วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การประท้วงผิวสีในมิสซูรี ทำไมไม่ชู 3 นิ้วเหมือนพวกโง่ในไทย






กระแสประท้วงเรื่องสีผิว ในสหรัฐอเมริกากลับร้อนแรงอีกครั้ง หลังคณะลูกขุนไม่เห็นด้วยที่จะดำเนินคดีตำรวจผิวขาวที่ยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิต จนการประท้วงเรื่องนี้ลามไปแล้วกว่า 37 รัฐทั่วสหรัฐ

ส่วนประธานาธิบดีโอบามา ก็ประกาศว่า จะดำเนินคดีกับผู้ประท้วงที่ก่อเหตุรุนแรงทุกคน

ล่าสุด ตำรวจผิวขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเป็นครั้งแรก แล้ว

"ดาเรน วิลสัน" ตำรวจเมืองเฟอร์กูสัน ที่ก่อเหตุยิงวัยรุ่นผิวสีเสียชีวิต ออกมาเปิดเผยเรื่องราวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกภายหลังจากที่คณะลูกขุนมีความเห็นไม่ดำเนินคดีในข้อหาเจตนาฆ่าซึ่งนำมาสู่เหตุจลาจลในหลายเมืองทั่วสหรัฐอเมริกา โดยวิลสันอ้างว่าเขายิงปืนออกไปหลายนัดเพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้ายถึงชีวิต



ดาเรน วิลสัน อายุ 28 ปี ตำรวจเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี ผู้ก่อเหตุยิงนายไมเคิล บราวน์ วัยรุ่นผิวสีอายุ 18 ปีเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 ส.ค.2557 ให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ เอบีซี ของสหรัฐฯ ถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า เขาขับรถสายตรวจมาคนเดียวและพบนายบราวน์กับเพื่อนอีกคนหนึ่งเดินอยู่กลางถนน จึงเปิดกระจกบอกให้ไปเดินริมๆ ถนน ซึ่งนายบราวน์ที่มีรูปร่างใหญ่ สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว กลับหันมาด่าทอและชกหน้าเขาหนึ่งหมัด จากนั้นก็เกิดการปลุกปล้ำ และแย่งปืนกัน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายวิลสันอ้างว่า แม้นายบราวน์ถูกยิงแล้ว แต่ก็ยังโถมเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่ง จนเขากลัวว่าตนเองจะได้รับอันตรายถึงชีวิตจึงต้องยิงปืนไปที่ศีรษะอีกหลายนัด

ข่าวไทยพีบีเอส


พ่อแม่ของวัยรุ่นผิวสีที่เสียชีวิต ออกมาให้สัมภาษณ์




----------------

ทั้ง ๆ ที่ กระแสหนัง The Hunger Games : Mockingjay – Part 1. กำลังฮอตฮิตไปทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายนนี้ จนพวกโง่คลั่งประควายธิปไตย รวมทั้งเหล่าสาวกไอ้เจียมหงอก ได้หยิบเอามาสร้างกระแส ชู 3 นิ้วแบบโง่ ๆ ต่อต้านรัฐประหาร ทั้ง ๆ ที่ การชู 3 นิ้วเขาต้องชูเพื่อสนับสนุนคนที่เขารัก หรือคนที่เป็นฝ่ายเดียวกัน

ลองดูตัวอย่าง การประท้วงในมิซูรี จากกระแสเต่อต้านหยียดผิว และความไม่เท่าเทียมกันในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อชาวผิวสี อเมริกันชนกลับไม่ชู 3 นิ้ว แต่พวกเขาเลือกที่จะใส่หน้ากากขาวกัน












ประเทศไทยเรานี้แสนดีนักหนา แต่เสียดายที่มีพวกโง่และไอ้พวกหนักแผ่นดินอยู่เยอะ ประเทศไทยเราไม่เจริญเพราะพวกโง่และพวกหนักแผ่นดินอย่างสาวกไอ้หงอเจียม นั่นแล

เฮ่อ... พวกล้มเจ้า ตอนมันยังมีชีวิตก็ทำซ่า แต่ตอนตาย มันไม่มีโอกาสได้กลับมาบอกว่า ผมผิดไปแล้ว ดิชั้นผิดไปแล้ว

เช่น อยู่ ๆ พวกล้มเจ้าก็ดันขับรถตกลงมาจากห้างตาย หรือบางทีขับรถตกลงมาจากทางด่วนตาย หรืออยู่ ๆ เดินข้ามทางรถไฟมองไม่เห็นรถไฟเหมือนมีบาปกรรมบังตาเลยโดนรถไฟทับตายก็มี หรือโดนฟ้าผ่าตายก็มี หรือบางทีเดินในบ้านดันโดนกำแพงบ้านตัวเองล้มทับตายก็มี หรือ บางทีนั่งเล่นริมน้ำ ดันวูบตกน้ำตายก็มี หรือบางทีขี่มอไซค์ออกมาจากบ้านอยู่ ๆ ก็โดนต้นไม้ใหญ่ล้มลงมาทับตายพอดี ๆ

เพราะพวกล้มเจ้าส่วนใหญ่มักตายพิสดารแบบนี้แหละ เชื่อไหม ? แต่พวกมันไม่มีโอกาสกลับมาเตือนพวกเดียวกันให้กลับตัวกลับใจ

------------

ขำ ๆ

ประเทศไทยเรา ไม่มีไพร่ ไม่มีทาส แต่พวกเลวยังพยายามจะบอกว่ามี

ทั้ง ๆ ที่คนไทยทุกคนมีโอกาสรวยได้ถ้าฉลาดและขยัน ส่วนคนโง่ที่ยากจน มักจะโทษคนอื่นก่อนเสมอ แต่ไม่ยอมโทษตัวเอง

ลูกเจ๊กลูกจีน เด็กวัด ลูกแม่ค้า ก็เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศนี้ได้

แถม ขนาดประเทศนี้คนโง่ก็ยังเป็นนายกฯ หญิงคนแรกได้เลย

แต่ในอเมริกา ที่ว่าเสรีภาพเหลือเกิน แต่กลับมีคลื่นใต้น้ำเรื่องการเหยียดสีผิว ที่ยังพร้อมระเบิดได้เสมอ

อ้าว ระเบิดไปแล้ว 38 รัฐแล้วนี่ ?? 5555555 /@akecity


คลิกอ่าน คดีตำรวจผิวขาวยิงวัยรุ่นผิวสีตาย สหรัฐอเมริกาบอกนี่เป็นเรื่องภายในของสหรัฐอเมริกา


วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาเหตุวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ใครคือต้นเหตุวิกฤติต้มยำกุ้ง






วิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้ดีว่าเกิดจากการที่ไทยเราถูกโจมตีค่าเงินบาท

รัฐบาลชวลิตและธนาคารแห่งประเทศไทย พยายามจะรักษาค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนให้คงอยู่ที่ 25 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ จนทำให้เงินคงคลังและทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของไทยเราแทบหมด จนทำให้ต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด

แต่สาเหตุที่คนส่วนใหญ่รู้เป็นแค่สาเหตุที่มาถึงจุดระเบิดของวิกฤติ 40 เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ต้นเหตุของวิกฤติ 40 มันมีที่มาที่ไป สะสมจนเป็นดินพอกหางหมูมาก่อนหน้านั้นประมาณ 7 ปีมาแล้ว

เริ่มตั้งแต่สมัยรัฐบาลชาติชาย ที่เป็นยุคบูมที่สุดของเศรษฐกิจไทยครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์บูมมาก ที่ดินมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ มีเงินจากต่างชาติเข้าลงทุนมากมายตามนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า"

และเมื่อมีเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาก เกิดสภาพคล่องทางการเงินสูง การปล่อยกู้ของธนาคารก็ปล่อยกันง่าย ๆ โดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้ภาคอสังหาริมทรัพย์

ทำให้เกิดกระแสประชาชนที่พอจะมีเงินแห่ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อที่ดินไว้เก็งกำไรเพื่อขายต่อ ซึ่งยุคนั้นใครมีเงินมาเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ก็รวยกันถ้วนหน้า จนขนาดที่ว่า นายทุนอสังหาริมทรัพย์แค่ประกาศเปิดตัวโครงการ ยังไม่ทันมีการก่อสร้างจริง ๆ ด้วยซ้ำ คนก็แห่มาจองกันหมดในพริบตาแล้ว

--------------------

BIBF ปฐมเหตุวิกฤติต้มยำกุ้ง

ในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ภาค 2 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รัฐบาลอานันท์ พยายามจะเปิดเสรีทางการค้าและทางเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อสานต่อนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า" โดยเฉพาะการเปิดเสรีทางการเงิน โดยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคอาเซียน

คณะรัฐมนตรีของนายอานันท์ ปันยารชุน จึงได้อนุมัติให้มีการจัดตั้ง Bangkok International Banking Facilities (BIBFs) เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2535 ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 16 กันยายน 2535 ได้ให้คำนิยามกิจการวิเทศธนกิจไว้ 2 ประเภท โดยสรุป คือ

1) กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในต่างประเทศ หมายถึง การรับฝากหรือกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือการรับฝากหรือกู้ยืมเงินบาทจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในต่างประเทศหรือแก่กิจการวิเทศธนกิจอื่น

2) กิจการวิเทศธนกิจเพื่อการให้กู้ยืมในประเทศ หมายถึง การรับฝากหรือการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำไปให้กู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศไทยโดยมีการเบิกถอนเงินกู้ยืมแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าจำนวนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ค้นคว้าข้อมูลได้ที่ คลิกอ่าน ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การประกอบกิจการวิเทศธนกิจของธนาคารพาณิชย์



หน้าแรกของประกาศกระทรวงการคลังนโยบาย BIBF ในราชกิจจานุเบกษา 17 ก.ย. 2535 ลงนามโดย นายพนัส สิมะเสถียร รมว.คลัง ในรัฐบาลอานันท์ ลงวันที่ 16 ก.ย. 2535 ในหน้าสุดท้าย




ลังจากนั้น ก็มีรัฐบาลชวน เข้ามาบริหารประเทศต่อในวันที่ 23 กันยายน 2535

ซึ่งนโยบายกิจการวิเทศธนกิจ Bangkok International Banking Facilities : BIBF ที่เริ่มให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินกิจการวิเทศธนกิจอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 2536

"กิจการวิเทศธนกิจ ก็คือ กิจการที่มีแหล่งที่มาของเงินทุนมาจากต่างประเทศ ส่วนผู้ที่ได้รับสินเชื่อจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศก็ได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ ดำเนินธุรกิจการเงินระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2536"

ดังนั้น จงทราบในชั้นต้นไว้ก่อนว่า รัฐบาลชวน หลีกภัย ไม่ใช่คนออกนโยบาย BIBF เพราะนโยบาย BIBF เป็นนโยบายที่สืบเนื่องมาจากรัฐบาลอานันท์

ซึ่งในวันนี้ประเทศไทยก็ยังใช้นโยบาย BIBF มาจนถึงปัจจุบัน !!

เพียงแต่แก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เหมาะสมและมีวินัยทางการเงินการคลังมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยวิกฤติ 40 อีก หรือให้เกิดได้ยากขึ้น

---------------

เปิดเสรีทางการเงิน แต่คงค่าเงินบาทให้คงที่ คือหายนะ

การเปิดให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของไทยไปกู้เงินจากต่างประเทศได้อย่างเสรี เพราะมีดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำกว่าดอกเบี้ยในไทยอย่างมาก เพื่อมาปล่อยกู้ให้กับนักลงทุนไทยในประเทศ

ซึ่งเงินกู้ส่วนใหญ่ก็ถูกปล่อยกู้ไปกับการลงทุนในตลาดหุ้น และในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้เกิดการเก็งกำไรในที่ดิน บ้าน คอนโด จนกลายเป็นฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ คือ จำนวนอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นมีมากเกินจำนวนความต้องการที่แท้จริง

แต่ที่อสังหาริมทรัพย์ยังขายได้ก็เพราะ กระแสเงินที่ธนาคารปล่อยกู้ง่าย ๆ บวกกับคนแห่ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร จนกลายเป็นความต้องการเทียม หรือ อุปสงค์เทียม นั่นเอง

และยังเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมาก ก็ได้ทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดสูงขึ้นกว่าความเป็นจริง ส่วนคนเล่นหุ้นที่ได้กำไร ก็เอาเงินมาเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ต่ออีกทอด

เมื่อเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามามาก เกิดความคล่องตัวทางการเงินในระบบเศรษฐกิจสูง ก็เลยปล่อยกู้กันอย่างง่าย ๆ ชุ่ย ๆ ในขณะที่ประเทศไทยยังคงรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ต่อไป นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะ

เพราะการเปิดเสรีทางการเงินนั้น เมื่อปล่อยให้เงินเข้าโดยเสรี ก็ควรต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวอย่างเป็นธรรมชาติด้วย

แต่รัฐบาลไทยหลังจากเปิดใช้นโยบาย BIBF แล้ว ทุกรัฐบาลก็ยังฝืนธรรมชาติของการปริวรรตเงินตรา ด้วยการพยายามรักษาค่าเงินบาทไทยให้คงที่ด้วยการใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศไปพยุงไว้

ซึ่งก็ไม่มีรัฐบาลไหน นักการเมืองคนไหน ผู้บริหารสถาบันการเงินคนไหน นักธุรกิจรายใหญ่คนไหน ภาคเอกชนรายใด ออกมาทักท้วงเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้

เพราะทุกคนทุกฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์จากการคงอัตราค่าเงินบาทกันทั้งนั้น และก็ได้ประโยชน์จากการนำเงินต่างประเทศมาปล่อยกู้ในประเทศ หรือกินส่วนต่างดอกเบี้ยในประเทศกันทั้งสิ้น


------------------

พรรคการเมืองทุกพรรค นักการเมืองทุกคนมีส่วนทำให้เกิดวิกฤติ 2540

นโยบาย BIBF จริงๆ เริ่มกำเนิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน แต่การเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินกิจการวิเทศธนกิจได้จริง ๆ ก็ล่วงเข้ามาในเดือนมีนาคม 2536 ในสมัยรัฐบาลชวน

แล้วหลังจากรัฐบาลชวน ก็มีรัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิต ที่บริหารประเทศหลังจากได้มีการดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงินแล้ว และยังรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ ๆ 25 บาทต่อดอลล่าห์ต่อไป

ทุกรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิต จึงต้องมีส่วนรับผิดชอบในวิกฤติปี 40 ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ใครควรรับผิดชอบมากน้อยกว่ากันเท่านั้น ?



รัฐบาลชวน บริหารตั้งแต่ 23 กันยายน พ.ศ. 2535 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
รัฐบาลบรรหาร บริหารตั้งแต่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
รัฐบาลชวลิต บริหารตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540

ปัญหาเงินทุนจากต่างประเทศทะลักเข้าไทยมากเกินไปในภาคอสังหาริมทรพัย์ ได้สั่งสมมาเรื่อย ๆ และมากขึ้น ๆ แต่ไม่มีรัฐบาลไหนโดยเฉพาะรัฐบาลบรรหาร และรัฐบาลชวลิต ที่เข้ามาบริหารต่อจากรัฐบาลชวน จะหาทางแก้ไขในเรื่องนี้เลย หากคิดว่าภายใต้นโยบาย BIBF ที่รัฐบาลชวน ได้ดำเนินนโยบายสืบเนื่องมาจากรัฐบาลอานันท์ ทำไว้ไม่ดีตั้งแต่แรก เพราะทั้งรัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิต ก็เห็นดีเห็นงามตามกันมาทั้งหมด

สรุปก็คือ ควรรับผิดชอบร่วมกันทุกรัฐบาล


แต่มีชายคนหนึ่งที่เคยร่วมอยู่ในทุกรัฐบาลที่กล่าวมา คือทั้งรัฐบาลชวน รัฐบาลบรรหาร และรัฐบาลชวลิต เขาคนนั้นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นายเสนาะ เทียนทอง เคยบอกว่า คนที่คุณรู้ว่าใคร คนนี้ได้กำไรหลายพันล้านบาทจากการลอยตัวค่าเงินบาท เพราะเขารู้ข่าววงในก่อนใคร เพราะคนที่คุณก็รู้ว่าใครสนิทสนมกับนายทนง พิทยะ รมว.คลังตอนนั้นเป็นพิเศษ  เพราะนายทนง พิทยะ คือผู้วางรากฐานระบบการเงินให้ชินคอร์ป แล้วคนที่คุณก็รู้ว่าใคร จึงรีบไปซื้อเงินดอลล่าห์ก่อนการลอยตัวเงินบาททันที



ดังนั้นใครก็ตามที่ไปกู้เงินมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นจนเกิดฟองสบู่เศรษฐกิจ และใครก็ตามที่แห่ไปซื้อบ้าน คอนโด ที่ดิน เพื่อเก็งกำไร

รวมถึงนักธุรกิจ นายธนาคาร นักการเมืองและรัฐบาล ต่างก็มีส่วนทำให้เกิดวิกฤติ 40 ทั้งสิ้น

เพราะมันคือยุคแห่งความโลภของคนไทยโดยแท้

------------------

ความเห็น อดีต ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย นางธาริษา วัฒนเกศ ที่แสดงความเห็นในโอกาสครบรอบ 15 ปีวิกฤติ 40 ดังนี้


สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 หลายคนอาจโยนความผิดทั้งหมดให้ ธปท. และอีกหลายคนก็โทษสถาบันการเงินที่ไม่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยมองว่าบริษัทในตลาดหุ้นคือตัวร้าย แต่ในมุมมองของ ดร.ธาริษาต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไร มีสาระสำคัญดังนี้

ในมุมมองของคุณธาริษาองค์ประกอบอะไรในสถาบันการเงินที่ขาดไปในช่วงนั้น ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ’40 ?

ดิฉันคิดว่าวิกฤติ ’40 ทุกคนมีส่วนร่วมทั้งสิ้น ไม่ใช่ความผิดพลาดของบุคคลหรือหน่วยงานใดเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ตั้งใจ

อย่างธปท. แน่นอนว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเปิดเสรีด้านการเงินโดยอนุญาตให้ตั้งวิเทศธนกิจ (บีไอบีเอฟ) ในขณะที่ไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินไม่ได้ทำให้สอดคล้องกัน ยังยึดถืออัตราแลกเปลี่ยนคงที่

การกำกับดูแลของเราก็ยังเป็นแบบดูว่าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือไม่ ไม่ได้ดูว่าเขาเสี่ยงไม่เสี่ยงแค่ไหนอย่างไรยังไง การกำกับดูแลทั่วไปอย่างสหรัฐฯ หรือประเทศที่เจริญแล้วก็ยังใช้หลักว่าปฎิบัติตามกฏเกณฑ์หรือไม่ ก็เป็นวิธีการที่ล้าสมัยอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่นั้นธปท. ก็ไม่ได้ก้าวตามแนวคิดใหม่ๆ ยุคสมัยเปลี่ยนสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้วเราไม่ตามให้ทัน

ภาคเอกชนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างที่เรียนไปเมื่อสักครู่ คือภาคธุรกิจก็อยากจะกู้ เพราะหาค่าตอบแทนได้

ในช่วงนั้นส่วนต่างดอกเบี้ยเมืองไทยสูงกว่าต่างประเทศเยอะมาก ?

ใช่คะ แล้วกู้มาจะเอาไปลงทุน ทำธุรกิจมันทำไม่ทัน สู้เอาไปลงทุนซื้อที่ดินซื้อหุ้นรวยเร็วกว่า ทุกคนก็อยากรวย ภาคธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนก็อยากให้กู้ เพราะว่าได้ดอกเบี้ยเป็นรายได้ของตัวเอง

ภาครัฐก็เกี่ยวข้องในด้านกฎหมายที่ล้าสมัยและไม่ได้ปรับเปลี่ยนมานาน เช่น เรื่องการกำกับดูแลเราเคยอยากแก้กฎหมาย ให้แบงก์ชาติว่า การที่ธนาคารพาณิชย์จะตั้งคณะกรรมการของตัวเองได้ต้องขออนุญาต ธปท. เพราะธนาคารจะทำอะไรได้ดีหรือไม่ “คนที่บริหาร” สำคัญที่สุด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ส่วนการเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาฐานะสถาบันการเงิน สมมติเรารู้ว่าธนาคารแห่งนี้หรือบริษัทเงินทุนแห่งนี้กำลังมีปัญหาและถ้าจะแก้ไขในครึ่งปีจะแย่ แต่เราไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องรอเงินทุนหมดหรือติดลบก่อน คือกฎหมายไม่อำนวยความสะดวกให้แก้ปัญหาเนิ่นๆ ได้

พวกนี้นี้คือการผสมปนเปทั้งสิ้น ธนาคารพาณิชย์จะแก้ปัญหาลูกหนี้ก็ทำได้ไม่สะดวก จะปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ก็มีกฎเกณฑ์เรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง

โดยสรุปแล้วดิฉันคิดว่า “ทุกคนมีส่วนทำให้เกิดวิกฤติ40โดยไม่ได้ตั้งใจ”

ที่มาคำสัมภาษณ์ Thaipublica.org

--------------------

การโจมตีค่าเงินบาท 

เมื่อไทยเราโดนโจมตีค่าเงินบาทจากพ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส และกองทุนเฮดฟันจ์ ทั้งหลาย

รัฐบาลชวลิตและธนาคารแห่งประเทศไทย พยายามใช้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศรักษาค่าเงินบาทให้คงที่ จนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกือบหมด จนต้องลอยตัวค่าเงินบาทนั้น

ซึ่งถือเป็นการบริหารการเงินการคลังที่ผิดพลาดอย่างรุนแรงที่สุดของรัฐบาลชวลิต คือแทนที่จะค่อย ๆ ประกาศลดค่าเงินบาทลงเรื่อย ๆ เพื่อลดภาระทางการคลังรัฐบาลในการปกป้องค่าเงินบาทจากการถูกโจมตีจากนักค้าเงินต่างชาติ แล้วค่อย ๆ ลอยตัวค่าเงินบาทในที่สุด

แต่เมื่อเงินแทบหมดคลัง จนรัฐบาลชวลิตต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อสายเกินไปแล้ว ทำให้หนี้เงินกู้จากต่างประเทศที่รัฐบาลไทย สถาบันการเงินต่างๆ ไปกู้มา  หรือที่คนไทยเป็นหนี้จากการซื้อขายสินค้าจากต่างประเทศ ก็เพิ่มขึ้นไปกว่า 2 เท่า เพราะค่าเงินบาทเคยอ่อนตัวลงสูงสุดที่ 56 บาท/ดอลล่าห์สหรัฐ

ก็เลยทำให้ประเทศไทยต้องไปกู้ไอเอ็มเอฟ และได้เกิด ปรส. (องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน) ขึ้นมาในสมัยรัฐบาลชวลิต ที่มีรองนายกรัฐมนตรีที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร


พระราชกำหนดปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 

หัวเรื่อง หน้า 1 ของ พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540


หัวเรื่องหน้า 2 ของ พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 จัดตั้ง ปรส.


หน้าสุดท้าย ของ พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ


คลิกอ่าน พรก. ปฏิรูปสถาบันการเงิน 2540 ที่นี่

ซึ่ง พรก.ปฏิรูปสถาบันการเงิน 2540 ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ของคณะกรรมการ ปรส. ไว้เป็นกฎหมาย ที่ออกโดยรัฐบาลชวลิต 

หากฝ่ายเพื่อไทยจะโจมตีว่า ประชาธิปัตย์เข้าแทรกแซง ปรส. ที่เป็นองค์อิสระ ต้องยกข้อกฎหมายมาอ้างด้วยว่า ประชาธิปัตย์ละเมิดกฎหมายฉบับนี้ในข้อไหน ??

อย่ามาอ้างลอย ๆ สร้างวาทะกรรมเท็จไว้หลอกเสื้อแดงแบบโอ๊ค พานทองแท้เลย


คลิกอ่าน "โอ๊คโชว์โง่ คดี ปรส. แถมอวยจำนำข้าวอย่างหน้าด้าน"

------------

เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 เกิดจาก กู้เงินจากนอกมาเก็งกำไรในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ จนฟองเศรษฐกิจสบู่แตก

ส่วนโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถ้ายังไม่ถูกปิดบัญชีลงไป รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จะหาทางกู้เอาเงินจากสถาบันการเงินต่าง ๆ มารับซื้อข้าวในราคาแพงเว่อร์ จนเงินไปจมในโครงการจำนำข้าวอีกหลายล้าน ๆ บาทแน่นอน แล้วในที่สุดก็จะเกิดฟองสบู่เศรษฐกิจแตกอีกครั้ง

ปรส. ขายหนี้เน่าสถาบันการเงิน 56 แห่งมูลค่าเดิมก่อนเกิดวิกฤติ40 จำนวน 8 แสนล้านบาท ขายได้เงินมา 2 แสนล้านบาท

แล้วรัฐบาล คสช. และรัฐบาลต่อ ๆ ไป จะขายข้าวสารที่กำลังจะเสื่อมกำลังเน่า 18 ล้านตัน จะได้มูลค่าสักเท่าไหร่กัน


ฟังนายธนาคาร นักธุรกิจ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวิกฤติ 40 อธิบายถึงที่มาของวิกฤติ 40 จากรายการสยามวาระ โดยเฉพาะรูปที่ขึ้นหน้าจอยูทูป นายยรรยง พงษ์พานิช พูดดีมาก เพราะเขายอมรับความผิดว่า เขาเองก็หลงคิดว่า ตนเองเก่งในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่เหมือนกัน



-----------------

นเก็บขยะ เก็บซีดีเอาไปขายอย่างผิดกฎหมาย โดนศาลตัดสินให้ชดใช้เงินค่าปรับ 1.5 แสนบาท แต่เขาไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ จึงถูกจำคุกแทนค่าปรับ แต่ภายหลังมีเศรษฐีใจบุญไม่ประสงค์ออกนามบริจาคเงินช่วยเหลือชดใช้ค่าปรับแทนเขา

คนเก็บขยะคนนี้ หลังจากจบคดีดังคดีนี้แล้ว เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เมื่อนึกย้อนกลับไปเขาไม่โทษใคร และเขายอมรับความผิดโดยดีจากความรู้เท่าไม่ถึงการของเขา เพราะคนเราควรเคารพกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกันทุกคน

ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ทำผิดพลาดในการบริหารนโยบายจำนำข้าว ขาดทุนอย่างต่ำ 5.1 แสนล้าน ยังไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้ที่กำลังงอกเงยต่อไป (ผมว่าถ้าเปิดเผยหลักการคำนวณมากกว่านี้ ผมว่าจะเห็นการขาดทุนถึง 7แสนล้านแน่นอน ยังมีการหมกเม็ดการคำนวณอยู่)

ยิ่งลักษณ์ทำความชาติเสียหายให้ชาติหลายแสนล้านบาท ถ้าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่มีการทักท้วงให้หยุดโครงการนี้แล้ว ประเทศนี้คนดีก็ยิ่งอยู่ยากมากขึ้น

----------------

ล่าสุด ได้มี อดีต สส. ปชป. ได้แสดงความเห็นชื่นชมบทความนี้ของผมแล้ว

ได้มีอดีต สส.ประชาธิปัตย์ ซึ่งปัจจุบันเขาได้ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว คือ คุณพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ได้เข้ามาอ่านและได้ชื่นชมบทความผมแล้ว

นี่คือสิ่งยืนยันว่า บทความเรื่องนี้ผมเขียนด้วยข้อมูลจริงแท้แน่นอน ทั้ง ๆ ที่ผมก็เขียนในบทความนี้ว่า ทุกรัฐบาลมีส่วนรับผิดชอบในวิกฤติ 40 ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งรัฐบาลชวน

คุณพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล ได้ตอบความเห็นของผม เมื่อผมไปโพสลิงค์บทความไว้ที่เพจโอ๊ค พานทองแท้

http://goo.gl/GXNP8w




คลิกอ่าน "ใครกู้IMF ใครใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ใครผลาญเงินเอาหน้า"

คลิกอ่าน ทำไม ปรส. ไม่แยกหนี้ดีหนี้เสียออกจากกัน ??




วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ยิ่งลักษณ์ขโมยข้าวเหนียวไก่ของน้องล่า รึเปล่า






คลิปใครขโมยเหนียวไก่กูนิ ที่ดังข้ามคืน จนน้องล่า เหนียวไก่ หาย ดังเป็นพลุแตก ขนาดสรยุทธ ยังต้องตามไลค์เธอ เพราะความน่ารักฮา ๆ



มีซับไตเติ้ลให้

"สวัสดีโซเชี่ยลแคม...
นี้น่อ คลิปนี้ก็ฝากถึงพวกที่ว่าลักเหนียวไก่
ก็คือแบบว่า... เรื่องมีแบบว่า...
คือว่ากูซื้อเหนียวไก่หน้าสี่แยกใช่แมะ
เหนียวไก่ฮั่น กูซื้อ 30
เออ กูเดินเข้าเซเว่น
กูเอาไปตั้งหน้าตะกร้ารถใช่แมะหละ
ถึงกูเดินเข้าในเซเวน เดินเข้าแปปเดียวนิ๊
กูไปออนไลน์ใช่แมะ ถึงพอกูมาดูอีกที
เหยดแหม่ !! เหนียวไก่หาย !!
มึงว่า ขี้ลัก? มึงว่า คนลัก? หรือว่า...
หมาคาบ? หรือ แมวกิน?
มึงคิดดูเอาเองเหยดแหม่
มันไม่มีปัญญาซื้อเหนียวไก่เหอ
30 บาทนิ๊ !! ยังไม่มีปัญญา ยังมาลักของคนอื่น
เหยดแหม่ กูเจ็บใจหนัดนิ๊ !!
กูไม่รู้จะอธิบายยังไงจริง
ก็ฝากบอกคนที่ว่าลักเหนียวไก่ด้วยนะว่า...
เหยดแหม่ !! อย่าให้กูรู้นะว่ามึงลัก เหยดแหม่ !!
กู... กูเอาเหนียวไก่ยัดปากมึงแหน่ !!
มึงจำเอาไว้ เหยดแหม่ !!
จริง !! เหยดแหม่ กูเคียดหนัดนิ๊จริง
เหนียวไก่หาย !! เหยดแหม่แล้วกูตั้งใจอุตส่าห์ซื้อ
อิมานั่งกินบายๆใจที่บ้านนิ๊
เหยดแหม่ !! กลับถูกลัก คิดดูเหนียวไก่มันยังลัก
คุณคิดดูเอาเองนะ
จริง ไอยา !! จริง เคียดเลยนิ๊จริง
เอ๊อะ !! ซื้อตั้ง 2 ชิ้นอยู่ บ้าแล้ว
ป่านนี้นั่งกิน หรอย - บายใจไปแล้วแหละ
เหยดแหม่ !! ขอให้ไก่ติดคอตาย
เหยดแหม่ !! ใครกิน
เหยดแหม่ !! จริง
กูซิ่มหนัดจริง เหนียวไก่ยังลักคิดดู !!!!!
ร้านก็ยังไม่(ไป)ยอมไปซื้อ
ยอมมาลักเหนียวไก่กู เหยดแหม่ !!
อุบาทว์ !! คน
เออ ไปแล้วน่อ ฝันดีทุกคน
ไม่เป็นไร ตังกูเยอะ กูซื้อใหม่ได้
กูซื้อมาแล้วไม่ต้องห่วง
เหยดแหม่ !! ถ้าวันหลัง ถ้าไม่มีปัญญาก็
อิกินจริงๆบอกกุนิ กูซื้อให้
เหยดแหม่ !! นี่มาลักของกู เจ็บใจหนัด
เหยดแหม่ !! เบี้ยกุยังนิในกะเป๋าเป็นปึก
เหยดแหม่ !!
จริง ไม่อยากอิโม้
ไปแล้วน่อ บ๊ายบ่าย ฝันดี"


ด.ญ.ขนิษฐา จันทร์สว่าง อายุ 15 ปี จาก จังหวัดสตูล หรือน้องล่า เหนียวไก่ กูหายนิ


สถานที่เกิดเหตุ เหนียวไก่ย่างของน้องล่า หายไปนิ


ส่วนเฟสบุ๊คของน้องล่า เหนียวไก่ ของแท้ คลิกติดตามเธอได้ที่นี่ (เพราะเพื่อนเธอเต็มแล้้ว)

พบแล้ว ร้านบังมีน เหนียวไก่ย่าง ที่น้องล่าเป็นลูกค้าประจำ





ขอบคุณ ข่าวไทยรัฐออนไลน์

-----------------------

เมื่อมือถือของน้องล่าไม่มีกล้องหน้า ผมเลยนึกถึงคุณตัน เลยไปโพสแซวคุณตัน ที่เพจคุณตัน แบบนี้




ถ้าน้องล่าหัวหมอสักนิด บอกว่า "กูไปซื้ออิชิตันในเซเว่นนิ กลับมาเหนียวไก่กูหายเลยนิ เครียดเลยกู เหย็ดแหม่"

รับรอง เสี่ยตันจะรีบไปแจกไอโฟน 6 ให้น้องล่าทันที 555555

------------------------

ประเทศไทยเราอยู่ยากมากขึ้น แค่ข้าวเหนียวไก่ 30 บาทก็ยังถูกขโมย

แต่ที่อยู่ยากยิ่งกว่าข้าวเหนียวไก่หาย ก็คือ ข้าวสารในโกดังรัฐหายไป 3 ล้านตัน แถมคนสร้างนโยบายจำนำข้าว ทำชาติขาดทุนเสียหายไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท

คนไทยส่วนใหญ่กลับเฉย ๆ ไม่เดือดร้อน แถมยังหลงใหลพวกนักการเมืองเลว ๆ ที่สร้างหายนะแก่ประเทศมากขนาดนี้อยู่ได้ ปล่อยให้มันลอยหน้าลอยตาประหนึ่งไม่เคยทำความฉิบหายให้ชาติ

เงิน 7 แสนล้านบาท เอาไปสร้างโรงพยาบาลดี ๆ ทันสมัยให้ทั่วประเทศได้ทุกจังหวัด จังหวัดละหลายโรงด้วยซ้ำ เพราะโรงพยาบาลชั้นดีเลิศ ใช้เงินก่อสร้างพร้อมอุปกรณ์แค่ 3 พันล้านเท่านั้น สร้างได้ถึง 350 โรงพยาบาล

โดยไม่ต้องให้สรยุทธ ต้องเดือดร้อนขอรับบริจาคเงินซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ขาดแคลนในโรงพยาบาลต่างจังหวัดด้วย

แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่มันโง่ จึงหลงเชื่อคนเลวในรูปข้างล่างนี้

เหนียวไก่ 30 บาทหาย ดันเป็นข่าวใหญ่ แต่ข้าวหาย 3ล้านตัน สรยุทธแม่งเงียบ !!


"ลักลอบกินของคนอื่น มันอร่อยแบบนี้แหละ ปูชอบมากค่ะ"

------------------------------

ล่าสุด ตำรวจสรุปคดีใหญ่ที่สุดในรอบเดือน ว่า หมาลักเหนียวไก่ของน้องล่าไปแดก

คดีคอขาดบาดตาย ที่ต้องเร่งสรุปใช่มะ เดี๋ยวผู้ว่าสตูลฯ คงเสนอเป็นความดีความชอบให้ได้เลื่อนขั้นด้วยสินะ

ว่าแต่น้องล่าเคยไปแจ้งความเหรอวะ บัดซบจริงเลย !!

---------------

แถม เมื่อประยุทธ์ พบ โอบามา



ตอนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ช่วงปี 51-53 รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยตกต่ำเพราะผลจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจนสำเร็จ จนการส่งออกของไทยพุ่งกระฉูดทำลายสถิติประวัติศาสตร์ไทย จนนานาชาติยกย่องนายกรณ์ จาติกวณิช ว่าเป็นรัฐมนตรีคลังดีเด่นคนนึงของโลกในปีนั้น

แต่พอไทยได้อีโง่ มาเป็นนายกฯ หญิงคนแรก ที่มาจากการเลือกตั้งในปี 54

นโยบายของอีโง่ "ไอ้แม้วคิด อีโง่ทำ" นับตั้งแต่นั้นมาเศรษฐกิจไทยก็ถอยหลังจนแทบจะพังมาจนวันนี้ ข้าวสารแพง ข้าวเหนียวไก่ย่างน้องล่าหาย วัยรุ่นซิ่งรถยนต์คันแรกชนเด็กหญิง 5 ขวบสมองไหล ส่งออกไทยติดลบ คือผลพวงมาจากรัฐบาลอีโง่ทั้งสิ้น จนขโมยขะโจนเต็มบ้านเต็มเมือง


คลิกอ่าน ทำไม ปรส. ไม่แยกหนี้ดีหนี้เสียออกจากกัน


วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พวกล้มเจ้าโชว์โง่ขอเป็นขี้ข้าทักษิณ ขอเป็นรองเท้าทักษิณทุกชาติไป






คือช่วงนี้มีกระแสโชว์โง่ล่าสุดของพวกล้มเจ้าและเป็นทาสทักษิณ ด้วยการเซลฟี่ตัวเองถือข้อความว่า

"จะขอเป็นขี้ข้าทักษิณทุกชาติไป"



รูปแรกหน้าตามันก็ช่างเหมาะสมเป็นขี้ข้าทักษิณจริง ๆ

หรืออีกรูป เป็นผู้หญิงหน้าก็ดูดีแต่ไม่น่าโง่เลย เขียนข้อความว่า "อยากเป็นรองเท้าให้ท่านทักษิณ เดินพัฒนาประเทศทุกชาติไป"




คือเจตนาของคนถือป้ายทั้ง 2 ข้อความนี้ พวกมันตั้งใจจะเสียดสีและประชดประโยคที่ว่า "จะขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป" ที่คนไทยผู้จงรักภักดีมักจะใช้

พวกล้มเจ้าหน้าโง่ทั้งสองคน มันคงนึกว่า การเสียดสีประชดด้วยข้อความ ขอเป็นขี้ข้าทักษิณทุกชาติไป  หรือ อยากเป็นรองเท้าให้ทักษิณทุกชาติไป จะทำให้พวกมันดูฉลาดขึ้น


แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นการด่าตัวมันเอง และเป็นการโชว์โง่เสียเองมากกว่า

ทำไมผมถึงว่า พวกล้มเจ้าพวกนี้ด่าตัวเองและโชว์โง่ ก่อนอื่นเราต้องรู้ที่มาและความหมายของคำว่า "ข้ารองบาท" ก่อนครับ

------------------

ที่มา และความหมาย ข้ารองบาท

ที่จริงความหมายของคำว่า ข้ารองบาท หรือ ข้ารองพระบาท ผมได้เคยอธิบายความหมายไปแล้วในบทความเรื่อง ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ของข้ารองบาท

ซึ่งในบทความนั้นผมเน้นอธิบายความหมายของคำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มากกว่า

แต่ในบทความนี้ผมจะอธิบายคำว่า ข้ารองบาท ให้ละเอียดและเห็นภาพมากขึ้น

"ข้ารองบาท หรือ ข้ารองพระบาท"

คำๆ นี้ต่างหากที่ประชาชนอยากจะใช้แทนตัวเองก็ได้ (ถ้าอยากจะใช้)

ซึ่งคำว่า ข้ารองบาท หรือข้ารองพระบาท นั้น สันนิษฐานว่า รากศัพท์น่าจะมาจากเวลาที่เจ้านายหรือเชื้อพระวงศ์จะทรงขึ้นม้า

ทีนี้เมื่อม้าอยู่สูง ก้าวขึ้นลำบาก ข้าราชบริพารจะไม่แตะเนื้อต้องตัวเจ้านาย แต่จะก้มตัวลงเป็นบันไดเพื่อให้เจ้านายเหยียบเพื่อจะขึ้นไปบนม้าได้ง่าย

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของคำว่า ข้ารองพระบาท ก็คือ ข้าราชบริพารก้มตัวรองพระบาทให้เชื้อพระวงศ์ก้าวขึ้นที่สูง ไงครับ

ซึ่งกรณีแบบนี้มีให้เห็นในทุกประเทศ ในซีรีย์เกาหลีเอง ผมก็เคยเห็นบ่อยๆ เวลาผู้หญิงจะขึ้นม้า ผู้ชายก็มักจะก้มตัวลงเป็นบันไดให้ผู้หญิงเหยียบเพื่อขึ้นม้าได้ง่าย เพราะไม่อยากเสียมารยาทไปแตะต้องตัวผู้หญิง

ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษที่ดียอมเสียสละให้สุภาพสตรีเหยียบเลยนะครับ

ซึ่งก็เป็นต้นกำเนิดของสำนวนที่ว่า "ยอมเป็นบันไดให้เขาก้าวขึ้นไป"

ลองดูรูปตัวอย่างจากซีรีย์เกาหลี ที่พระเอกก้มตัวลงเป็นบันไดให้นางเอกเหยียบขึ้นบนหลังพระเอก ในการขึ้นหลังม้า













ซึ่งถ้าจำไม่ผิด เรื่องนี้พระเอกจะเป็นองครักษ์ที่คอยปกป้องนางเอกที่เป็นเจ้าหญิง

การที่ใครสักคนยอมเป็นบันไดให้คนอื่นก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงกว่าตนเอง ถ้าเต็มใจทำให้ ก็นับว่า เป็นคนที่เสียสละเพื่อคนอื่น

การจะช่วยให้สุภาพสตรีขึ้นหลังม้า อาจไม่ต้องก้มแบบในรูปด้านบนก็ได้ ถ้าสุภาพสตรีเริ่มชำนาญในการขึ้นม้ามากขึ้น ผู้ชายก็อาจแค่นั่งลงและชันเข่าข้างใดข้างหนึ่งเพื่อเป็นบันไดตามรูปนี้



-----------------

เมื่อเรารู้ความหมายของที่มาของคำว่า ข้ารองบาท แล้ว เราก็จะรู้ว่า ความจริงคำว่า "ข้ารองบาท" คือ การยอมเป็นบันไดให้ผู้อื่นก้าวขึ้นไปนั้น ซึ่งไม่ได้แปลว่า ขี้ข้า แต่อย่างใด

แต่หมายถึง ใครก็ได้ที่ยอมเป็นบันไดให้ผู้อื่นใช้ก้าวขึ้นสู่จุดที่สูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง หรือฐานะ หรือขึ้นม้า เช่น สุภาพบุรุษช่วยสุภาพสตรีที่ไม่ชำนาญในการขึ้นม้า เป็นต้น

ดังนั้น ข้ารองบาท ก็คือ ผู้ช่วยเหลือกษัตริย์ในการขึ้นทรงม้า ข้ารองบาทถือเป็นผู้ที่มีเกียรติยศ มีตำแหน่ง เช่น เป็นนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์เท่านั้น ที่จะได้รับโอกาสทำหน้าที่นี้ เปรียบเสมือนเป็นองครักษ์ผู้ปกป้องกษัตริย์ในยามออกศึกนั่นเอง

หากเป็นสมัยพุทธกาล ก็เปรียบเสมือนเป็นนายฉันนะ ผู้ช่วยพาเจ้าชายสิทธัตถะขึ้นม้าออกจากวัง


ภาพ นายฉันนะรอรับเสด็จเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนทรงม้าออกจากวัง ฝีมือวาดของครูเหม เวชกร

-----------------



ฉะนั้น พวกล้มเจ้าที่ถือป้ายข้อความว่า "ขอเป็นขี้ข้าทักษิณทุกชาติไป" ก็ขอให้มันได้เป็นขี้ข้าทรราชทักษิณสมใจนะ เวลาทักษิณมันลงนรก ก็ไปตามเป็นขี้ข้าในนรกด้วยแล้ว

เพราะคำว่า ขี้ข้า ตามพจนานุกรมหมายถึง ทาส , ไพร่





ส่วนผู้หญิงที่ถือป้ายข้อความว่า "อยากเป็นรองเท้าให้ทักษิณ" นังคนนี้ยิ่งโง่กว่าผู้ชายในรูปแรกเสียอีก




คือยัยนี่มันคิดจะประชดคำว่า ข้ารองบาท แต่มันดันเข้าใจว่า "ข้ารองบาท" แปลว่า "รองเท้า" โถ ช่างโง่สมเป็นควายแดงล้มเจ้าจริง ๆ

เพราะคำว่า รองเท้า ถ้าในคำราชาศัพท์ คือคำว่า "ฉลองพระบาท" ซึ่งคนละความหมายกับคำว่า ข้ารองพระบาท เลย

ส่วน ข้ารองพระบาท หมายถึง องครักษ์ผู้ปกป้องและช่วยเหลือกษัตริย์

ดังนั้นคนไทยที่ประกาศขอเป็นข้ารองพระบาท จึงเป็นการประกาศขอเป็นองครักษ์พิทักษ์ปกป้องพระมหากษัตริย์

---------------------

สรุป





พวกล้มเจ้าหน้าโง่มันอยากเป็นแค่ทาสไพร่ของทักษิณ

นี่น่ะหรือ ที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันของพวกมึง อยู่ ๆ เสือกอยากกลับไปเป็นทาสซะงั้น

ส่วนนางล้มเจ้าผู้หญิงมันอยากเป็นแค่รองเท้าของทักษิณ เหอะ ๆ โง่จริง ๆ มันอยากเป็นแค่รองเท้า เป็นแค่สิ่งของเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต

แนะนำเลยนะสาวแดงล้มเจ้าคนนี้ว่า คุณก็เริ่มเป็นรองเท้าให้ทักษิณได้เลยตั้งแต่ชาตินี้ คุณก็ไปฆ่าตัวตายซะ แล้วก่อนจะตายก็ไปสั่งเสียให้โอ๊ค ลูกทักษิณช่วย ถลกเอาหนังของคุณไปทำรองเท้าหนังควายแดงให้ทักษิณใส่เลย

ถ้าแน่จริง !!

ฉะนั้นที่ผมเรียกคนพวกนี้ว่า ทาสทักษิณ ขี้ข้าทักษิณ หรือควายแดงจึงเหมาะสมจริง ๆ

คลิกอ่าน โอ๊ค โชว์โง่คดี ปรส. แถมอวยจำนำข้าวอย่างหน้าด้านๆ

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ควรจะเชื่ออาจารย์เจษฏา เพื่อสนับสนุนพืชจีเอ็มโอ GMOs ดีไหม







นั่งดูอาจารย์เจษฎา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้โด่งดังมาจากเครื่องGT200  ผู้สนับสนุนพืช GMOs (พืชตัดแต่งยีนพันธุ์กรรม) ได้มาเถียงกับคุณวิฑูรย์ ผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี (BIO THAI) ผู้คัดค้านพืชGMOs มาหลายวัน

ผมดูมาตั้งแต่ในรายการเถียงให้รู้เรื่อง มาจนถึงเจาะข่าวเด่นกับสรยุทธ ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลหลักฐานตัวเลขมาอ้างอิงกันยกใหญ่

ซึ่งคนดูก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า ข้อมูลของใครจริงของใครเท็จ แต่ที่แน่ ๆ เป็นข้อมูลที่อ้างตัวเลขมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น

ฝ่ายอาจารย์เจษฏา ก็ยกเหตผุลว่า ถ้าเราไม่วิจัยเรื่องGMOs เราจะล้าหลังในเรื่องนี้เพราะทั่วโลกเขาวิจัยกันทั้งนั้น

ส่วนฝ่ายคุณวิฑูรย์ ก็บอกว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในโลกกำลังต่อต้านพืช GMOs กันมากขึ้นแล้ว

อาจารย์เจษฏา ก็ยกตัวอย่างว่า พืช GMOs มันดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะช่วยให้ผลผลิตมากขึ้น จะช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงในพืชลง

(แต่ในความจริง พืช GMOs ของบริษัทมอนซานโต้ สหรัฐอเมริกา ได้ปลูกในหลายประเทศ แม้จะได้ผลผลิตมากขึ้นก็จริง แต่พืชกลับต้องใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงมากขึ้น ซึ่งเข้าทางมอนซานโต้เลย)


ส่วนคุณวิฑูรย์ ก็บอกว่า ทุกวันนี้เกษตรอินทรีย์ก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ก็มีผลผลิตดีกว่าพืชที่ปลูกแบบใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงอยู่แล้ว แถมพืชอินทรีย์ยังปลอดภัยต่อมนุษย์แน่นอน 100 %  

ในขณะที่อาจารย์เจษฎา ก็บอกว่า พืช GMOs ก็ปลอดภัย แต่มีคนสร้างกระแสให้คนในโลกหวาดกลัวพืช GMOs เกินเหตุ แล้วฝ่ายอาจารย์เจษฎา ก็อ้างว่า ไม่ได้ต่อต้านเกษตรอินทรีย์ ก็ควรทำต่อไป แต่ไม่ควรมาขัดขวางการทดลองวิจัยในเรื่องพืช GMOs เพราะถ้าไทยเราไม่ทดลองเรื่องนี้ ไทยเราจะล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม พม่า จีน และอีกมากมายที่เขาปลูกกันแล้ว

ในขณะที่คุณวิฑูรย์ ก็บอกว่า หากปลูกพืชGMOs อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเข้ามาในพืชทั่วไป จนกลายเป็นพืชGMOs ไปจนหมด แล้วเราจะหาพืชธรรมชาติล้วน ๆ อีกไม่ได้

แต่อาจารย์เจษฎา แย้งว่า ในการทดลองสามารถควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนออกมาภายนอกได้แน่นอน !!

ในขณะที่คุณวิฑูรย์ก็บอกว่า แม้จะอ้างว่าควบคุมได้ แต่ก็เคยมีการหลุดออกมาปนเปื้อนแล้ว แถมกว่าจะแก้ไขได้ก็เสียหายและเสียงบประมาณมาก และในวันนี้กระแสโลกกำลังต้องการเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช่ GMOs หากการเกษตรของไทยมีการปนเปื้อน GMOs จะเป็นการทำลายตลาดการเกษตรของไทยเอง เพราะต่างชาติจะไม่เชื่อถือและไม่ยอมรับผลผลิตการเกษตรของไทย

ในขณะที่ฝ่ายอาจารย์เจษฎาบอกว่า ถ้ารอบประเทศเราเขาปลูกGMOs สุดท้ายมันก็มาปนเปื้อนไทยเราอยู่ดี แล้วเราจะรอให้ประเทศอื่นก้าวหน้าใปเหรอ

-----------------------

ที่ผมเกริ่นคร่าว ๆ มา ถ้าคุณผู้อ่าน อ่านดี ๆ ฝ่ายอาจารย์เจษฎาจะเป็นการโต้แบบหักล้างแบบการโต้วาที พูดดูสวยหรูว่า GMOs ไม่อันตรายอะไร ไทยเราควรปลูกเพื่อทดลองศึกษา อย่างเช่น ที่บอกว่าควบคุมการปนเปื้อนของGMOs ต่อพืชในธรรมชาติได้

แต่พอเจออีกประเด็น ฝ่ายอาจารย์เจษฎาก็กลับหักล้างว่า ถ้าต่อไปประเทศเพื่อนบ้านเขาปลูกรอบบ้านเรา มันก็ต้องข้ามมาปนเปื้อนได้อยู่ดี

(อ้าว ? ตกลงที่เถียงกันอยู่คือเรื่องการทดลอง หรือการปลูกในสภาพแวดล้อมตามปกติกันแน่ครับอาจารย๋ ? อาจารย์กำลังข้ามไปเรื่องเพื่อนบ้านปลูกในสภาวะปกติแล้วนะครับ)


แล้วไหน อ.เจษฎา บอกว่า ในการทดลองมันสามารถควบคุมไม่ให้ออกมาปนเปื้อนได้ไม่ใช่เหรอ ?? 

แล้วถ้าไม่เพาะปลูกในระบบโรงเรือนปิด 100 % ผมก็นึกไม่ออกว่าจะป้องกันการแพร่กระจายออกไปสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างไร แล้วมันมีพืชสักกี่ชนิดกันที่เติบโตได้ดีในระบบปิด

ที่มันเป็นปัญหาเพราะไปทดลองกันในที่แจ้งนี่แหละ แค่ผึ้งบินตามตอมเกสรพืช GMOs แล้วบินไปตอมพืชที่ไม่ใช่ GMOs มันก็แพร่ขจายพันธุ์ได้ง่าย ๆ แล้ว

และที่ อ.เจษฎา อ้าง คือการอ้างแบบเข้าข้างตัวเองว่า ประเทศเพื่อนบ้านรอบบ้านเราจะปลูกพืชจีเอ็มโอเพื่อการพาณิชย์ หมายถึง การปลูกจริง ๆ จัง ๆ ในสภาพแวดล้อมปกติ ไม่ใช่ในการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งแบบนั้นย่อมปนเปื้อนข้ามประเทศได้แน่นอน

ซึ่งผมเชื่อว่า ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เขาคงไม่เห็นแก่เงินมากเท่าคนไทยบางคนที่ยอมเป็นเครื่องมือให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เพราะเพื่อนบ้านเราเขาดูความล้มเหลวของไทยเพื่อไว้เยี่ยงอย่างจะได้ไม่ลอกเลียนแบบ

--------------------

นี่ไง ข่าวมะละกอจีเอ็มโอจากการทดลองจีเอ็มโอหลุดรอดออกมาภายนอก 

ไหนใครบอกว่า ในการทดลองสามารถควบคุมการปนเปื้อนออกมาภายนอกได้ ??



http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=3471

เป็นไงล่ะ ปนเปื้อนหลุดออกมาแล้วจากการทดลอง แต่ไม่สามารถเอาผิดใครได้ เพราะยังไม่มีกฎหมายเอาผิดและบทลงโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้

แม้กรณีนี้จะเป็นการที่ผู้ส่งออกไม่ระบุให้ชัดเจนว่า มะละกอที่ส่งจากไทยไปเป็นมะละกอที่มีจีเอ็มโออยู่ก็ตาม (ก็เพราะไม่รู้ไง) เนื่องจากทางการญี่ปุ่นไม่ได้ห้ามนำเข้าพืชจีเอ็มโอ แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่า เป็นพืชจีเอ็มโอหรือไม่

แต่จากข่าวนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า การป้องกันไม่ให้เกิดการปนเปื้อนจีเอ็มโอในพืชพันธุ์ โดยเฉพาะในไทย เลยนั้นทำได้ยาก



http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/23470/

------------------

เถียงให้ตายในวันนี้ก็ไม่มีฝ่ายชนะหรอกครับ เชื่อผม แต่ผมจะยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านคิดตามผมแล้วกันว่า ควรเชื่อฝ่ายไหนดีกว่า

เช่นประเด็นที่ชอบอ้างว่า ถ้าไม่ทำ ไม่ทดลอง แล้วไทยเราจะล้าหลังประเทศอื่น

ประเด็นนี้ผมขอตอบว่า ในเรื่องเทคโนโลยีไทยเราน่ะล้าหลังเขาทั้งนั้นแหละครับ ทุกวันนี้ไทยเรายังผลิตเครื่องยนต์เองไม่ได้เลย แล้วถ้ามันจะล้าหลังเรื่อง GMOs อีกสักเรื่อง ไทยเราจะเดือดร้อนสักแค่ไหนเชียว (แต่ผมว่าไทยเราไม่เดือดร้อนเรื่องนี้หรอก ลองอ่านเหตุผลของผมต่อไป)

อย่าลืมว่า ประเทศไทยเราไม่ใช่ประเทศที่ขาดแคลนอาหาร ไทยเราผลิตอาหารมากเกินความต้องการด้วยซ้ำ ไทยเราถือเป็นผู้ส่งออกอาหารายใหญ่ของโลก ซึ่งพอผลผลิตเกษตรออกมาคราวเดียวกันมาก ๆ แล้วเป็นไงล่ะ ราคาก็ตก เกษตรกรก็ขาดทุน จนต้องออกมาประท้วงเรียกร้องความช่วยเหลือทั้งปีทั้งชาติใช่ไหม ?

ประเด็นต่อมา เรื่อง จีเอ็มโอ ช่วยให้ใช้เรื่องยาฆ่าแมลงลดลง

ประเด็นเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเรื่องปฏิวัติสีเขียว ก็คือ การที่สหรัฐอเมริกา และธนาคารโลก มาสนับสนุนส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนาในเอเซีย เช่นประเทศไทยปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือปลูกพืชชนิดเดียวทีละมาก ๆ ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรและการใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อการค้าการส่งออก แล้วชาวนาไทยจะรวย



ซึ่งรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ก็เลยออกแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 สอนให้เกษตรกรไทยหันมาใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้พันธุ์พืชที่ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต เพื่อเน้นการส่งออกเอาเงินตราเข้าประเทศ

และนับตั้งแต่นั้นมา ชาวนาไทยก็เปลี่ยนแปลงการปลูกพืชแบบดั้งเดิม จนตกเป็นขี้ข้าปุ๋ย ขี้ข้ายาปราบศัตรูพืช ขี้ข้ารถไถ และก็จนหนักเป็นหนี้มาจนปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้การปลูกข้าวแบบดั้งเดิม ชาวนายังมีที่ดินเป็นของตัวเอง ยังเลี้ยงลูกได้เป็นโขยง และไม่มีหนี้สิน

แต่พอเกษตรกรไทยเชื่อเกษตรแนวใหม่ตามที่รัฐบาลไทยในตอนนั้นแนะนำ หรือการปฏิวัติสีเขียวของอเมริกาเป็นต้นมา เกษตรกรไทยโดยเฉพาะชาวนาก็ยากจนลงขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เพราะหลงเชื่อว่า ปลูกพืชตามแนวฝรั่งบอกมา จะรวยนี่แหละครับ

สุดท้ายผลจากการปฏิวัติสีเขียว คนที่รวยคือนายทุนการเกษตร ส่วนเกษตรกรไทยที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวจนยิ่งหนักกว่าเดิม

แนะนำอ่าน ความล้มเหลวของชาาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1

ทุกวันนี้แม้แต่ชาวนาอินเดีย ออกมาต่อต้านบริษัทมอนซานโต ของอเมริกา ที่ทำลายวิถีการเกษตรดั้งเดิมของอินเดีย ทำให้เกษตรกรต้องไปซื้อกระทั่งเมล็ดพันธุ์พืชจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้มาปลูก ตกเป็นเบี้ยล่าง หรือแปลให้ตรงคือ คนอินเดียตกเป็นทาสผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตรของบริษัทการเกษตรจากต่างชาติไปแล้ว

แนะนำอ่าน ทำไมชาวนาอินเดียถึงยากจนเหมือนชาวนาไทย


------------------------

ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อง ปฏิวัติสีเขียว ที่ทำให้เกษตรกรไทยยากจน หันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยว หันมาใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลงกันมาก จนหลงลืมวิถีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมที่เคยทำให้เกษตรกรไทยอยู่ได้ไม่ยากจนเหมือนในยุคปัจจุบัน นั่นคือ เกษตรสวนผสม เกษตรอินทรีย์

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 50 กว่าปีก่อนที่มีการปฏิวัติสีเขียวเกิดขึ้น พวกบริษัทเกษตรของฝรั่งก็อาศัยนักวิชาการแบบอาจารย์เจษฏานี่แหละครับ ออกมายกวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานวิจัย มาโน้มน้าวรัฐบาลไทย มาโน้มน้าวเกษตรกรไทยมากมาย เพื่อให้หลงเชื่อว่า ทำการเกษตรแบบปฏิวัติสีเขียวสิดี ผลผลิตจะได้เยอะ จะได้ส่งออกไปขาย จะได้รวย

แต่พอต้องใช้ปุ๋ยเคมี ก็ยกงานวิจัยมากมายว่า ปุ๋ยเคมีดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีอันตรายกับคนและสิ่งแวดล้อมหรอก ขนาดประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปเขาก็ทำใช้กันแล้ว ถ้าปุ๋ยเคมีไม่ดี ประเทศเจริญแล้วเหล่านี้ เขาคงไม่ใช้กันหรอก

หรือจะยาปราบศัตรูพืช ก็ใช้ไปเถอะ ถ้าใช้ในปริมาณที่กำหนดไว้ ไม่เป็นอันตรายแก่คน สัตว์และสิ่งแวดล้อมหรอก

ซึ่งกว่าไทยเราจะรู้ตัวว่า โดนหลอกให้เป็นทาสปุ๋ย ทาสยา ทาสเมล็ดพันธุ์พืช ของบริษัทการเกษตรทั้งของเจี่ยไต๋ และบริษัทยักษ์การเกษตรต่างชาติ ก็เวลาล่วงเลยมาร่วม 50 ปี ทำให้ตอนนี้เราจะปรับเปลี่ยนให้เกษตรกรไทยกลับไปใช้วิถีเกษตรอินทรีย์อีกครั้ง ก็ยากเย็นเข็ญใจ

ก็อย่างที่ผมเขียนในบทความ ทีวีถูกลง ข้าวเปลือกแพงขึ้น แต่ชาวนาไทยยังจนกรอบเหมือนเดิม นั่นแหละครับ คือ ตัวอย่างที่ดีว่า ทำไมข้าวเปลือกแพงขึ้น ๆ ทีวีสียิ่งถูกลง ๆ แต่ประเทศที่ผลิตทีวีสียังรวยเหมือนเดิม และชาวนาไทยก็ยังจนเหมือนเดิม

ผมมองว่า เรื่องพืช GMOs ก็คือ การปฏิวัติสีเขียวยุคใหม่นั่นแหละ ประเทศที่เขาขาดแคลนอาหาร เขาอาจต้องการพืชแบบนี้ไปปลูก เพราะมันอาจช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารในประเทศของเขาได้

แต่ผลกระทบจากพืช GMOs นั้น มันต้องดูกันยาว ๆ ว่า ถ้าคนเราบริโภคอาหารที่เป็น GMOs กันอย่างจริงจังจริง ๆ สัก 30 ปีขึ้นไป จะมีผลกระทบอะไรต่อชีวิตมนุษยชาติบ้าง หมายถึง ถ้าคนเรากินอาหารทุกชนิดในแต่ละวันจากพืช GMO จริง ๆ จะผลดีหรือผลร้าย ก็ต้องดูกันในระยะยาวมากกว่า 30 ปีเป็นอย่างน้อย

เหมือนที่ปฏิวัติสีเขียวครั้งแรก กว่าคนไทยและคนในยุโรปและอเมริกาจะเริ่มฉลาดว่า การใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงมันไม่ดีเหมือนที่เชื่อเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ก็ทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปมากแค่ไหน ?

คนในโลกป่วยเป็นมะเร็งและโรคอื่น ๆ มากขึ้นแค่ไหน ? จนตอนนี้ต้องเริ่มหันกลับมาสนับสนุนส่งเสริมให้เป็นเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์กันอีกครั้ง

ให้คนประเทศอื่นเขาทดลองกินพืช GMOs ไปเถอะ เราคนไทยไม่ต้องเสร่อไปแย่งกินพืช GMOs กับเขาหรอก

ผมอยากจะบอกว่า การเกษตรวิถีธรรมชาติ หรือพืชพรรณธรรมชาติแท้ ๆ เลี้ยงดูสรรพชีวิตในโลกนี้มาตั้งเริ่มกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก พืชธรรมชาติแท้ ๆ เลี้ยงดูมนุษยชาติมานับแสนปีมาแล้ว เกษตรอินทรีย์เป็นสิ่งที่เหมาะกับมนุษย์แน่นอน

แต่พืช GMOs นั้น จะดีจริงหรือเปล่า ไม่มีใครยืนยันได้ 100 % ในวันนี้หรอกครับ มันต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกนาน ต้องดูกันยาว ๆ ซึ่งถ้าเกิดรัฐบาลไทยเกิดเชื่ออาจารย์เจษฏา หันสนับสนุนให้มีการทดลองเรื่องพืช GMOs ในไทย แล้วก็ยอมให้มีการขายอาหาร GMOs ได้อย่างเสรี

ถ้าผ่านไปอีก 30 ปี แล้วเพิ่งจะรู้ว่า พืช GMOs เป็นหายนะ ถามว่า ตอนนั้นเราจะเอาผิดใครได้ครับ ?

สมมุติเช่น ถ้าอีก 30 ปีข้างหน้า เกิดค้นพบว่า การกินพืชGMOs ต่อไปนานๆ อาจทำให้อายุขัยมนุษย์สั้นลง ๆ เรื่อย ๆ หรือ กินพืช GMOs แล้ว หน้าตามนุษย์เริ่มเหมือนมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเกิดเป็นมนุษย์กลายพันธุ์มากขึ้นล่ะ 


รูปตัวอย่าง เมื่ออาจารย์เจษ เริ่มกลายพันธุ์จากการกินอาหารจีเอ็มโอ


"ถ้าอาหารจีเอ็มโอไม่ได้ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยตามอ้าง แต่อาจทำให้มนุษย์กลายพันธุ์เป็นพวก X Men ในวันข้างหน้าล่ะ ? แต่ X men ในอนาคตจริง ๆ อาจไม่ได้เก่งเหมือนในหนังไซไฟ แต่กลายพันธุ์เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งมนุษย์ล่ะ? ใครจะรับผิดชอบ ฝากให้คิด "


ามว่า ถึงตอนนั้นจะเอาผิดอาจารย์เจษฎา ตอนนั้นได้ไหม ?
ก็ไม่น่าได้ !!

แม้อาจารย์เจษฎาอาจยังไม่ตายในอีก 30 - 40 ปีข้างหน้า แต่ถามว่า ถึงวันนั้นมันจะคุ้มกับที่คนไทยอาจต้องเสียสุขภาพไปเพราะพืช GMOs หรือไม่ ?

เอาอาจารย์เจษฏา ทั้งครอบครัวลูกหลานไปประหารชีวิตยังไม่คุ้มเลย 


เหมือนในวันนี้ การเกษตรไทยเดินทางผิดมา 50 ปี จะไปเอาผิดรัฐบาลปี 2504 หรือเอาผิดนักวิชาการไทยที่จบจากเมืองนอกเมืองนาที่สนับสนุนให้รัฐบาลไทยเขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ก็เอาผิดไม่ได้เลย จริงไหม ??

โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่า ถ้าประเทศไทยไม่ศึกษาพืช GMOs จะล้าหลังเรื่องพืช GMOs ก็ไม่เห็นเป็นไร เอาสมองไปพัฒนาเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อไทยมากกว่านี้ดีกว่า เพราะถ้าประเทศไทยเน้นเรื่องเกษตรวิถีธรรมชาติได้ทั่วประเทศจริง ๆ ดิน น้ำ เราจะกลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต ปลูกอะไรก็งาม ก็ดีทั้งนั้นแหละ

ถ้าต่อไปเกษตรกรไทยหันมาปลูกพืช GMOs กัน เดี๋ยวก็ต้องตกเป็นทาสเมล็ดพันธุ์พืชกับบริษัทการเกษตรยักษ์ใหญ่ซ้ำรอยเดิมอีก แล้วต่อไปพืชพันธุ์ธรรมชาติแท้ ๆ ของไทยก็อาจสูญสิ้น

ผมสงสัยว่า ที่ อ.เจษฎา ออกมาสนับสนุนGMOs น่ะ เป็นการพูดเพื่อช่วยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตร ที่กำลังอยากจะทดลองเรื่องนี้ในไทยรึเปล่า ?  

พืช GMOs อาจเหมาะกับประเทศที่แห้งแล้ง มีภูมิประเทศไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก จึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เขาถึงต้องดิ้นรนหาทางค้นคว้าวิจัยพืช GMOs เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนอาหารของเขา เพื่อจะได้ไม่ต้องมาซื้ออาหารราคาแพงจากต่างประเทศ เช่นประเทศไทย ไง

ถ้าทั้งโลกปลูกพืช GMOs กันหมด มันก็เท่ากับเหมือนกันหมด ก็ไม่แตกต่าง ซึ่งถ้ามีเหมือนกันหมด ราคามันก็ถูกลงน่ะสิครับ

แต่ถ้าไทยเราไม่เหมือนประเทศอื่นยืนหยัดยืนยันไม่ใช้ GMOs เลย เมื่อไทยเราแตกต่าง เราก็จะเป็นส่วนน้อย เมื่อเป็นส่วนน้อยหายาก ย่อมมีค่ามากกว่าจริงไหม ?

เขาเรียกว่าผลิตอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดี ย่อมขายได้ราคาดีกว่าอาหารทั่วไป อย่าตามตูดฝรั่งมันไปทุกเรื่องเลย หัดฉีกแนวเป็นของตัวเองเสียบ้าง

ดูอย่างประเทศภูฏาน เขาไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงในการเพาะปลูก เพราะเขาถือว่า ฆ่าแมลงก็ผิดศีล และเขาไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกด้วย เขาก็ไม่เห็นบ่นว่า ตัวเองล้าหลังอะไร  แม้อาจดูว่าเขาล้าหลังในสายตาของเราก็ตาม แต่ผมว่า ถ้าดูดี ๆ ภูฏานเขาเจริญกว่าไทยเราเยอะครับ เพราะเขาไม่ตกเป็นทาสปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแแมลงเลย เขาก็อยู่ได้ จริงไหม ?

ผมชอบคำว่า "ป้องกัน ดีกว่าแก้ไข"

พืชเกษตรอินทรียน่ะปลอดภัยต่อสรรพชีวิตแน่นอน แต่พืช GMOs ปลอดภัยแน่จริงหรือ ?

ามว่า มีใครกล้าเอาหัวและชีวิต 7 ชั่วโคตรในตระกูลมารับประกันความปลอดภัยพืช GMOs ไหม ถ้าในอีก 30 ปีพบว่ามันไม่ปลอดภัยจริง ? (ถามเล่น ๆ แต่เน้นความหมาย)

แต่ถึงพืช GMOs จะปลอดภัยจริง ผมก็ว่า ไทยเราก็ไม่เดือดร้อน ถ้าจะโง่ในเรื่องนี้อีกสักเรื่อง ไทยเราก็พัฒนาพันธุ์พืชตามแนวเทคโนโลยีอิงธรรมชาติต่อไป จริงไหม

รัฐบาลไทยควรมุ่งพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้จริงจัง เพราะที่ผ่านมานักการเมืองกับนายทุนการเกษตรมันพวกเดียวกัน เอื้อประโยชน์ให้กัน เลยทำให้การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร และไม่ทั่วถึง

เราไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ควรเลือกใช้เทคโนโลยีให้ฉลาดกว่าในอดีต เลิอกในสิ่งที่เหมาะกับบ้านเมืองเรามากที่สุด




----------------------

ประเด็นที่อาจารย์เจษฏาแพ้ ในการถกเรื่อง GMOs


หลังจากวันนี้ 3 ต.ต. 57 ผมได้ดูการถกเรื่อง GMOs ในเจาะข่าวเด่นตอนที่ 3 แล้ว

ผมพอสรุปได้เลยว่า ฝ่ายอาจารย์เจษฎาแพ้ชัดเจนในตอนจบนี่แหละ

เพราะฝ่ายคุณวิฑูรย์ ได้เสนอว่า ไม่ได้คัดค้านการทดลองวิจัย GMOs แต่ขอให้ทำในระบบปิดเพื่อป้องกันไม่ให้พืช GMOs เกิดการกระจายปนเปื้อนออกไปในสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและแก้ไขได้ยาก 

ที่สำคัญควรมีกฎหมายที่ควบคุมเรื่อง GMOs ให้ชัดเจนในเรื่องนี้ก่อน ไม่เช่นนั้น หากเกิดปัญหามีพืช GMOs หลุดออกไปปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมภายนอกแล้ว เราจะเอาผิดและหาคนรับผิดชอบในค่าเสียหายเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะยังไม่มีกฎหมายและบทลงโทษเรื่องนี้

และถ้าจะทดลองวิจัยเรื่องพืช GMOs ในไทย ควรทดลองกับพืชที่ไม่ใช่พืชที่มาเป็นอาหารของสัตว์และมนุษย์ เช่น ควรไปทดลองในพืชที่นำไปผลิตเป็นพลังงานเป็นต้น

แต่พอคุณวิฑูรย์ เสนอแบบนี้ ฝ่ายอาจารย์เจษฎากลับให้คำตอบเรื่องนี้ไม่ชัดเจน ดูเหมือนอาจารย์เจษฎาคิดจะปกป้องพวกที่อยากทดลอง มากกว่าจะปกป้องประเทศชาติ เพราะแกจะให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มการทดลองก่อนมีกฎหมายควบคุม ซึ่งก็มีหลายมหาวิทยาลัยทดลองไปแล้วด้วย


มีข่าวลือว่า พวกบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งไม่อยากทดลอง GMOs ในประเทศตัวเองอีกแล้ว เลยกำลังหาประเทศโง่ ๆ เพื่อมาทดลองต่อ จริงหรือไม่ อ.เจษฎา ว่าไง ??

(สรยุทธ งก !! ต้องไปดูคลิปบนยูทูปครับ)



ฝากให้คิด

"คุณผู้อ่านเชื่อผมไหม ไอ้พวกปากบอกสนับสนุนพืชจีเอ็มโอ แต่ถ้ามันไปซื้ออาหารสำเร็จรูปกิน แล้วมีป้ายข้างผลิตภัณฑ์เขียนว่า ผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจากพืชจีเอ็มโอ ไอ้พวกปากดีที่สนับสนุนพืชจีเอ็มโอ มันก็จะไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีจีเอ็มโอกินอยู่ดี"




ที่จริงผม ใหม่เมืองเอก ไม่ได้คัดค้านเรื่องพืชจีเอ็มโอแบบหัวชนฝานะครับ เช่น ถ้าเป็นพืชที่สัตว์และมนุษย์ไม่ได้กิน เช่น พืชที่ให้ผลผลิตเพื่ออุตสาหกรรม เช่น ไม้ก่อสร้าง ยางพารา หรือ พืชน้ำมันบางชนิดเพื่อผลิตพลังงานทดแทน

ถ้าพืชจำพวกนี้ ผมไม่คัดค้านเลยถ้าจะเป็นพืชจีเอ็มโอ

อีกทั้งวันนี้กฎหมายไทยยังไม่มีการควบคุมเรื่องจีเอ็มโอโดยตรง เช่น ถ้าบ้านผมปลูกพืชไม่ใช่จีเอ็มโอ แต่เพื่อนบ้านปลูกพืชจีเอ็มโอ แล้วต่อมาพืชของเพื่อนบ้านเกิดเข้ามาปนเปื้อนในไร่ของผม ผมควรจะฟ้องร้องเอาผิดและเรียกร้องค่าเสียหายจากเพื่อนบ้านได้ เป็นต้น

ในการเถียงของคุณวิฑูรย์ กับ อาจารย์เจษฎา

คุณวิฑูรย์ ย้ำว่า ไม่ได้คัดค้านการทดลอง หากไทยเรามีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้ และมีบทลงโทษออกมาแล้ว

แต่ที่เป็นอยู่ในวันนี้คือ บ.มอนซานโต้ เขามาวิจัยเรื่องจีเอ็มโอในไทยมาหลายปีแล้ว และมีการหลุดรอดออกมาปนเปื้อนจนเป็นข่าว แต่ไม่มีกฎหมายไทยไปเอาผิด มอนซานโต้ กับ คณะวิจัยได้เลย เพราะไม่มีกฎหมายเฉพาะ และไม่มีบทลงโทษและการกำหนดเรื่องชดใช้ค่าเสียหายครับ

ผมจึงเห็นด้วยกับคุณวิฑูรย์ ว่า ต้องมีกฎหมายก่อน ถึงอนุญาตให้วิจัยได้ แต่ทุกวันนี้ไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุม แต่ได้ทำการวิจัยจีเอ็มโอไปก่อนแล้ว นี่แหละผมถึงบอกว่า อาจารย์เจษฎา แกแพ้ประเด็นนี้ไปแล้ว

แต่จากข้อมูลของไบโอไทย คือ ร่างกฎหมายใหม่ที่ผลักดันโดย มอนซานโต้ กลับไม่มีการระบุการชดใช้ค่าเสียหาย หากมีพืชจีเอ็มโอหลุดจากการทดลองหลุดออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก

นี่แหละครับ ประเด็นสำคัญคือ ตรงนี้ ที่ไบโอไทยและชีววิถีเขากำลังต่อสู้

อ่านได้ตามลิงค์นี้ http://www.biothai.net/node/28655


คลิกอ่าน แตกประเด็นต่อจากอาจารย์เจษฎา กรณีมะละกอไทยถูกญี่ปุ่นตีกลับ


คลิกอ่าน นักศึกษาปริญญาเอกด้านวิจัยพันธุ์ข้าวโพดในแคนาดา เตือนสติไทยเรื่องพืชจีเอ็มโอ


วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขำความโง่ควายแดง เห่อจีนทำป้ายต้อนรับทักษิณ ยิ่งลักษณ์






เมื่อทักษิณ กับยิ่งลักษณ์ กลับไปไหว้สุสานบรรพบุรษที่เมืองเฟิงซุ่น ประเทศจีน แล้วก็มีป้ายต้อนรับทักษิณ เพียงแค่นี้ พวกควายแดงก็เฮกันใหญ่ โม้ทันทีว่า เป็นยังไงล่ะสลิ่ม กระอักล่ะสิ จีนเขาทำป้ายต้อนรับท่านทักษิณ ท่านยิ่งลักษณ์

หรือเช่น ควายแดงบางตัวก็ล้อเลียนสลิ่มว่า "พวกสลิ่มมันต้องบอกว่า ทักษิณซื้อจีนแล้วแหงๆ "

เหอะ ๆ ผมล่ะขำกับความคิดอันโง่เง่าและตื้นเขินของพวกควายแดงเสียจริง ๆ

แล้วมีเพจควายแดงที่ชื่อ เสรีไทย ปราบกบฎ 2014 มันก็โพสถามแบบโง่ ๆ ตามนี้



ผมเลยไปโพสตอบว่า ควายแดงถ้าอยากรู้ว่าสลิ่มตอบยังไง รอเดี๋ยว เดี๋ยวจัดให้

------------------

หมาขี้ไม่มีใครยกหาง !!

ถามว่า ทักษิณเดินทางไปเมืองในประเทศจีนหลายเมือง มีเมืองไหนที่ติดป้ายต้อนรับทักษิณบ้างไหม นอกจากเมืองที่เป็นบ้านญาติของทักษิณเอง ?

คำตอบคือ ไม่มีเลย คงมีแต่เมืองญาติของทักษิณเองที่ติด ไม่สิ ใช้คำว่าเมืองคงใหญ่ไป หมายถึง มีแต่หมู่บ้านของญาติและบรรพบุรษโคตรเง่าเหล่ากอของทักษิณเองนั่นแหละ ที่ทำป้ายต้อนรับไอ้อีโกงชาติ 2 คนนี้เท่านั้น


แปลความว่า ญาติของทักษิณนั่นแหละที่มาติดป้ายต้อนรับทักษิณเอง ไม่ใช่ทางการจีนหรือรัฐบาลกลางจีนหรือรัฐบาลท้องถิ่นมาทำป้ายต้อนรับทักษิณให้

เพราะป้ายต้อนรับไอ้ทรราช มันเขียนแบบนี้



"ยินดีต้อนรับญาติมิตรจากแดนสยาม ครอบครัวชินวัตรโดยท่านดร.ทักษิณ และท่านยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยทั้งสองกลับมาเยี่ยมเยียนบรรพบุรุษ"





เห็นไหมครับ ป้ายก็บอกว่า ต้อนรับญาติ นั่นก็หมายถึง ญาติของทักษิณนั่นแหละทำป้ายต้อนรับทักษิณ ซึ่งก็ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นอะไรเลย





ตามธรรมเนียมคนไทยเชื้อสายจีนที่เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติในเมืองจีน ก็ต้องเอาเงิน เอาข้าวของเงินทองไปแจกญาติพี่น้องที่เมืองจีน เพราะในอดีตคนจีนยากจนมาก และธรรมเนียมแบบนี้ก็มีมาจนวันนี้

แล้วทักษิณ กับยิ่งลักษณ์ ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของไทย ก็ย่อมต้องนำเงินทองไปแจกญาติพี่น้อง ที่หมู่บ้านของบรรพบุรุษทักษิณมากมายอย่างแน่นอนตามธรรมเนียม

ดังนั้น เมื่อญาติผู้ร่ำรวยเป็นเจ้าสัวระดับโลกอย่างทักษิณมาเยือนทั้งที จะไม่ทำป้ายต้อนรับให้ใหญ่โตได้ยังไง จริงไหม ? ก็มันคุ้มจะตาย !!

ที่จริงมันก็แค่ป้ายผ้าสีแดง ไม่ต่างอะไรกับป้ายที่ติดหน้าปากซอยในงานไหว้เจ้าตามศาลเจ้าในไทยเลย ขนาดควายแดงในไทยติดป้ายต้อนรับยิ่งลักษณ์ยังดูดีกว่าป้ายผ้าของญาติทักษิณตั้งเยอะ 555

ฉะนั้น พวกควายแดงมันก็ควายกันจริง ๆ เห่อกับเรื่องธรรมดามาก ๆ เจ้าสัวไทยหลายคนที่เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่จีน ก็ได้รับการต้อนรับแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แค่จ่ายมากก็ได้ป้ายใหญ่ จ่ายน้อยก็ได้ป้ายเล็กหน่อย เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้นำเสนอให้เป็นข่าวเท่านั้น

ไปถามคนไทยเชื้อสายจีนที่เคยเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่จีนได้เลย เจอการต้อนรับแบบนี้ทั้งนั้น ถ้าคุณจ่ายมากพอ (โอเค ทักษิณเป็นคนดังจึงต้องเป็นข่าวหน่อย)


ดูรูปเพจควายแดงข้างล่างสิครับ มันเห่อจนหางควายกระดิก แล้วแอดมินมันก็ยังโชว์โง่เพื่อเฮฮากันในหมู่ควายแดง ครื้นเครงในกะลาแดง ๆ


ส่วนไอ้เรื่องลงข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นก็เป็นเรื่องธรรมดานั่นแหละ ข่าวสังคมธุรกิจประเภทมีคนดังมาเยือนในเขตท้องถิ่น มันก็ย่อมเป็นข่าวได้ทั้งนั้นแหละ

แต่ผมไม่ได้หมายถึงว่า ญาติทักษิณจะไปซื้อสื่อท้องถิ่นจีนให้ลงข่าวทักษิณนะ เพราะถ้าดูจากที่เพจควายแดงมันนำมาให้ดูแล้ว แบบนี้คงไม่ได้ซื้อสื่อหรอก เพราะภาพข่าวกระจอกเหลือเกิน 555

แต่ถ้าญาติทักษิณซื้อสื่อจีนลงข่าวสังคมจริง ๆ ก็โคตรกระจอกอะ เพราะลงข่าวได้กระจอกมาก ๆ 555




แต่ถ้าจะซื้อไม่ว่าสื่อที่ไหนในโลกก็ซื้อได้ทั้งนั้น ก็มันเหมือนข่าวธุรกิจทั่วไปนั่นแหละ ควายแดงเอ๋ย 555555555

-------------------

ควายแดงต่างเข้าไปเยินยอไอ้อีทรราชคู่นี้ที่เพจยิ่งลักษณ์กันใหญ่ บอกว่า ท่านดีจริง ๆ มีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ จะเจริญ เป็นมงคลต่อตระกูล ถุย!!









ก็เจ้ากรรมนายเวรเขาขี่คอมึงอยู่ไง รอวันมึงหมดบุญเก่าเมื่อไหร มีเฮแน่ ๆ


คลิกอ่าน เจาะลึก ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ไปป์ เที่ยวจีน ญี่ปุ่น