถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า เขาขับรถสายตรวจมาคนเดียวและพบนายบราวน์กับเพื่อนอีกคนหนึ่งเดินอยู่กลางถนน จึงเปิดกระจกบอกให้ไปเดินริมๆ ถนน ซึ่งนายบราวน์ที่มีรูปร่างใหญ่ สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว กลับหันมาด่าทอและชกหน้าเขาหนึ่งหมัด จากนั้นก็เกิดการปลุกปล้ำ และแย่งปืนกัน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายวิลสันอ้างว่า แม้นายบราวน์ถูกยิงแล้ว แต่ก็ยังโถมเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง จนเขากลัวว่าตนเองจะได้รับอันตรายถึงชีวิตจึงต้องยิงปืนไปที่ศีรษะอีกหลายนัด

ข่าวไทยพีบีเอส


พ่อแม่ของวัยรุ่นผิวสีที่เสียชีวิต ออกมาให้สัมภาษณ์




----------------

ทั้ง ๆ ที่ กระแสหนัง The Hunger Games : Mockingjay – Part 1. กำลังฮอตฮิตไปทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายนนี้ จนพวกโง่คลั่งประควายธิปไตย รวมทั้งเหล่าสาวกไอ้เจียมหงอก ได้หยิบเอามาสร้างกระแส ชู 3 นิ้วแบบโง่ ๆ ต่อต้านรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่ การชู 3 นิ้วเขาต้องชูเพื่อสนับสนุนคนที่เขารัก หรือคนที่เป็นฝ่ายเดียวกัน

ลองดูตัวอย่าง การประท้วงในมิซูรี จากกระแสเต่อต้านหยียดผิว และความไม่เท่าเทียมกันในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อชาวผิวสี อเมริกันชนกลับไม่ชู 3 นิ้ว แต่พวกเขาเลือกที่จะใส่หน้ากากขาวกัน












ประเทศไทยเรานี้แสนดีนักหนา แต่เสียดายที่มีพวกโง่และไอ้พวกหนักแผ่นดินอยู่เยอะ ประเทศไทยเราไม่เจริญเพราะพวกโง่และพวกหนักแผ่นดินอย่างสาวกไอ้หงอเจียม นั่นแล

เฮ่อ... พวกล้มเจ้า ตอนมันยังมีชีวิตก็ทำซ่า แต่ตอนตาย มันไม่มีโอกาสได้กลับมาบอกว่า ผมผิดไปแล้ว ดิชั้นผิดไปแล้ว

เช่น อยู่ ๆ พวกล้มเจ้าก็ดันขับรถตกลงมาจากห้างตาย หรือบางทีขับรถตกลงมาจากทางด่วนตาย หรืออยู่ ๆ เดินข้ามทางรถไฟมองไม่เห็นรถไฟเหมือนมีบาปกรรมบังตาเลยโดนรถไฟทับตายก็มี หรือโดนฟ้าผ่าตายก็มี หรือบางทีเดินในบ้านดันโดนกำแพงบ้านตัวเองล้มทับตายก็มี หรือ บางทีนั่งเล่นริมน้ำ ดันวูบตกน้ำตายก็มี หรือบางทีขี่มอไซค์ออกมาจากบ้านอยู่ ๆ ก็โดนต้นไม้ใหญ่ล้มลงมาทับตายพอดี ๆ

เพราะพวกล้มเจ้าส่วนใหญ่มักตายพิสดารแบบนี้แหละ เชื่อไหม ? แต่พวกมันไม่มีโอกาสกลับมาเตือนพวกเดียวกันให้กลับตัวกลับใจ

------------

ขำ ๆ

ประเทศไทยเรา ไม่มีไพร่ ไม่มีทาส แต่พวกเลวยังพยายามจะบอกว่ามี

ทั้ง ๆ ที่คนไทยทุกคนมีโอกาสรวยได้ถ้าฉลาดและขยัน ส่วนคนโง่ที่ยากจน มักจะโทษคนอื่นก่อนเสมอ แต่ไม่ยอมโทษตัวเอง

ลูกเจ๊กลูกจีน เด็กวัด ลูกแม่ค้า ก็เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศนี้ได้

แถม ขนาดประเทศนี้คนโง่ก็ยังเป็นนายกฯ หญิงคนแรกได้เลย

แต่ในอเมริกา ที่ว่าเสรีภาพเหลือเกิน แต่กลับมีคลื่นใต้น้ำเรื่องการเหยียดสีผิว ที่ยังพร้อมระเบิดได้เสมอ

อ้าว ระเบิดไปแล้ว 38 รัฐแล้วนี่ ?? 5555555 /@akecity


คลิกอ่าน คดีตำรวจผิวขาวยิงวัยรุ่นผิวสีตาย สหรัฐอเมริกาบอกนี่เป็นเรื่องภายในของสหรัฐอเมริกา


วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาเหตุวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ใครคือต้นเหตุวิกฤติต้มยำกุ้ง






วิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้ดีว่าเกิดจากการที่ไทยเราถูกโจมตีค่าเงินบาท

รัฐบาลชวลิตและธนาคารแห่งประเทศไทย พยายามจะรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนให้คงอยู่ที่ 25 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ จนทำให้เงินคงคลังและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของไทยเราแทบหมด จนทำให้ต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด

แต่สาเหตุที่คนส่วนใหญ่รู้เป็นแค่สาเหตุที่มาถึงจุดระเบิดของวิกฤติ 40 เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ต้นเหตุของวิกฤติ 40 มันมีที่มาที่ไป สะสมจนเป็นดินพอกหางหมูมาก่อนหน้านั้นประมาณ 7 ปีมาแล้ว

เริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลชาติชาย ที่เป็นยุคบูมที่สุดของเศรษฐกิจไทยครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์บูมมาก ที่ดินมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ มีเงินจากต่างชาติเข้าลงทุนมากมายตามนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า"

และเมื่อมีเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาก เกิดสภาพคล่องทางการเงินสูง การปล่อยกู้ของธนาคารก็ปล่อยกันง่าย ๆ โดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้ภาคอสังหาริมทรัพย์

ทำให้เกิดกระแสประชาชนที่พอจะมีเงินแห่ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อที่ดินไว้เก็งกำไรเพื่อขายต่อ ซึ่งยุคนั้นใครมีเงินมาเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ก็รวยกันถ้วนหน้า จนขนาดที่ว่า นายทุนอสังหาริมทรัพย์แค่ประกาศเปิดตัวโครงการ ยังไม่ทันมีการก่อสร้างจริง ๆ ด้วยซ้ำ คนก็แห่มาจองกันหมดในพริบตาแล้ว

--------------------

BIBF ปฐมเหตุวิกฤติต้มยำกุ้ง

ในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ภาค 2 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รัฐบาลอานันท์ พยายามจะเปิดเสรีทางการค้าและทางเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อสานต่อนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า" โดยเฉพาะการเปิดเสรีทางการเงิน โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคอาเซียน

คณะรัฐมนตรีของนายอานันท์ ปันยารชุน จึงได้อนุมัติให้มีการจัดตั้ง Bangkok International Banking Facilities (BIBFs) เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 16 กันยายน 2535 ได้ให้คำนิยามกิจการวิเทศธนกิจไว้ 2 ประเภท โดยสรุป คือ

1) กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ หมายถึง การรับฝากหรือกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือการรับฝากหรือกู้ยืมเงินบาทจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศหรือแก่กิจการวิเทศธนกิจอื่น

2) กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ หมายถึง การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยโดยมีการเบิกถอนเงินกู้ยืมแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ค้นคว้าข้อมูลได้ที่ คลิกอ่าน ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์



หน้าแรกของประกาศกระทรวงการคลังนโยบาย BIBF ในราชกิจจานุเบกษา 17 ก.ย. 2535 ลงนามโดย นายพนัส สิมะเสถียร รมว.คลัง ในรัฐบาลอานันท์ ลงวันที่ 16 ก.ย. 2535 ในหน้าสุดท้าย




ลังจากนั้น ก็มีรัฐบาลชวน เข้ามาบริหารประเทศต่อในวันที่ 23 กันยายน 2535

ซึ่งนโยบายกิจการวิเทศธนกิจ Bangkok International Banking Facilities : BIBF ที่เริ่มให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินกิจการวิเทศธนกิจอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2536

"กิจการวิเทศธนกิจ ก็คือ กิจการที่มีแหล่งที่มาของเงินทุนมาจากต่างประเทศ ส่วนผู้ที่ได้รับสินเชื่อจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศก็ได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ดำเนินธุรกิจการเงินระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2536"

ดังนั้น จงทราบในชั้นต้นไว้ก่อนว่า รัฐบาลชวน หลีกภัย ไม่ใช่คนออกนโยบาย BIBF เพราะนโยบาย BIBF เป็นนโยบายที่สืบเนื่องมาจากรัฐบาลอานันท์

ซึ่งในวันนี้ประเทศไทยก็ยังใช้นโยบาย BIBF มาจนถึงปัจจุบัน !!

เพียงแต่แก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เหมาะสมและมีวินัยทางการเงินการคลังมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยวิกฤติ 40 อีก หรือให้เกิดได้ยากขึ้น

---------------

เปิดเสรีทางการเงิน แต่คงค่าเงินบาทให้คงที่ คือหายนะ

การเปิดให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของไทยไปกู้เงินจากต่างประเทศได้อย่างเสรี เพราะมีดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำกว่าดอกเบี้ยในไทยอย่างมาก เพื่อมาปล่อยกู้ให้กับนักลงทุนไทยในประเทศ

ซึ่งเงินกู้ส่วนใหญ่ก็ถูกปล่อยกู้ไปกับการลงทุนในตลาดหุ้น และในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้เกิดการเก็งกำไรในที่ดิน บ้าน คอนโด จนกลายเป็นฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ คือ จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นมีมากเกินจำนวนความต้องการที่แท้จริง

แต่ที่อสังหาริมทรัพย์ยังขายได้ก็เพราะ กระแสเงินที่ธนาคารปล่อยกู้ง่าย ๆ บวกกับคนแห่ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร จนกลายเป็นความต้องการเทียม หรือ อุปสงค์เทียม นั่นเอง

และยังเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก ก็ได้ทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดสูงขึ้นกว่าความเป็นจริง ส่วนคนเล่นหุ้นที่ได้กำไร ก็เอาเงินมาเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ต่ออีกทอด

เมื่อเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามามาก เกิดความคล่องตัวทางการเงินในระบบเศรษฐกิจสูง ก็เลยปล่อยกู้กันอย่างง่าย ๆ ชุ่ย ๆ ในขณะที่ประเทศไทยยังคงรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ต่อไป นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะ

เพราะการเปิดเสรีทางการเงินนั้น เมื่อปล่อยให้เงินเข้าโดยเสรี ก็ควรต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวอย่างเป็นธรรมชาติด้วย

แต่รัฐบาลไทยหลังจากเปิดใช้นโยบาย BIBF แล้ว ทุกรัฐบาลก็ยังฝืนธรรมชาติของการปริวรรตเงินตรา ด้วยการพยายามรักษาค่าเงินบาทไทยให้คงที่ด้วยการใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศไปพยุงไว้

ซึ่งก็ไม่มีรัฐบาลไหน นักการเมืองคนไหน ผู้บริหารสถาบันการเงินคนไหน นักธุรกิจรายใหญ่คนไหน ภาคเอกชนรายใด ออกมาทักท้วงเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้

เพราะทุกคนทุกฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์จากการคงอัตราค่าเงินบาทกันทั้งนั้น และก็ได้ประโยชน์จากการนำเงินต่างประเทศมาปล่อยกู้ในประเทศ หรือกินส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศกันทั้งสิ้น


------------------

พรรคการเมืองทุกพรรค นักการเมืองทุกคนมีส่วนทำให้เกิดวิกฤติ 2540

นโยบาย BIBF จริงๆ เริ่มกำเนิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน แต่การเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินกิจการวิเทศธนกิจได้จริง ๆ ก็ล่วงเข้ามาในเดือนมีนาคม 2536 ในสมัยรัฐบาลชวน

แล้วหลังจากรัฐบาลชวน ก็มีรัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิต ที่บริหารประเทศหลังจากได้มีการดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงินแล้ว และยังรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ ๆ 25 บาทต่อดอลล่าห์ต่อไป

ทุกรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิต จึงต้องมีส่วนรับผิดชอบในวิกฤติปี 40 ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ใครควรรับผิดชอบมากน้อยกว่ากันเท่านั้น ?



รัฐบาลชวน บริหารตั้งแต่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
รัฐบาลบรรหาร บริหารตั้งแต่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
รัฐบาลชวลิต บริหารตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540

ปัญหาเงินทุนจากต่างประเทศทะลักเข้าไทยมากเกินไปในภาคอสังหาริมทรพัย์ ได้สั่งสมมาเรื่อย ๆ และมากขึ้น ๆ แต่ไม่มีรัฐบาลไหนโดยเฉพาะรัฐบาลบรรหาร และรัฐบาลชวลิต ที่เข้ามาบริหารต่อจากรัฐบาลชวน จะหาทางแก้ไขในเรื่องนี้เลย หากคิดว่าภายใต้นโยบาย BIBF ที่รัฐบาลชวน ได้ดำเนินนโยบายสืบเนื่องมาจากรัฐบาลอานันท์ ทำไว้ไม่ดีตั้งแต่แรก เพราะทั้งรัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิต ก็เห็นดีเห็นงามตามกันมาทั้งหมด

สรุปก็คือ ควรรับผิดชอบร่วมกันทุกรัฐบาล


แต่มีชายคนหนึ่งที่เคยร่วมอยู่ในทุกรัฐบาลที่กล่าวมา คือทั้งรัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหาร และรัฐบาลชวลิต เขาคนนั้นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นายเสนาะ เทียนทอง เคยบอกว่า คนที่คุณรู้ว่าใคร คนนี้ได้กำไรหลายพันล้านบาทจากการลอยตัวค่าเงินบาท เพราะเขารู้ข่าววงในก่อนใคร เพราะคนที่คุณก็รู้ว่าใครสนิทสนมกับนายทนง พิทยะ รมว.คลังตอนนั้นเป็นพิเศษ  เพราะนายทนง พิทยะ คือผู้วางรากฐานระบบการเงินให้ชินคอร์ป แล้วคนที่คุณก็รู้ว่าใคร จึงรีบไปซื้อเงินดอลล่าห์ก่อนการลอยตัวเงินบาททันที



ดังนั้นใครก็ตามที่ไปกู้เงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นจนเกิดฟองสบู่เศรษฐกิจ และใครก็ตามที่แห่ไปซื้อบ้าน คอนโด ที่ดิน เพื่อเก็งกำไร

รวมถึงนักธุรกิจ นายธนาคาร นักการเมืองและรัฐบาล ต่างก็มีส่วนทำให้เกิดวิกฤติ 40 ทั้งสิ้น

เพราะมันคือยุคแห่งความโลภของคนไทยโดยแท้

------------------

ความเห็น อดีต ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย นางธาริษา วัฒนเกศ ที่แสดงความเห็นในโอกาสครบรอบ 15 ปีวิกฤติ 40 ดังนี้


สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 หลายคนอาจโยนความผิดทั้งหมดให้ ธปท. และอีกหลายคนก็โทษสถาบันการเงินที่ไม่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยมองว่าบริษัทในตลาดหุ้นคือตัวร้าย แต่ในมุมมองของ ดร.ธาริษาต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไร มีสาระสำคัญดังนี้

ในมุมมองของคุณธาริษาองค์ประกอบอะไรในสถาบันการเงินที่ขาดไปในช่วงนั้น ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ’40 ?

ดิฉันคิดว่าวิกฤติ ’40 ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งสิ้น ไม่ใช่ความผิดพลาดของบุคคลหรือหน่วยงานใดเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ตั้งใจ

อย่างธปท. แน่นอนว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเปิดเสรีด้านการเงินโดยอนุญาตให้ตั้งวิเทศธนกิจ (บีไอบีเอฟ) ในขณะที่ไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินไม่ได้ทำให้สอดคล้องกัน ยังยึดถืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่

การกำกับดูแลของเราก็ยังเป็นแบบดูว่าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือไม่ ไม่ได้ดูว่าเขาเสี่ยงไม่เสี่ยงแค่ไหนอย่างไรยังไง การกำกับดูแลทั่วไปอย่างสหรัฐฯ หรือประเทศที่เจริญแล้วก็ยังใช้หลักว่าปฎิบัติตามกฏเกณฑ์หรือไม่ ก็เป็นวิธีการที่ล้าสมัยอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่นั้นธปท. ก็ไม่ได้ก้าวตามแนวคิดใหม่ๆ ยุคสมัยเปลี่ยนสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้วเราไม่ตามให้ทัน

ภาคเอกชนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างที่เรียนไปเมื่อสักครู่ คือภาคธุรกิจก็อยากจะกู้ เพราะหาค่าตอบแทนได้

ในช่วงนั้นส่วนต่างดอกเบี้ยเมืองไทยสูงกว่าต่างประเทศเยอะมาก ?

ใช่คะ แล้วกู้มาจะเอาไปลงทุน ทำธุรกิจมันทำไม่ทัน สู้เอาไปลงทุนซื้อที่ดินซื้อหุ้นรวยเร็วกว่า ทุกคนก็อยากรวย ภาคธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนก็อยากให้กู้ เพราะว่าได้ดอกเบี้ยเป็นรายได้ของตัวเอง

ภาครัฐก็เกี่ยวข้องในด้านกฎหมายที่ล้าสมัยและไม่ได้ปรับเปลี่ยนมานาน เช่น เรื่องการกำกับดูแลเราเคยอยากแก้กฎหมาย ให้แบงก์ชาติว่า การที่ธนาคารพาณิชย์จะตั้งคณะกรรมการของตัวเองได้ต้องขออนุญาต ธปท. เพราะธนาคารจะทำอะไรได้ดีหรือไม่ “คนที่บริหาร” สำคัญที่สุด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ส่วนการเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาฐานะสถาบันการเงิน สมมติเรารู้ว่าธนาคารแห่งนี้หรือบริษัทเงินทุนแห่งนี้กำลังมีปัญหาและถ้าจะแก้ไขในครึ่งปีจะแย่ แต่เราไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องรอเงินทุนหมดหรือติดลบก่อน คือกฎหมายไม่อำนวยความสะดวกให้แก้ปัญหาเนิ่นๆ ได้

พวกนี้นี้คือการผสมปนเปทั้งสิ้น ธนาคารพาณิชย์จะแก้ปัญหาลูกหนี้ก็ทำได้ไม่สะดวก จะปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ก็มีกฎเกณฑ์เรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง

โดยสรุปแล้วดิฉันคิดว่า “ทุกคนมีส่วนทำให้เกิดวิกฤติ40โดยไม่ได้ตั้งใจ”

ที่มาคำสัมภาษณ์ Thaipublica.org

--------------------

การโจมตีค่าเงินบาท 

เมื่อไทยเราโดนโจมตีค่าเงินบาทจากพ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส และกองทุนเฮดฟันจ์ ทั้งหลาย

รัฐบาลชวลิตและธนาคารแห่งประเทศไทย พยายามใช้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ จนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกือบหมด จนต้องลอยตัวค่าเงินบาทนั้น

ซึ่งถือเป็นการบริหารการเงินการคลังที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงที่สุดของรัฐบาลชวลิต คือแทนที่จะค่อย ๆ ประกาศลดค่าเงินบาทลงเรื่อย ๆ เพื่อลดภาระทางการคลังรัฐบาลในการปกป้องค่าเงินบาทจากการถูกโจมตีจากนักค้าเงินต่างชาติ แล้วค่อย ๆ ลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด

แต่เมื่อเงินแทบหมดคลัง จนรัฐบาลชวลิตต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อสายเกินไปแล้ว ทำให้หนี้เงินกู้จากต่างประเทศที่รัฐบาลไทย สถาบันการเงินต่างๆ ไปกู้มา  หรือที่คนไทยเป็นหนี้จากการซื้อขายสินค้าจากต่างประเทศ ก็เพิ่มขึ้นไปกว่า 2 เท่า เพราะค่าเงินบาทเคยอ่อนตัวลงสูงสุดที่ 56 บาท/ดอลล่าห์สหรัฐ

ก็เลยทำให้ประเทศไทยต้องไปกู้ไอเอ็มเอฟ และได้เกิด ปรส. (องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน) ขึ้นมาในสมัยรัฐบาลชวลิต ที่มีรองนายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร


พระราชกำหนดปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 

หัวเรื่อง หน้า 1 ของ พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540


หัวเรื่องหน้า 2 ของ พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 จัดตั้ง ปรส.


หน้าสุดท้าย ของ พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ


คลิกอ่าน พรก. ปฏิรูปสถาบันการเงิน 2540 ที่นี่

ซึ่ง พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน 2540 ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ของคณะกรรมการ ปรส. ไว้เป็นกฎหมาย ที่ออกโดยรัฐบาลชวลิต 

หากฝ่ายเพื่อไทยจะโจมตีว่า ประชาธิปัตย์เข้าแทรกแซง ปรส. ที่เป็นองค์อิสระ ต้องยกข้อกฎหมายมาอ้างด้วยว่า ประชาธิปัตย์ละเมิดกฎหมายฉบับนี้ในข้อไหน ??

อย่ามาอ้างลอย ๆ สร้างวาทะกรรมเท็จไว้หลอกเสื้อแดงแบบโอ๊ค พานทองแท้เลย


คลิกอ่าน "โอ๊คโชว์โง่ คดี ปรส. แถมอวยจำนำข้าวอย่างหน้าด้าน"

------------

เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 เกิดจาก กู้เงินจากนอกมาเก็งกำไรในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ จนฟองเศรษฐกิจสบู่แตก

ส่วนโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถ้ายังไม่ถูกปิดบัญชีลงไป รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จะหาทางกู้เอาเงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ มารับซื้อข้าวในราคาแพงเว่อร์ จนเงินไปจมในโครงการจำนำข้าวอีกหลายล้าน ๆ บาทแน่นอน แล้วในที่สุดก็จะเกิดฟองสบู่เศรษฐกิจแตกอีกครั้ง

ปรส. ขายหนี้เน่าสถาบันการเงิน 56 แห่งมูลค่าเดิมก่อนเกิดวิกฤติ40 จำนวน 8 แสนล้านบาท ขายได้เงินมา 2 แสนล้านบาท

แล้วรัฐบาล คสช. และรัฐบาลต่อ ๆ ไป จะขายข้าวสารที่กำลังจะเสื่อมกำลังเน่า 18 ล้านตัน จะได้มูลค่าสักเท่าไหร่กัน


ฟังนายธนาคาร นักธุรกิจ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวิกฤติ 40 อธิบายถึงที่มาของวิกฤติ 40 จากรายการสยามวาระ โดยเฉพาะรูปที่ขึ้นหน้าจอยูทูป นายยรรยง พงษ์พานิช พูดดีมาก เพราะเขายอมรับความผิดว่า เขาเองก็หลงคิดว่า ตนเองเก่งในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่เหมือนกัน



-----------------

นเก็บขยะ เก็บซีดีเอาไปขายอย่างผิดกฎหมาย โดนศาลตัดสินให้ชดใช้เงินค่าปรับ 1.5 แสนบาท แต่เขาไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ จึงถูกจำคุกแทนค่าปรับ แต่ภายหลังมีเศรษฐีใจบุญไม่ประสงค์ออกนามบริจาคเงินช่วยเหลือชดใช้ค่าปรับแทนเขา

คนเก็บขยะคนนี้ หลังจากจบคดีดังคดีนี้แล้ว เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เมื่อนึกย้อนกลับไปเขาไม่โทษใคร และเขายอมรับความผิดโดยดีจากความรู้เท่าไม่ถึงการของเขา เพราะคนเราควรเคารพกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกันทุกคน

ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ทำผิดพลาดในการบริหารนโยบายจำนำข้าว ขาดทุนอย่างต่ำ 5.1 แสนล้าน ยังไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้ที่กำลังงอกเงยต่อไป (ผมว่าถ้าเปิดเผยหลักการคำนวณมากกว่านี้ ผมว่าจะเห็นการขาดทุนถึง 7แสนล้านแน่นอน ยังมีการหมกเม็ดการคำนวณอยู่)

ยิ่งลักษณ์ทำความชาติเสียหายให้ชาติหลายแสนล้านบาท ถ้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่มีการทักท้วงให้หยุดโครงการนี้แล้ว ประเทศนี้คนดีก็ยิ่งอยู่ยากมากขึ้น

----------------

ล่าสุด ได้มี อดีต สส. ปชป. ได้แสดงความเห็นชื่นชมบทความนี้ของผมแล้ว

ได้มีอดีต สส.ประชาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันเขาได้ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว คือ คุณพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ได้เข้ามาอ่านและได้ชื่นชมบทความผมแล้ว

นี่คือสิ่งยืนยันว่า บทความเรื่องนี้ผมเขียนด้วยข้อมูลจริงแท้แน่นอน ทั้ง ๆ ที่ผมก็เขียนในบทความนี้ว่า ทุกรัฐบาลมีส่วนรับผิดชอบในวิกฤติ 40 ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐบาลชวน

คุณพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ได้ตอบความเห็นของผม เมื่อผมไปโพสลิงค์บทความไว้ที่เพจโอ๊ค พานทองแท้

http://goo.gl/GXNP8w




คลิกอ่าน "ใครกู้IMF ใครใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ใครผลาญเงินเอาหน้า"

คลิกอ่าน ทำไม ปรส. ไม่แยกหนี้ดีหนี้เสียออกจากกัน ??