วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แอ๊ด คาราบาว นักร้องเพลงเพื่อชีวิตตัวเอง อุดมการณ์ตามหลังอุดมกิน






เมื่อ 13 ปีก่อนประมาณเดือนตุลาคม 2545 ได้กำเนิดเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อใหม่ที่มีชื่อว่า คาราบาวแดง โดยมีเจ้าของชื่อ แอ๊ด คาราบาว นักร้องเพื่อชีวิตอันดับ 1 ของไทย ก็สร้างความฮือฮาให้กับผู้คนในสังคมอย่างมาก ว่า

นักร้องเพื่อชีวิต ที่ปกติทั่วไปต้องเป็นนักร้องที่มีอุดมการณ์เพื่อสังคม กลับไปเปิดธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง ที่ตัวเองเคยวิจารณ์ในแง่ลบไว้ว่า

"คนที่เป็นกรรมกร วันหนึ่งต้องดูดบุหรี่ ต้องกินกระทิงแดง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประโยชน์เลยถูกหลอกจนต้องติด ไม่มีใครให้การศึกษาเขาเลยว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ แล้วทำไมยังปล่อยให้ขายได้ขนาดนี้" ตามที่เคยลงในนิตยสารไลฟ์แอนด์แฟมิลี่ เมื่อร่วม 20 ปีก่อนไว้ตามนี้


รูปจากpantip

ทำให้แแฟนเพลง และผู้คนในสังคมหลายคนถึงกับบอกว่า แอ๊ด คาราบาวเปลี่ยนไปแล้ว คล้ายประหนึ่งพลเอกสุจินดา เคยตระบัดสัตย์ว่าจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี จนแอ๊ด คาราบาว เองก็เคยต้องออกมาขับไล่กับผู้ประท้วงในยุคพฤษภา 2535

แอ๊ด คาราบาว เคยให้เหตุผลเท่าที่ผมจำได้นะ เขาเคยบอกว่า นักร้องยุคนี้หากินลำบาก เพราะมีทั้งเทป ผี ซีดีเถื่อน มาแย่งรายได้ ในเมื่อนักร้องก็เป็นคนก็ต้องกินต้องใช้ ก็ต้องหาทางทำธุรกิจอื่น ๆ เพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัวเหมือน ๆ กับทุกคน

แต่ก็นั่นแหละ ผู้คนก็ยังคาใจว่า ทำไมถึงต้องเป็นธุรกิจที่ตัวเองเคยต่อต้านด้วย ?

-------------------

แอ๊ด คาราบาว หรือ ยืนยง โอภากุล มีหุ้นในบริษัทคาราบาวกรุ๊ป อยู่เท่าไหร่ คุณรู้ไหม ?

นี่ครับคำตอบ แอ๊ดมีหุ้นประมาณ 11 % กว่า ๆ ซึ่งถ้ารวมกับหุ้นของภรรยา คือ ลินจง โอภากุล อีก 2 % กว่า ๆ ด้วย  จึงทำให้แอ๊ดมีหุ้นคาราบาวแดงอยู่ประมาณ 14 %



หลายคนอาจบอกว่า คงเพราะเจ้าของโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงมาชวนให้ทำธุกิจเครื่องดื่มชูกำลังมั้ง แอ๊ด คงไม่ได้คิดอยากมาทำเองหรอก ในเมื่อเพื่อนมาชวน แล้วก็สนิทกัน ก็เลยตามใจเพื่อนรึเปล่า ?



แต่ปรากฏว่า ความเป็นจริงเจ้าของโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในคาราบาวแดง ในนามบริษัทเสถียรธรรมโฮลดิ้งจำกัด คือนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เอง ในช่วงที่จะนำบริษัทคาราบาวกรุ๊ป เข้าในตลาดหลักทรัพย์ว่า แอ๊ดต่างหากที่เป็นคนมาชวนเขามาทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังเอง ตามข่าวนี้

เสถียร ตอบข้อสงสัยว่า "เรื่องแรกต้องขอแก้ข่าวที่ว่าเป็นคนชวนแอ๊ดมาทำธุรกิจ แต่แอ๊ดเป็นคนชวนเอง จึงได้ถามกลับไปว่า “มึงจะเอาจริงไหม” พร้อมกับย้ำว่าชีวิตเขาต้องเปลี่ยน ต้องไปหาลูกค้าไปหายี่ปั๊ว เขาบอกว่าทำได้แน่นอนเพราะเติบโตมาในตลาด

จากนั้นก็ให้เขาเอาเงินมาลงทุนร่วมกัน อย่ามาแต่ชื่อ ซึ่งตัวเขาถือหุ้นน้อยกว่าตนเล็กน้อยเท่านั้น และตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เขาระมัดระวังตัวตลอด ลดความห่ามไปเยอะ โดยเฉพาะช่วงสี่ห้าปีหลังที่เกิดสงครามสีเสื้อ เขาเหนื่อยมาก ต้องโดนด่าตลอดจากทุกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนมีความรับผิดชอบ ทำให้เขาเป็นศิลปินใหญ่ในวันนี้ได้"

--------------------

จากนักร้องที่เคยเขียนเพลงเสียดสีนักการเมือง แต่เดี๋ยวนี้แอ๊ด คาราบาว กลายเป็นนักแต่งเพลงร้องเพลงเชียร์พรรคการเมือง ตามแต่พรรคการเมืองไหนจะจ้างให้เขาไปแต่งและไปร้องเพลงของพรรคให้

ทีนี้กลับมาเรื่อง การโฆษณาของคาราบาวแดงที่ว่า คาราบาวแดงมีวิตามินบี 12 เพื่อบำรุงสมอง ซึ่งภายหลัง อย. ก็สั่งห้ามทำการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณแบบนี้ เพราะเครื่องดื่มชนิดนี้มีการกำหนดข้อแนะนำไม่ให้ดื่มเกินวันละ 2 ขวด จึงเกรงว่า จะมีคนที่คิดว่าช่วยบำรุงสมอง จะดื่มกันเกินข้อกำหนดที่แนะนำ

แต่ประโยชน์ของวิตามินบี 12 ที่คาราบาวแดงเคยโฆษณาสรรพคุณไว้ว่า ช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้จิตใจแจ่มใส ควบคุมอารมณ์ดีขึ้น ไม่หงุดหงิดง่ายนั้น




แต่สงสัยเจ้าของคาราบาวแดงคงจะไม่เคยดื่มเครื่องดื่มของตัวเองรึเปล่า แอ๊ด อาจจะขาดวิตามินบี 12 จนโมโหหงุดหงิดระงับอารมณ์ไม่อยู่ ถึงขนาดทุ่มกีต้าร์ทิ้งบนเวทีสีสันอวอร์ดเมื่อ 4 ปีก่อน ตามคลิปนี้




และในช่วงนี้ที่ประเทศไทยเกิดปัญหาการบุกรุกทำลายป่าต้นน้ำซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดภัยแล้งอย่างหนัก และปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าทางภาคเหนือนั้น

จากการสำรวจของหน่วยงานภาครัฐเองพบว่า ส่วนใหญ่ปัญหาบุกรุกป่าต้นน้ำและการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกบนเขานั้น ปัญหาส่วนใหญ่มักจะมาจากการบุกรุกเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะมีนายทุนค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเกษตรกร (ซึ่งในผลสำรวจไม่ได้ระบุว่ายี่ห้อใด ก็คงรวม ๆ กันทุกยี่ห้อนั่นแหละ)

แต่ล่าสุด แอ๊ด คาราบาว ได้สร้างกระแสฮือฮาในโลกโซเชียลอีกครั้ง เพราะเขาได้แต่งเพลงโฆษณาให้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดยี่ห้อหนึ่งให้กับยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรของไทย นั่นก็คือเครือซีพี ซึ่งก็ตกเป็นจำเลยสังคมอีกรายเช่นกัน ในกรณีไร่ข้าวโพดรุกป่าต้นน้ำ






คลิปแอ๊ด คาราบาว ร้องเพลงโฆษณาขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด



แถมแอ๊ด คาราบาว ยังเดินสายจัดคอนเสิร์ต "คนไทยรักษ์หวงแหนป่า" ใน 7 จังหวัดภาคเหนือที่มีปัญหาเรื่องบุกรุกป่าต้นน้ำและไฟป่า ภายใต้สปอนเซอร์อย่างซีพี ซึ่งว่ากันว่า เป็นคอนเสิร์ตส่งเสริมการขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดของซีพีไปด้วยในตัว (คือซีพี อ้างว่า ซีพีกำลังรณรงค์ให้เกษตรกรเลิกบุกรุกป่าต้นน้ำเพื่อปลูกข้าวโพด)



สิ่งที่แอ๊ด คาราบาว กระทำในตอนนี้ จึงทำให้เกิดคำถามว่า แอ๊ด คาราบาว ตกลงมีจุดยืนและอุดมการณ์อย่างไรกันแน่ ที่ร้องเพลงน่ะ ร้องเพื่อชีวิตตัวเองใช่ไหม ?

(โถ ไม่น่าถาม น่าจะตาสว่างตั้งแต่เริ่มขายคาราบาวแดงแล้ว)

แต่ในเรื่องนี้คงไม่มีใครวิจารณ์แอ๊ดได้ดีเท่ากับ ฝาแฝดผู้พี่ของแอ๊ดเอง นั่นคือ อี๊ด โอภากุล ซึ่งได้โพสข้อความและรูปภาพลงบนเฟสบุ๊คส่วนตัวของอี๊ด ตามนี้ครับ



Eed Opakul

"คนเชือดควาย"

ดินเเดนอันเสรี มีอิสระภาพเเต่โบราณ
เมืองไทยที่งดงาม ร่วมชาติพันธุ์พี่น้อง
ต้อนรับเเละขับสู้ เชื้อชาติใดไม่ขัดเขิน
หนึ่งเดียวคือเป็นไทย ของคนทุกๆคน

ผลประโยชน์ขัดเคือง ทรัพยากรเเละการค้า
ไม่มีจรรยาบรรณ เห็นเเก่ตัวเเละพวกพ้อง
ครอบครองเกินมากมี ทั้งความจนยังหิวโหย
ไม่ต้องบอกว่าใคร เขารู้ๆ กันทุกคน

* ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า
คือฝันเเห่งปรัชญา ตั้งเเต่โบราณสยาม
บัดนี้จึงเป็นไทย เหตุไฉนจึงเเปรผัน
สูบเลือดชาติสิ้นหวัง นักฆ่าฝันประชาชน

เศรษฐกิจไม่เหลือหลอ ยึดครอบครองทั้งประเทศ
ป่าเขาถูกเผาถาก ผูกขาดวิญญาณคนจน
นักฆ่าฝันอันเเยบยล ๆ ๆ คนเชือดควาย
ไม่ต้องบอกว่าใคร มันเเค่เสี่ยซ้ำซาก
ผู้เอาข้าวโพดยัดปาก ควายตัวพ่อ
ก่อนจูงไปเชือดคอ...ไม่รู้ตัว

อี๊ด โอภากุล
24 กุมภาพันธ์ 2559

ขยายความ
ผมเงียบไปหลายวัน เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
เเทบไม่เชื่อหูเเละสายตาตัวเอง นักรบวัฒนธรรม
ที่คนศรัทธาท่วมท้น จะติดใจ รสชาติข้าวโพด
จนเสียผู้เสียคนในขณะนี้ ...หรือไม่รู้ตัว
เเฟนๆ ผู้รักควาย อโหสิกรรม เถิดครับ

ตามหาข่าวกันเอาเองละกัน...โตๆกันเเล้ว
หรือ B12 ไม่ช่วยให้ฉลาดอย่างที่คุยรึ...อายเเทนควายจ้า

อี๊ด โอภากุล


--------------------------

ใหม่เมืองสรุปท้ายบทความ

สำหรัผบผมนะ ผมก็คิดเหมือนทุก ๆ ท่านนั่นแหละครับ แต่แอ๊ด เขาก็มีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำมาหากินสุจริต ที่สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเอง เราก็คงไปว่าเขาไม่ได้ ใคร ๆ ก็คงอยากรวยกันทั้งนั้นจริงไหม

เพียงแต่ว่า คำว่า "ศิลปินนักร้องเพื่อชีวิต" คงต้องมาจำกัดความกันใหม่ว่า มีความหมายที่ถูกต้องอย่างไร

แล้วตกลงแอ๊ด คาราบาว ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มศิลปินเพื่อชีวิต ตามความหมายเดิม ๆ อยู่รึเปล่า ฝากให้ช่วยกันคิดครับ

อ้อ เพิ่งคิดได้เรื่องนึง

คือเมื่อก่อนแอ๊ด คาราบาว เคยถูกสังคมโจมตีว่า ทำตัวหรูหราชอบใส่กางเกงยีนส์ราคาแพง แต่ล่าสุดเมื่อเขาได้ออกรายการที่นี่หมอชิต แอ๊ด บอกเองในรายการว่า เขาใส่กางเกงยินส์ตัวละร้อยกว่าบาทเท่านั้น !!!

----------------

เมื่อเอกสารปานามาอันอื้อฉาวของโลก ที่แฉรายชื่อมหาเศรษฐี นักการเมือง ผู้นำประเทศ ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก รวมทั้งมหาเศรษฐีไทย 21 ราย ที่หลีกเลี่ยงภาษีด้วยการโยกเงินไปฟอกที่เกาะแห่งหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของโลก

ว่ากันว่า ในเอกสารปานามา มีรายชื่อ นักร้องเพื่อชีวิตกูอันดับหนึ่งของไทยด้วยนะ

--------

พ.ศ.2561 แอ๊ด คาราบาว ยอมรับ ไม่ใช่นักร้องเพื่ออุดมการณ์ 



ผมขำตอนที่พิธีกรถามว่า "จากที่แอ๊ด คาราบาวเคยเป็นนักแต่งเพลง เป็นนักร้อง เดี๋ยวนี้โกอินเตอร์ มีคาราบาวคัพ (ฟุตบอลถ้วยลีกคัพอังกฤษ) ต่อมาเป็นนักธุรกิจ.. "

แอ๊ด ตอบว่า "นี่แหละตรงกับหลักธรรมะที่ว่า กฎไตรลักษณ์ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทุกสิ่งไม่เที่ยง ทุกสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง เป็นอนัตตา.."

ขำดีนะครับ อ้างหลักธรรมะเพื่อสนับสนุนความไม่มั่นคงในอุดมการณ์ความถูกต้องของตัวเอง

แต่มันก็จริงของแอ๊ดเขาอะนะ เรื่องความไม่เที่ยงเนี่ย จากที่เคยด่า เคยต่อต้านเครื่องดื่มชูกำลัง แต่สุดท้ายกลับมาผลิตขายเสียเอง 555

คลิกอ่าน เมื่อ คาราบาวแดง แซงหน้า กระทิงแดง




วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ไอ้เต้น ณัฐวุฒิ โชว์โง่อีกกรณีผลสรุปโครงการจำนำข้าวมีประโยชน์ต่อชาวนา






จากกรณีผลตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจากโครงการจำนำข้าว ได้ข้อสรุปว่า โครงการจำนำข้าวที่ซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาในราคาตันละ 15,000 บาท แพงกว่าราคา 9,000 บาทซึ่งเป็นราคาตลาดในขณะนั้น ถือเป็นประโยชน์ต่อชาวนา

พอมีข่าวผลตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ออกมา ก็ทำให้พวกเสื้อแดงรีบกระดี๊กระด๊า ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดทันทีว่า นี่ไง โครงการจำนำข้าวมีประโยชน์ต่อประชาชนจริง ๆ แล้วจะมาเอาผิดยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร




โดยเฉพาะไอ้เต้นเผาเมือง หรือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เคยนั่งหน้าโง่ตอบคำถามเรื่องการขาดทุนของโครงการจำนำข้าวต่อหน้าผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจไม่ได้ ก็รีบออกมาโชว์โง่อีก เพื่อปกป้องนายหญิงยิ่งลักษณ์ ตามพาดหัวข่าวนี้



“ณัฐวุฒิ” สงสัย ความผิดของ “ยิ่งลักษณ์” คืออะไร หลังกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯบอกโครงการไม่ผิด?

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. กล่าวว่า "ข้อสรุปจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งชี้ว่า รายรับจากการเข้าโครงการเป็นผลประโยชน์ของชาวนานั้น เป็นคำยืนยันว่าเงินทุกบาทโอนตรงจากบัญชี ธกส. เข้าบัญชีชาวนาโดยไม่มีตกหล่น ซึ่งเงินจำนวนนี้สูงถึงกว่า 870,000 ล้านบาท ถือเป็นโครงการของรัฐที่สร้างรายได้ให้ชาวนามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ 

ประเด็นนี้ถ้าไม่เป็นความจริงรัฐบาลย่อมโต้แย้งได้ ส่วนเรื่องกำไรขาดทุนที่บางฝ่ายบิดเบือนมาโดยตลอดนั้น เมื่อคณะกรรมการชี้ว่าไม่ใช่การค้า ก็ชัดเจนว่าไม่มีผลขาดทุน เพราะนี่คือโครงการที่รัฐใช้งบประมาณแก้ปัญหาราคาผลผลิตให้เกษตรกร ความชัดเจนเหล่านี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ความผิดของน.ส.ยิ่งลักษณ์คืออะไร 

เพราะการบริหารโครงการมีการมอบหมายรองนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล ขณะที่ข้าราชการถือเป็นการปฏิบัติตามนโยบาย

ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตในขั้นตอนปฏิบัติเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ แต่ก็ควรพิสูจน์ข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตุที่น่าสนใจในคำแถลงนี้คือ รัฐบาลกลัวของเข้าตัวจากการทำโครงการลักษณะเดียวกัน เช่น โครงการรับซื้อยางพารานำราคาในตลาดหรือไม่ เพราะถ้าจำนำข้าวมีกำไรขาดทุนและเป็นความเสียหาย สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ย่อมไม่แตกต่างกัน"

-----------------------

จริง ๆ แล้วที่ไอ้เต้นพูด ก็พูดเสริมแต่งในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเข้าไปด้วย เพราะผลตรวจสอบจริง ๆ ไม่ได้พูดถึงเรื่อง การโอนเงินให้ชาวนาไม่มีตกหล่น  เหมือนอย่างที่ไอ้เต้นพูด

ทีนี้เราลองมาอ่านข่าวผลตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการจำนำข้าว ให้ละเอียดกันก่อนครับ ตามนี้

จากพาดหัวของมติชน

จำนำข้าวสรุปแล้ว! ตัวโครงการไม่ก่อความเสียหาย แต่ "ยิ่งลักษณ์" ผิดพฤติการณ์


ประธานสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจำนำข้าว ชี้ "ยิ่งลักษณ์" ผิดพฤติการณ์ ปัดบอกตัวเลขฟ้องแพ่ง โยนถาม รมว.คลัง

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559  ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าว ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกกล่าวหา เปิดเผยถึงกรณีส่งข้อสรุปความเห็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้วว่า

การดำเนินการของคณะกรรมการที่ทำงานมาตั้งแต่เมษายน 2558 ซึ่งได้เชิญ 3 กลุ่มมาให้ถ้อยคำ ได้แก่ กลุ่มข้าราชการจำนวน 15 หน่วยงาน กลุ่มผู้กล่าวหา 8 ราย อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ (ปชป.) กลุ่มผู้ถูกกล่าวหา 15 ราย อาทิ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพยานที่กล่าวอ้าง และส่งมาเพิ่มอีก 20 ราย เมื่อเดือน ธ.ค.58 ซึ่งกรรมการได้ขอให้ส่งถ้อยคำเพิ่มเติมเป็นรายลักษณ์อักษรมาภายในวันที่ 20 มกราคม 2559 แต่ไม่มีใครส่งข้อมูลมาแต่อย่างใด

นายจิรชัยกล่าวว่า กรรมการได้พิจารณา 2 ลักษณะ คือ

1.พฤติการณ์ดำเนินการในการกำกับดูแลติดตาม ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. ว่ามีการติดตามรัดกุม กำกับชัดเจนหรือไม่ และ

2. เรื่องความเสียหาย ซึ่งถือวันปิดบัญชี 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อนำตัวเลขปิดบัญชีมาพิจารณาวิเคราะห์ โดยให้ความเป็นธรรม อาทิ ตัวเลขที่ประชาชนจะได้รับในส่วนต่าง เช่น ราคาท้องตลาดเกวียนละ 9,000 บาท แต่รับจำนำ 15,000 บาท ส่วนต่างตรงนี้ถือเป็นประโยชน์ประชาชน กรรมการก็ไม่ได้คิดเป็นความเสียหาย

การดำเนินการของส่วนราชการถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบาย เป็นข้าราชการดำเนินการก็ไม่ถือว่าเป็นความเสียหาย

ในส่วนเรื่องดอกเบี้ยที่ทางคณะกรรมการปิดบัญชีคิดดอกเบี้ยด้วยนั้น แต่กรรมการเราคิดว่าไม่ใช่การค้า แต่เป็นการดำเนินงานราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขประชาชนก็ไม่คิดเป็นความเสียหาย


เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงจำนวนตัวเลขที่ประเมินเพื่อฟ้องเรียกความเสียหาย 

นายจิรชัย กล่าวว่า เรื่องตัวเลขตนขอยังไม่เปิดเผย เนื่องจากเรื่องยังไม่จบยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของ รมว.คลังและนายกรัฐมนตรี และยังต้องให้คณะกรรมการพิจารณาเรียกร้องทางแพ่ง กรมบัญชีกลางดำเนินการพิจารณาต่อ จึงยังไม่นิ่ง

แต่ยืนยันว่าในนามกรรมการชุดของตนนั้นไม่มีการถูกกดดันใดๆ ทั้งสิ้น ทำงานด้วยความอิสระ ให้ความเป็นธรรม ให้โอกาสมากที่สุด ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ได้มอบไว้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลจากการพิจารณาของกรรมการถือว่าพฤติการณ์สอดคล้องกับที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมาหรือไม่ ?

นายจิรชัย กล่าวว่า "ก็สอดคล้องกัน ตามพฤติการณ์ก็มีความผิด แต่เรื่องความเสียหายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"


เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ตัวเลขความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวที่เกิดขึ้นนั้นสูงถึงหลักแสนล้านบาท ตามที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลหรือไม่ ?

นายจิรชัย กล่าวว่า "ต้องขอสงวนไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขความเสียหายนั้นทางอนุกรรมการปิดบัญชีนั้นได้สรุปไว้แล้ว และนำตัวเลขนั้นมาวิเคราะห์ โดยไม่ได้เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเขาคิดละเอียดแบบนักบัญชี แต่เราเป็นนักบริหารต้องดูความเหมาะสม ดูความเป็นธรรม ดูประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ"

-------------------------

สรุปความโง่ของไอ้เต้น

ประเด็นเรื่องผลตรวจสอบที่ว่า โครงการจำนำข้าวนั้นมีประโยชน์ต่อชาวนา นั้นถูกต้อง ตรงนี้ถือว่า เป็นนโยบายเพื่อช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดี ไม่ขาดทุน

แต่เราต้องแยกเรื่องเป็นส่วน ๆ เช่น โครงการจำนำข้าว ถือเป็นนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่งผลตรวจสอบได้ชี้ว่า ข้าราชการที่ดำเนินงานตามนโยบายนี้ไม่ผิด และไม่ถือเป็นความเสียหาย

ย้ำว่า ผลตรวจสอบเขาหมายถึง ข้าราชการที่ดำเนินตามนโยบายนี้ไม่มีความผิด เพราะนโยบายนี้เพื่อช่วยชาวนาจริง ๆ

ทีนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยว่า แล้วความผิดคือประเด็นไหนล่ะ ?

คำตอบก็คือ ประเด็นมีนโยบายโครงการจำนำข้าวเพื่อช่วยชาวนาน่ะไม่ผิดหรอก

แต่ที่ประเด็นที่ผิดคือ ข้าวที่ซื้อจากชาวนามาแล้ว มันขายไม่ออก จนเหลือเน่า เหลือเสื่อมคาโกดังที่รัฐต้องเช่า กว่า 18 ล้านตัน ในช่วง 2 ปี นี่แหละคือความเสียหาย !!!

สรุปง่าย ๆ เรื่อง โครงการจำนำข้าว ต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1. การที่รัฐบาลซื้อข้าวจากชาวนาในราคาแพงกว่าราคาตลาด นั้นไม่ผิด เพราะถือว่า เป็นนโยบายช่วยเหลือชาวนา

แต่ที่ประเด็นที่ผิดคือ

ประเด็นที่ 2. ข้าวที่รับซื้อมามันขายไม่ออก จนเน่า จนเสื่อม นี่แหละคือความผิดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะไม่ยับยั้งโครงกานจนเกิดความเสียหายบานปลายตามมา เพราะเงินที่ใช้ช่วยเหลือชาวนา ก็ใช้จนเกินวงเงินที่รัฐบาลตั้งไว้ ก่อให้เกิดหนี้ของภาครัฐมากมายและยาวนานกว่าจะใช้หนี้หมด


ซึ่งในข่าว นายจิรชัย ก็บอกแล้วว่า โดยพฤติการณ์ของผู้กำกับนโยบาย ถือว่า มีความผิด ส่วนประเด็นเรื่องความเสียหายนั้น ก็จะแยกไปอีกเรื่องหนึ่ง และขอสงวนไว้ก่อน

----------------

นโยบายช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แตกต่างจากรัฐบาลอื่น ๆ อย่างไร 

ก็แตกต่างกันตรงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์รัฐบาลเดียวที่ทำชาติเสียหายมากถึง 6 แสนล้านบาท

กล่าวคือ รัฐบาลไทยก่อนหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ สุรยุทธ สมัคร สมชาย อภิสิทธิ์ รัฐบาลเหล่านี้ล้วนเคยมีโครงการช่วยเหลือผลผลิตการเกษตรตกต่ำมาแล้วทุกรัฐบาล

แต่ทั้ง 5 รัฐบาลที่ผ่านมา ขาดทุนจากโครงการประกันและโครงการจำนำสินค้าการเกษตร เป็นเงินประมาณ 1.63 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 11 โครงการ ก็ตกขาดทุนโครงการละ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งพอรับได้ เพราะถือว่ารัฐบาลช่วยเกษตรกรเฉลี่ยปีละประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

แต่เฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลเดียว ทำรัฐบาลเสียหายไป 5.36 แสนล้านบาท และยังพบว่า มีข้าวหายไปจากโครงการจำนำข้าวอีก 3 แสนตัน ซึ่งยังหาต้นตอไม่ได้ว่าหายไปไหน และทำให้รัฐต้องเสียหายเพิ่มขึ้นอีก เป็นประมาณ 6 แสนล้านบาท

สรุปคือ ความเสียหายของโครงการจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ได้สร้างความเสียหายเกินที่จะรับได้ เพราะมีการเตือนให้หยุดโครงการนี้จากหลายฝ่ายแล้วตั้งแต่ฤดูกาลแรกของปี 54/55 แล้ว

แต่ยิ่งลักษณ์ไม่เชื่อ ยังฝืนทำชาติเจ๊งต่อไป จึงสมควรให้ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้กำกับนโยบายต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญา

---------------------

ส่วนในความสงสัยของไอ้เต้น ที่ว่า ยิ่งลักษณ์มอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีดูแลไปแล้ว ในส่วนยิ่งลักษณ์จึงไม่ควรมีความผิดนั้น

ไอ้เต้น ก็โชว์โง่เหมือนที่นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายที่เข้าข้างระบอบทักษิณ ก็เคยถามคำถามโง่ ๆ แบบไอ้เต้น ถามเช่นกัน จนอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ต้องสอนให้หายโง่

ผมจึงขอเชิญคุณผู้อ่าน คลิกอ่านบทความ เรื่อง "แก้วสรร สอนมวยวีรพัฒน์" เพื่อความกระจ่างในประเด็นนี้ว่า ทำไมต้องเอาผิดยิ่งลักษณ์ทั้งทางอาญาและทางแพ่งครับ

คลิกอ่าน "แก้วสรร สอนมวย วีรพัฒน์ พร้อมแนะทางรอดให้ยิ่งลักษณ์"