วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ปวิน ชัชวาลพงษ์พันธ์ โชว์โง่ กรณีหมอบคลาน กราบ คือเรื่องป่าเถื่อน






ผมเคยเขียนในหลายบทความ และในเฟสบุ๊คว่า พวกล้มเจ้าหลายคนเป็นพวกไม่มีศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธเนี่ย พวกล้มเจ้าหลายคนไม่มีความเคารพนับถือเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุที่ศาสนาพุทธในเมืองไทย ต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง และพระสุปฏิปัณโณหลายรูปที่ยกย่องในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมถึงสอนและแนะนำส่งเสริมให้ประชาชนรักเคารพและปกป้องในหลวงของเรา ด้วยเหตุนี้พวกล้มเจ้าหลายคนจึงไม่นับถือศาสนาพุทธ

อย่างอีตุ๊ด ปวิณ นักวิชาการสายล้มเจ้าคนนี้ แม้มึงจะเกลียดศัตรูที่มีความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกับมึงก็ตาม แต่คนเป็นถึงอาจารย์ต้องรู้จักให้เกียรติแก่ศาสนาที่สำคัญของโลกด้วย


พระสุเทพ ได้ขึ้นปกนิตยสาร LIPS


เมื่อพระสุเทพ ได้ขึ้นปกนิตยสาร LIPS

อีตุ๊ดใจบาป ปวิน มันก็โพสรูปหมาห่มเหลือง พร้อมกับล้อเลียนด้วยว่า RIP เจตนาของมันดูก็รู้ว่า ต้องการด่าพระสุเทพ



แต่อีตุ๊ด ปวิณ เล่นแรงแบบไร้จรรยาบรรณของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์สอนนักศึกษา เพราะมันเล่นเอาผ้าเหลืองของพระมาหมิ่น แม้มันจะต้องการด่าพระสุเทพ หรือ ปภากโรภิกขุ แบบอ้อม ๆ ก็ตาม

ถึงมึงไม่ให้ความเคารพในพระสุเทพว่า ท่านเป็นพระ แต่ก็ควรให้เกียรติผ้าเหลืองหรือจีวร ซึ่งถือเป็นเครื่องแต่งกายของภิกษุในพุทธศาสนา

แต่อย่างว่าล่ะนะ พวกใจบาปหยาบช้า อย่างเสื้อแดงก็เคยกระทืบพระคาผ้าเหลือง ก็มีให้เห็นมาแล้ว แม้ไม่เคารพพระรูปนั้น แต่ก็ควรเคารพและให้เกียรติผ้าเหลืองก็ยังดี


เสื้อแดงไล่กระทืบพระ หน้า ป.ป.ช. เมื่อเดือน ก.พ. 57

ส่วนอีตุ๊ดปวิน คนอย่างมันไร้ศาสนาอยู่แล้ว มันคงจะไม้สำนึกผิดอะไรหรอก แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้มันลบรูปหมาห่มผ้าเหลืองนี้ออกจากเฟสบุ๊คไปแล้ว (หรืออาจไม่ได้ตั้งรูปเป็นค่าสาธารณะอีก)

เพราะผมไปดูในเฟสบุ๊คของอีปวินมันเมื่อคืน ก่อนที่จะเขียนบทความนี้ก็ยังเห็นอยู่ แต่พอรุ่งเช้าก็ไม่เห็นรูปนี้แล้ว มันคงจะเพิ่งคิดว่าได้ว่า ได้โชว์ความโง่และต่ำทรามออกมา มันจึงรีบเอาโพสนี้ออกไป เพราะตัวมันสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแห่งนึงในญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นเมืองพุทธเช่นกัน และการให้เกียรติในสิ่งที่คนอื่นเคารพ คนญี่ปุ่นเขาถือว่าเป็นมารยาทสำคัญอย่างหนึ่ง

อย่างนี้เรียกว่า มึงไม่แน่จริงนี่หว่าอีปวิน  ถ้าอยากซ่า ก็ซ่าให้ตลอดรอดฝั่งสิวะ ลบออกทำไม กลัวคนญี่ปุ่นเขามาเห็นรึไง ?

--------------

ประเด็นคืออะไร ?

ประเด็นคือ  ผมไม่ได้สนใจที่ อีปวิน มันจะด่าพระสุเทพ หรือแม้จะด่าพระ ว.วชิรเมธี เพราะอีปวิณมันเชื่อว่า ทั้งสองคนหรือสองรูปไม่ใช่พระ มันอยากจะด่าก็เป็นเรื่องของมัน

แต่ผมที่เขียนบทความนี้คือ อีปวินมันดูถูกและไม่ให้เกียรติเครื่องแต่งกายของพระภิกษุ เอามาเล่นมาย่ำยี เพียงแค่ต้องการด่าคนที่มันเกลียดเท่านั้น

ซึ่งผมถือว่า เรื่องนี้ อีปวิณ มันจิตใจหยาบช้า

-----------------

การหมอบคลานเป็นเรื่องป่าเถื่อน

ก่อนอื่นดูโพสของอีปวิณ ตุ๊ดใจหยาบก่อนครับ


รูปนี้เป็นรูปทักษิณกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ในวันที่ได้รับการโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรี เสื้อแดงกรุณาจำไว้นะว่า ปวิน มันด่าทักษิณว่าได้กระทำการป่าเถื่อน !!


ใช่ครับ รัชกาลที่ 5 ทรงเลิกระบบหมอบคลานในการเข้าเฝ้าเจ้านาย ออกเป็นกฎหมายประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ซึ่งในเนื้อหากฎหมายก็ได้ระบุว่า การหมอบคลานเข้าเฝ้า ถือเป็นการบังคับกดขี่ให้ข้าราชการและราษฎรต้องลำบาก จึงทรงเลิกประเพณีเข้าเฝ้าดังกล่าวไป

ซึ่งการยกเลิกหมอบคลานนั้น ผมเห็นด้วยกับรัชกาลที่ 5 เพราะการคลานเข่า แถมต้องหมอบเข้าเฝ้าเป็นเวลานาน ๆ ถือเป็นความลำบากแก่ข้าราชบริพารอย่างมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องข้อเข่า ยิ่งทรมานมาก  หากยังบังคับการคลานเข่า หมอบเข้าเฝ้าต่อไป

แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจอีกเรื่องเสียก่อนว่า ในยุคนั้นพวกฝรั่งล่าอาณานิคมชอบจะยกข้ออ้างเรื่องความไม่เจริญของชาติในเอเซีย หรือวัฒนธรรมเอเซีย ที่พวกฝรั่งอ้างว่านี่คือ ความไม่เจริญ ป่าเถื่อน ล้าหลัง

ประเพณีใด วัฒนธรรมใด ที่ฝรั่งไม่นิยมหรือไม่ชอบ พวกฝรั่งล่าอาณานิคมมันก็จะเหมาไปว่า นี่คือความล้าหลัง

แล้วพวกฝรั่งล่าอาณานิคมจะยกเหตุผลเรื่องความล้าหลัง ป่าเถื่อน ไม่เจริญเหล่านี้มาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดครองชาติอื่นเป็นเมืองขึ้น

ซึ่งการไปรุกรานยึดครองชาติอื่นมาเป็นเมืองขึ้น ปล้นทรัพยากรในชาตินั้น ๆ ไปปรนเปรอชาติตัวเอง และล้มล้างทำลายราชวงศ์ต่าง ๆ ในประเทศในเอเซียมากมายนั้น เพื่อกดขี่ให้ประเทศในเอเซียเหล่านั้นต้องเป็นขี้ข้าของฝรั่งอีกที

ถามว่า การไปรุกรานยึดประเทศต่าง ๆ เป็นเมืองขึ้นด้วยอาวุธที่เหนือกว่า นี่คือ การกระทำของผู้มีความเจริญแล้วใช่ไหม ? 

(กรณีนี้แตกต่างจากอาณาจักรในเอเซียรบกันเอง เพื่อรักษาความเป็นชาติ แผ่นดินและเผ่าพันธุ์ ให้อยู่รอด)

ถามว่า ระหว่างการหมอบคลานไหว้ผู้ใหญ่ที่เราเคารพแบบไทย ๆ กับ การที่ฝรั่งไปล่าอาณานิคมยึดครองชาติในเอเซียเป็นเมืองขึ้นด้วยกำลังอาวุธ อย่างไหนคือการกดขี่บังคับฝืนใจป่าเถื่อนมากกว่ากัน ?

ถ้าพวกฝรั่งมันยึดประเทศในเอเซียมากมายแล้วเป็นเรื่องที่ดี คนในประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งคงไม่เรียกร้องขอเอกราชคืนจริงไหม บางประเทศถึงกับก่อสงครามเรียกร้องเอกราชคืนด้วยซ้ำ

ดังนั้นการที่รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกการหมอบคลานนั้น ส่วนหนึ่งก็ถือว่าถูกต้อง เพราะเป็นจารีตโบราณ และเป็นการบังคับให้ต้องทำ ต้องคลาน ในการเข้าเฝ้า ใครไม่ทำถือว่ามีความผิด และถือเป็นการสร้างความยากลำบากแก่ขุนนางและราษฎร

แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ทรงยกเลิกก็คือ เพื่อไม่ให้พวกฝรั่งใจทรามหาเหตุผลมาอ้างเพื่อยึดครองสยามประเทศในตอนนั้นด้วย

เมื่อรัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกการหมอบคลานไปแล้ว นั่นก็คือ เลิกบังคับคนไทยทุกคนต้องหมอบคลานด้วยกฎหมาย เพราะการบังคับให้หมอบคลานถือเป็นความล้าหลัง

แต่เมื่อพ้นยุคฝรั่งใจทรามล่าอาณานิคมไปแล้ว การหมอบคลาน ก็คือ ประเพณีการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ของคนไทยในทุกภาคนั่นแหละ ไม่จำเป็นว่าจะต้องหมอบคลานเวลาเข้าเฝ้าในหลวงเท่านั้น

ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยที่ชอบนั่งกับพื้น กินข้าวก็กินก็นั่งกับพื้น อยู่ตามบ้านนอก ก็นิยมประกอบกิจกรรมต่าง ๆ บนพื้นง่าย ๆ ดังนั้น การหมอบคลานจึงเป็นประเพณีที่มากับกิจวัตรของคนไทยที่ชอบทำอะไรกับพื้น

เช่น เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่นั่งอยู่กับพื้น คนไทยเราจะเข้าไปพบผู้ใหญ่ เราก็ต้องไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ก็อาจต้องคลานเข้าไปหาท่าน

ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่งบนเก้าอี้  ไม่มีใครหมอบคลานเข้าไปหาแล้วครับ อย่างมากก็เดินเข่า หรือถ้าเดินไปตามปกติ เมื่อเข้าไปใกล้แล้ว คนไทยเราจะไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ก็มักจะนั่งลงข้าง ๆ ใกล้ ๆ ผู้ใหญ่ นี่คือมารยาทแบบไทย




เรื่องการไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่เนี่ย ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมชอบนั่งกับพื้น ก็มีมารยาทปฏิบัติคล้ายกับเรา ถ้าใครเคยดูซีรีย์จาก 2 ประเทศนี้ประจำจะเข้าใจ

อย่างเช่น เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระราชินีมิชิโกะ เสด็จเยี่ยมราษฎรที่ประสบภัยสึนามิ พอทั้งสองพระองค์ประทับลง ผู้ตามเสด็จก็ต้องนั่งลงตามทันที



---------------------

ส่วนในการเข้าเฝ้าในหลวง ข้าราชการจะเข้าไปถวายรายงาน  ถ้าในหลวงประทับบนเก้าอี้ ผู้เข้าเฝ้าก็นั่งบนเก้าอี้ด้วยเช่นกัน จริงไหม



แต่ก็มีบางครั้งที่ในหลวงประทับบนเก้าอี้ แต่ผู้เข้าเฝ้านั่งกับพื้น ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมโดยทั่วไปของคนไทยที่ปฏิบัติต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ซึ่งคนไทยเรามองว่าเป็นเรื่องมีมารยาทดี น่ารัก ผู้กระทำได้รับการอบรมมาดี



เพียงแต่ว่า เวลาใครที่โชคดีมากได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดจริง ๆ เกิดอยากจะกราบพระบาทในหลวงด้วยใจจงรักภักดี ก็ไม่ได้มีใครห้ามแต่อย่างใด มันเป็นสิทธิของเขาที่อยากจะกระทำ

ถามว่า จะมีใครสักกี่คนที่โชคดีได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดจนได้มีโอกาสได้กราบแทบพระบาทในหลวง ??

ถ้าใครเขาอยากกราบในหลวงด้วยความเต็มใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คนไทยจะกราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีพระคุณนั่นแหละ

นี่เป็นเรื่องของวัฒนธรรมไทย ที่คนไทยเรามองว่า งดงาม สวยงาม จึงได้มีการอนุรักษ์ไว้ ไม่ใช่เกิดจากการบังคับแต่อย่างใด



คงมีแต่พวกใจหยาบ รังเกียจรากเหง้าของตนเองอย่างอีปวินเท่านั้น ที่ดูถูกดูหมิ่นประเพณีการแสดงความเคารพอย่างสูงในแบบไทย ซึ่งแม้แต่ฝรั่งที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยหลายคน ที่เขารักเมืองไทย ที่เขามีจิตใจสูง เขายังชอบวัฒนธรรมแบบไทย ๆ ที่งดงามเช่นนี้เลยครับ

อย่างเช่น มีนักศึกษาอเมริกันสาว 2 คนได้มาฝึกงานเป็นครูในโรงเรียนชนบทของไทย ได้เป็นข่าวเล็ก ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง พวกเธอบอกว่า รู้สึกประทับใจในนักเรียนไทยอย่างมาก เพราะนักเรียนไทยให้ความเคารพแก่ครูมากจนเธอประทับใจ เช่น ทุกครั้งที่ครูเข้าสอน นักเรียนก็กราบบนโต๊ะ หรือครูให้สิ่งของ นักเรียนก็ยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ เป็นต้น

หรือวัฒนธรรมไทยหลายอย่างเช่น เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ เด็กหรือผู้น้อยก็จะเดินก้มหัวผ่านไป นี่ก็คือความงดงาม


หรืออย่างอาจารย์อดัม ครูฝรั่งสอนภาษาอังกฤษชื่อดังในไทย เคยยกตัวอย่างในเรื่องที่อาจารย์ประทับใจในวัฒนธรรมไทยว่า "พวกฝรั่งเขาสามารถเดินข้ามหนังสือที่วางบนพื้นได้โดยไม่สนใจอะไร ในขณะที่คนไทยจะไม่เดินข้ามหนังสือ เพราะให้ความเคารพหนังสือเป็นเสมือนครู และหากคนไทยเกิดเผลอเดินข้ามหรือเหยียบหนังสือ คนไทยจะกราบขอโทษหนังสือ" นี่คือความงดงามของวัฒนธรรมไทย

ซึ่งเรื่องงดงามแบบนี้พวกใจบาปหยาบช้าอย่างอีปวิณมันคงไม่เข้าใจหรอก


ส่วนเรื่องการกราบ ใครไม่อยากกราบ ไม่อยากหมอบคลาน คุณเลือกได้ครับ ก็ไม่ต้องพาตัวให้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ สถานการณ์นั้น ๆ ซะ 

ไอ้พวกล้มเจ้ามันพูดอย่างกับว่า การได้เข้าเฝ้านี่มีโอกาสเกิดขึ้นง่าย ๆ อย่างนั้นแหละนะ

อีตุ๊ดปวิน ตุ๊ดใจบาปจิตป่าเถื่อน ถ้ามึงไม่อยากกราบก็เรื่องของมึง ส่วนคนที่เขาอยากกราบ มันก็สิทธิของเขา มึงเข้าใจเรื่องสิทธิไหมอีปวิณ

ส่วนจากรูปการกราบที่อีปวิณมันโพสนั้น ตามปกติการถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ ส่วนใหญ่ก็แค่ก้มหัวทำความเคารพทั่วไปนั่นแหละครับ



แต่ถ้าใครอยากจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ก็ไม่ได้ผิดอะไร มันขึ้นอยู่กับความพอใจของบุคคลนั้น ๆ


คุณลุงสะอิ้ง เดินเท้าหลายร้อยกิโลเมตร เพื่อมาถวายพระพรในหลวงที่โรงพยาบาลศิริราช ท่ามกลางความชื่นชมของคนไทยทั่วประเทศ (ยกเว้นพวกล้มเจ้าหนักแผ่นดินไม่กี่ตัว)


------------

ตัวอย่าง ฝรั่งที่เป็นไทยยิ่งกว่าไทย

หลายวันก่อน ผมเคยอ่านข้อเขียนของพี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ในเฟสบุ๊ค ซึ่งพี่ดี้ได้เล่าว่า ได้ไปกินข้าวเย็นบ้านคุณบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยากรระดับโลก

ขณะที่พี่ดี้นั่งคุยกับคุณบัณฑิต ในห้องรับแขก ภรรยาของคุณบัณฑิต ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน ที่พูดไทยได้ชัดมาก ก็คุกเข่าเข้ามาเสริฟน้ำให้พี่ดี้ ตามแบบอย่างมารยาทไทย

ซึ่งพี่ดี้ถึงกับบอกว่า ภรรยาของคุณบัณฑิตมีความเป็นไทยยิ่งกว่าคนไทยอีก

--------------

ฝรั่งที่เป็นผู้เจริญ ย่อมให้เกียรติและเคารพในวัฒนธรรมเอเซีย

เขยฝรั่งทำความเคารพอย่างสูงสุดด้วยการคำนับจรดศรีษะแนบพื้นต่อพ่อแม่ของเจ้าสาวชาวเกาหลี




ที่จริงเรื่องการที่ผู้น้อยคุกเข่าลงกับพื้น แล้วก้มหัวคำนับต่อผู้ใหญ่กว่าที่ยืนอยู่หรือนั่งบนเก้าอี้ เช่นการทำเพื่อการขอร้อง หรือเพื่อการขอโทษ ผมยังเห็นบ่อย ๆ ในซีรีย์ญี่ปุ่นและเกาหลีสมัยใหม่ จนนำมาเล่าในเฟสบุ๊คบ่อย ๆ อย่างเช่น

ซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง "ภารกิจพิชิตฝัน" ก็มีฉากนางเอกซึ่งเป็นนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ นั่งคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อก้มหัวขอร้องผู้กำกับรายการที่ยืนอยู่ ขอร้องให้เขาช่วยเหลือในเรื่องสำคัญมาก

คลิกอ่าน การก้มหัวของอารางิกิ ยูอิ ในภารกิจพิชิตฝัน

หรือ เรื่อง "ดร.อูเมโกะ" นางเอกและเพื่อน ๆ นักศึกษาแพทย์ ร่วมกันนั่งลงคุกเข่าก้มหัวขอร้องอาจารย์หมอชาวฝรั่งเศสที่ยืนคุมสอบอยู่ ให้อนุญาตให้นางเอกได้สอบซ่อมอีกครั้ง เมื่ออาจารย์อนุญาต ทุกคนก็ก้มหัวขอบคุณ จนศรีษะเกือบจะแนบพื้น เป็นต้น

-------------------

ทิ้งท้าย ประชาธิปไตยคืออะไร ?



แถม รูปนี้คือใครกำลังกราบใครรู้ไหม ปวิน ??



คำตอบก็คือ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กำลังกราบ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ไง กราบเกือบจะแบมือกราบด้วยซ้ำ

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นอาจารย์ที่ ปวิน ให้การนับถือมากอีกคนไง ? 555


ปวิน กับ ชาญวิทย์ เดินสายต่างประเทศพูดเรื่อง รัฐประหารกับ สถาบันกษัตริย์


แล้ววัฒนธรรมแบบไหนที่ปวิน เขานิยมชมชอบ ? ก็คงแบบในรูปนี้มังครับ



ตามสบายเถอะครับ ปวิน เพราะ การจูบ ถือเป็นการทักทายอย่างหนึ่งตามมารยาทสากล

คลิกอ่าน เหตุผลที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงจูบเท้าผู้อพยพมุสลิม

คลิกอ่าน ขำ ปวิน โชว์โง่เรื่อง แต่งชุดไทยแต่กินเบอร์เกอร์

คลิกอ่าน ความโง่ของอีปวิน กรณีนายกฯประยุทธ์ยกมือไหว้ ปธน.จีน

คลิกอ่าน ความโง่ของพวกล้มเจ้าขอเป็นขี้ข้าทักษิณทุกชาติไป



วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บทความดี ๆ เรื่อง "จดหมายถึงเผด็จการ" โดย ส.ศิวลักษณ์






หลายคนบอก ส.ศิวลักษณ์ เป็นพวกล้มเจ้า แต่หลายคนบอก ส.ศิวลักษณ์ โปรเจ้าต่างหาก

เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมไม่ขอตัดสินอะไรในเรื่องล้มเจ้าหรือไม่ล้มเจ้าของ ส.ศิวลักษณ์ เพราะผมไม่ค่อยได้อ่านงานของแก หรือฟังที่แกพูดถึงเจ้าเท่าไหร่

(คือเราต้องไม่ลืมอย่างนึง ถ้าพวกล้มเจ้าเชิญ ส.ศิวลักษณ์ไปพูดที่ใด ก็แน่นอนว่า คนที่ต้องทำมาหากินก็ย่อมพูดเอาใจคนฟังที่นิยมอยากฟังเรื่องนั้น ๆ บ้าง เพื่อจะได้หากินต่อได้อีก)

แต่ล่าสุด ส.ศิวลักษณ์ ได้เชียนบทความลงเฟสบุ๊ค ชื่อว่า "จดหมายถึงเผด็จการ" ซึ่งเมื่อผมอ่านทั้งหมดแล้ว ขอบอกว่า เป็นบทความที่มีเนื้อหาดี และมีความเป็นกลางในการแสดงความเห็นบทความนึงเลยครับ

อยากให้คนเกลียด ส.ศิวลักษณ์ ได้อ่านบทความนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ผมบอกให้ต้องเลิกเกลียด ส.ศิวลักษณ์ นะครับ

ผมเพียงแค่อยากให้เราเปิดกว้างในการรับฟังความคิดเห็นดี ๆ จากคนที่เราเกลียดบ้างก็ได้ ดั่งที่เขาเรียกว่า "รู้เขารู้เรา"

---------------------




จดหมายรักถึงเผด็จการ (ฉบับสรุปสาระสำคัญ)

I

ก็ในเมื่อ คสช. ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จมาได้ ๕ เดือนเข้านี่แล้ว จึงเห็นควรเขียนจดหมายรักถึงโดยตรง นอกเหนือจากที่รวมพิมพ์เป็นเล่มแล้ว ดังให้ชื่อว่า จดหมายรักถึงเผด็จการ โดยที่เผด็จการหรือ dictator นั้น เป็นตำแหน่งที่เกิดขึ้นแต่ครั้งกรุงโรมสมัยโบราณปกครองบ้านเมืองมานั้นแล้ว หากกำหนดให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ในระยะสั้น เมื่อแก้วิกฤตการณ์ได้แล้วก็ต้องลาออกจากตำแหน่งไป

จูเลียส ซีซาร์ เป็นนักการทหารและนักการเมืองที่สามารถมาก ในกรุงโรมสมัยโบราณ แต่สมาชิกรัฐสภาเกรงว่าเขาจะรวบอำนาจการเป็นเผด็จการตลอดชีพ จึงหาทางสังหารเขา ที่รัฐสภานั้นเอง และคนที่ร่วมวางแผนในฆาตกรรมนี้เป็นนายทหารคนสนิทของเขาเลยทีเดียว ดังตอนที่ซีซาร์ถูกแทง ได้ลั่นวาจาว่า “Ettu Brutus” ซึ่งแปลว่า “บรุตัส เจ้าก็เอากับเขาด้วยหรือ” แท้ที่จริง เผด็จการนั้นมักถูกคนใกล้ชิดหักหลังมาเสียนักต่อนักแล้ว

ในสมัยนั้น ถือกันว่าซิเซโรเป็นนักประชาธิปไตยที่สำคัญยิ่ง และในที่สุดเขาก็ถูก ออกัสตัส ซีซาร์ บุตรบุญธรรมของจูเลียสสั่งสังหารอย่างโหดร้ายยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ ออกัสตัส นับถือบุคคลผู้นี้มิใช่น้อย แต่เมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว ก็เอาไว้ไม่ได้ นี่แหละการเมืองล่ะ

ซิเซโร ได้เอ่ยวลีอันเป็นอมตะที่เกี่ยวกับการเมือง การปกครองไว้ว่า “พื้นฐานของระบอบการปกครองบ้านเมืองนั้นมีอยู่สามอย่างคือ ราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย และประชาธิปไตย แต่ละระบอบมีจุดเด่นและจุดด้อย ที่กรุงโรมมีความเป็นเลิศทางด้านการปกครองอย่างไม่เหมือนใคร เพราะมีธรรมนูญที่รวมทั้งสามระบอบไว้ด้วยกัน” 

โดยซิเซโร ตอนเอาคำของสกิปิโอมาอ้างว่า “ในทางส่วนตัวแล้ว ชอบระบอบที่มีพระราชาที่ดี ซึ่งเป็นบิดาของพลเมือง และแนวโน้มที่พระราชาจะกลายไปเป็นทรราชนั้น ยากที่จะขจัดเสียได้ ฉะนั้นการปกครองที่เป็นไปในทางสายกลางที่มีความสมดุล คือรัฐบาลที่รวมสามระบอบเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหมาะสม ซึ่งว่าไปแล้วดีกว่าระบอบราชาธิปไตย”

และแล้วซิเซโรก็สรุปว่า “รัฐบาลนั้นควรปกครองโดยอาศัยวุฒิสภา โดยที่ราษฎรย่อมได้อิสรภาพ แต่ราษฎรแทบไม่มีส่วนในทางพฤติกรรมการเมือง หากทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินการไปโดยอาศัยอำนาจอันชอบธรรมของวุฒิสภา และตามแนวทางประเพณีแห่งการเมือง ที่สืบเนื่องกันเรื่อย ๆ มา โดยที่เรามีกงสุล (consul) สองคนคุมอำนาจไว้ แต่กงสุลก็อยู่ในอำนาจคราวละปีเท่านั้น แม้อำนาจของกงสุลนั้นยิ่งใหญ่ ดังกับเป็นพระราชาและเป็นผู้อนุมัติกฎบัตรกฎหมายต่าง ๆ หลักอีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือการรักษาอำนาจของพวกอภิชนไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน ทั้งนี้หมายความว่า การกระทำใด ๆ ที่เสนอในสภาประชาชน จะสัมฤทธิ์ผลก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากวุฒิสภา”

โดยที่เราต้องเข้าใจว่า สภาประชาชนนั้นคล้าย ๆ กับสภาผู้แทนราษฎร หากตอนนั้นประชาชนเข้าประชุมได้โดยตรง ไม่จำต้องเลือกใครเข้ามาแทน ในขณะที่สมาชิกวุฒิสภามาจากอภิชนหรือคนที่มีสกุลรุนชาติเท่านั้น โดยที่โรมเวลานั้นเรียกอภิชนว่า Patrician และเรียกสามัญชนว่า Plebian หรือไพร่คือพวกแรกเป็นอำมาตย์ หากที่พวกหลังใส่เสื้อแดงนั้นเอง

Anthony Everitt ที่แต่งประวัติซิเซโร กล่าวเพิ่มเติมต่อไปด้วยว่า “ทฤษฎีที่ใช้ธรรมนูญการปกครองในแนวทางที่รวมสามระบอบเข้าด้วยกันนั้น มีอิทธิพลกับความเป็นไปในแนวคิดทางการเมืองของยุโรปในมัธยมสมัย ตราบจนสมัยที่ยุโรปตื่นตัวทางวิทยาการอย่างใหม่ โดยที่แนวทางนี้เป็นที่นิยมชมชอบจนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ แล้วขยายต่อมาเป็นประชาธิปไตยร่วมสมัย”

เมื่อการคานอำนาจของสามระบอบนี้ปลาสนาการไป โดยที่บางประเทศขจัดกษัตริย์ออกไปเลย แล้วอภิชนก็หมดดีที่ไม่อาจสืบสายสกุลทางด้านการเห็นประโยชน์สุขของสาธารณชนยิ่งกว่าตน ก็ทำให้พวกนี้หมดคุณค่าไปทั้งในทางทรัพย์ศฤงคารและอำนาจวาสนา

ดังขอให้ดูได้ว่าสภาขุนนางของอังกฤษ ว่าเสื่อมทรามไปอย่างไรบ้าง พวกไพร่จึงใช้สภาสามัญรวบอำนาจไว้ จนสถาบันกษัตริย์เป็นเจว็ดเท่านั้น และแล้วประชาธิปไตยของอังกฤษก็เป็นเผด็จการทางด้านทุนนิยมอย่างเลวร้าย ดังเห็นได้ชัดในสมัยมากาเรต แทตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง แม้เธอจะมาจากพรรคอนุรักษ์นิยม แต่เธอเป็นลูกคนขายของชำ ครั้นโทนี่ แบลมาดำรงตำแหน่งแทน จากพรรคสังคมนิยม เขาก็ถูกกล่าวหาว่าเลวร้ายพอ ๆ กับนางแทตเชอร์นั้นแล

แต่แล้ว คนไทยที่คลั่งประชาธิปไตยก็ไม่เข้าใจความเป็นมาของระบอบการปกครองที่ว่านี้กันเอาเลย

พูดถึงอังกฤษแล้ว ก็ขอเอ่ยถึงสหรัฐอเมริกาบ้าง โดยที่สองประเทศนี้ถือว่าเป็นแม่แบบของประชาธิปไตยสมัยใหม่ ดังในหลวงรัชกาลที่ ๗ รับสั่งว่า ประชาธิปไตยเหมาะสมกับพวกแองโกลแซกซันเท่านั้น เพราะในรัชกาลนั้นระบอบเผด็จการกำลังรุ่งเรืองขึ้นทั้งที่เยอรมนีและอิตาลี โดยรวมไปถึงญี่ปุ่นด้วย

พระองค์เจ้าธานีนิวัติ เสนาบดีกระทรวงธรรมการในรัชกาลนั้น กราบบังคมทูลว่าสยามควรจัดการศึกษาแบบฟาสซิสต์ที่อิตาลี จะดีไหม โดยงดเสรีภาพอย่างจัง ๆ และสอนให้ราษฎรเห็นตามรัฐบาลอย่างเซื่อง ๆ

ทรงมีพระราชกระแสว่าอิตาลีทำได้เพราะเป็นฝรั่ง ทางเรานั้น ฝรั่งถือว่าล้าหลัง ขืนทำเช่นนั้น จะถูกพวกอังกฤษโจมตียับไปเลย และรับสั่งต่อไปว่า จะห้ามไม่ให้ราษฎรด่าพระเจ้าแผ่นดินนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะคนไทยด่าพระเจ้าแผ่นดินมาแต่ไหนแต่ไร แม้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ราษฎรก็ด่าว่าพระราชา

ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ ป. พิบูลสงครามจะเห็นว่าฮิตเลอร์กับมุสโสลินี เป็นแบบอย่างทางการเมือง การปกครอง ดังญี่ปุ่นก็เป็นอีหรอบเดียวกัน

เวลานั้นชนชั้นนำของสหรัฐก็อุดหนุนนาซีที่เยอรมัน ซึ่งแม้จะเป็นเผด็จการ ก็ไม่ขัดขวางทุนนิยม ในขณะที่สหภาพโซเวียตเป็นเผด็จการฝ่ายซ้าย ซึ่งต่อต้านทุนนิยม

แล้วประชาธิปไตยในระบอบทุนนิยมของสหรัฐ แม้ในบัดนี้แล้ว ก็ขออ้างคำของ Emmanuel Suez มาแปลให้ฟังดังนี้ “ในสหรัฐ คนรวย ๑๐% เพิ่มความมั่งคั่งขึ้นราวๆ ๓๓% จากปลายทศวรรษที่ ๑๙๗๐ จนถึง ๕๖% ในปีค.ศ. ๒๐๑๒ ยอดสุดของคนรวย๑% มีรายได้เพิ่มขึ้น ๒๐% จากสมัยเรแกนนั้น ถึงบัดนี้ เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ”

นี้ดูด้านเศรษฐกิจประเด็นเดียว ถ้าดูด้านสังคม ก็จะเห็นได้ว่าสหรัฐขยายคุกตะรางยิ่ง ๆ ขึ้น จนชาวนารายย่อยมีน้อยกว่าจำนวนทัณฑสถาน เพราะการกสิกรรมส่วนใหญ่อยู่ในมือของบรรษัทข้ามชาติ และทัณฑสถานทุกแห่ง มีแต่คนจน คนผิวดำ คนเชื้อสายแมกซิกัน และคนเอเชีย คนผิวขาวแต่ชั้นกลางขึ้นไปเกือบไม่มีอยู่ในคุก ยิ่งชนชั้นสูงด้วยแล้ว แม้ถูกลงโทษสถานใด ก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ได้ ดังกรณีของอดีตประธานาธิบดีนิกสันเป็นตัวอย่าง

เมื่อพูดถึงประชาธิปไตยของอังกฤษกับสหรัฐมาแล้ว ขอนำคำของ Tony Judt ซึ่งเคยเป็นอาจารย์มาแล้ว ทั้งที่ออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์ หากโยกย้ายไปอยู่สหรัฐฯ จนเพิ่งสิ้นชีวิตไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ข้าพเจ้าถือว่าเขาเป็นปัญญาชนที่ยอดเยี่ยม คนหนึ่งของโลก ดังขอแปลคำของเขามาให้อ่านกันดังต่อไปนี้

“ประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบที่สำคัญหรือเหมาะสม สำหรับสังคมที่ดีและเปิดเผย ข้าพเจ้าไม่ต้องการที่จะได้ชื่อว่าโอนเอนเอามาก ๆ เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย จนอาจถูกกล่าวหาว่าพอใจในระบอบอภิชนาธิปไตย ในสังคมที่มีเสรีภาพ อย่างในสมัยศตวรรษที่ ๑๙ แต่ข้าพเจ้าขออ้างคำของไอไซอะ เบอลิน ผู้มีจุดยืนอย่างสำคัญที่แนะว่า เราควรยอมรับว่าสังคมดั้งเดิมก่อนมีระบอบประชาธิปไตยนั้น ควรได้รับความเคารพนับถือว่านั่นในบางกรณีแล้ว สังคมดังกล่าวดีกว่าระบอบประชาธิปไตยเสียอีก

โดยที่เขาสรุปว่า “ประชาธิปไตยแบบมวลมหาประชาชนนั้น มีแนวโน้มไปในทางสร้างนักการเมืองที่กึ่งดิบกึ่งดี ที่ทำให้ข้าพเจ้าวิตก นักการเมืองส่วนใหญ่ในสังคมเสรีทุกวันนี้ มีมาตรฐานต่ำ ไม่ว่าคุณจะเริ่มที่อังกฤษ แล้วไปจบลงที่อิสราเอล หรือคุณจะเริ่มที่ฝรั่งเศส ไปจนตลอดยุโรปตะวันออก หรือคุณจะเริ่มที่อเมริกาแล้วไปจบลงที่ออสเตรเลีย การเมืองไม่ใช่สถานที่ที่บุคคลซึ่งเป็นไทแก่ตัว ที่มีจิตใจและลมหายใจที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”

เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคมนี้ ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปแสดงสุนทรพจน์ที่ National Endowment for Democracy ที่กรุงวอชิงตัน และข้าพเจ้าได้เอ่ยข้อความดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ เป็นภาษาอังกฤษ ดูประธานหน่วยงานแห่งนั้นจะไม่พอใจเอามาก ๆ เลยทีเดียว

ข้าพเจ้าจึงขยายความให้เขาฟังต่อไปว่า บุชพ่อลูกที่เป็นประธานาธิบดีติดต่อกันมาดังสืบราชสันตติวงศ์นั้น เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ ละหรือ ยัง ดิก เชนนี เป็นรองประธานาธิบดีที่มีอำนาจเหนือประธานาธิบดีนั้นเล่า ก็เพราะเขาหากินใกล้ชิดกับบรรษัทข้ามชาติยิ่งกว่าใคร ๆ มิใช่หรือ ข้าพเจ้าบอกเขาต่อไปด้วยว่า ถ้าตราบใดสหรัฐฯยังยอมให้คนอุดหนุนเงินแก่ผู้ลงสมัครเลือกตั้งเป็นจำนวนเท่าไรก็ได้ แล้วยังเรียกภาษีคืนได้อีกด้วย บรรษัทข้ามชาติย่อมทุ่มเงินช่วยคนของเขา ดังโรนัลด์ เรแกน ซึ่งเป็นดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็ได้เป็นประธานาธิบดี ถ้าสหรัฐฯทำตามข้อเสนอของเจอรี่ บราวน์ ซึ่งบัดนี้เป็นผู้ว่าราชการรัฐคาลิฟอเนีย ว่าเงินช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไม่ควรอุดหนุนได้เกิน $100 ต่อคน หรือนิติบุคคลใด ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ ประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระ น่าจะกลับคืนมาได้ยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่จำต้องเป็นจักรวรรดิอีกต่อไป เพราะจักรวรรดิคือการใช้แสนยานุภาพ ไปปราบบ้านอื่นเมืองอื่น โดยมีบรรษัทข้ามชาติอุดหนุนอย่างเต็มที่

ถ้าเป็นเช่นนั้น เผด็จการดีกว่าประชาธิปไตย ละหรือ

หากสรุปเช่นนั้น ก็ง่ายดายเกินไป

ไม่ว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ความสำคัญอยู่ที่ผู้นำในการบริหารระบอบดังกล่าว ถ้าผู้นำไม่มีชนักติดหลังมากเท่าไร เช่นปลอดไปจากอำนาจของบรรษัทข้ามชาติ หรือกองทัพที่คอยควบคุมเขาอยู่ทางข้างหลัง เขาย่อมเป็นอิสระได้มาก โดยที่เผด็จการใช้อำนาจได้เบ็ดเสร็จ เมื่อเป็นเช่นนั้น การใช้อำนาจไปในทางฉ้อฉล ย่อมเป็นไปได้ง่าย เพราะไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง และไม่อนุญาตให้มีเสรีภาพในการคัดค้าน วิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย แต่ถ้าระบอบการปกครองใด ๆ ก็ตาม หากมีผู้นำที่เข้มแข็งเฉลียวฉลาด และมีความเห็นแก่ตัวน้อยทั้งยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตัวอย่างจริงใจ พร้อมทั้งวิสัยทัศน์อันกว้างไกล โดยมีที่ปรึกษาที่สามารถและรู้จักฟังประชาชน นี้แลคือระบอบที่ดีที่สุด

ในสหรัฐฯ แฟรงก์ เดลานอ รุสเวลท์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีเกินสามสมัย โดยเขามีความเป็นผู้นำที่แท้ และอิงระบอบประชาธิปไตยอย่างชาญฉลาด เวลาใครนำเอาความคิดดี ๆ ไปเสนอเขา เขาบอกให้คุณไปสร้างประชามติขึ้นให้มาก ๆ นั่นจะช่วยให้เขาตัดสินใจได้ง่าย และจะสั่งการให้อะไร ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทันท่วงที

โดยเราต้องไม่ลืมว่าสหรัฐฯ มีนายทุนเอย นายธนาคารเอย แม่ทัพนายกองและบริษัทค้าอาวุธและบรรษัทข้ามชาติซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐ ในขณะที่ขบวนการกรรมกร และกสิกรอ่อนตัว เพราะพวกทุนขุนศึกบีบเอาได้ไม่ยาก ทั้งมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็ไม่ได้เน้นไปในทางความจริง ความดี และความงาม โดยที่นั่นเป็นเพียงวาทกรรมของสถาบันอุดมศึกษาแท้จริงสถาบันนั้น ๆ ต้องการผลิตคนออกไปรับใช้ระบบ ให้กลายเป็นยันตรกรรมไปยิ่งกว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้ โดยนักศึกษาต่างก็ต้องการแสวงหาอาชีพการงานเป็นหลักโดยมิได้ไยไพกับความยุติธรรมทางสังคม

จึงไม่แปลกอะไร ที่เมื่อสิ้นสมัยรุสเวลท์ไปแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐจึงถูกสะกดโดยบริษัทข้ามชาติและบริษัทค้าอาวุธแทบทุกคน ในขณะที่รุสเวลท์มีรองประธานาธิบดีที่หัวก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่ง ที่อยู่ฝ่ายกรรมกร ชาวนาและผู้ยากไร้ เขาไม่แต่เป็นที่ยอมรับของมหาชนในสหรัฐ หากในทุก ๆ ประเทศทางแถบอเมริกาใต้ก็ชื่นชมบุคคลผู้นี้ เมื่อหมดเขาคนนี้ สหรัฐฯเลยเป็นปฏิปักษ์กับทุก ๆ ประเทศในทวีปอเมริกาแล้วเลยขยายไปแทบทั่วทั้งโลก

II

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีได้สำหรับเผด็จการไทยคนปัจจุบัน แม้เขาจะไม่มีเวลาอ่านจดหมายรักฉบับนี้ คนใกล้เคียงเขา ก็ควรอ่านแล้วสรุปประเด็นเสนอขึ้นไป ในเมื่อเขาเป็นเผด็จการ ก็ควรเอาเยี่ยงอย่างรุสเวลท์ โดยที่บัดนี้มีรัฐสภาขึ้นแล้ว ก็ควรใช้สถาบันนั้นให้เป็นประโยชน์ อย่าให้สถาบันนั้นเป็นแต่เสือกระดาษ ส่วนคณะรัฐมนตรีนั้น ดูจะเน้นไปในทางทุนนิยมค่อนข้างมาก หากไม่หาทางรั้งเอาไว้บ้าง สยามประเทศจะเป็นไปในทิศทางที่อยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิจีน และจักรวรรดิอเมริกัน รวมถึงบรรษัทข้ามชาติอย่างน่าวิตกนัก

นายกรัฐมนตรีไปเมืองพม่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วแลไม่เห็นหรือ ถึงมหันตภัยที่ทักษิณ ชินวัตรกับบริษัทบริวารของเขาทำไว้กับทวาย และท่าเรือน้ำลึกกับนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงถนนอันกว้างไกลผ่านไปทางเมืองกาญจนบุรีจน ถึงเมืองจีน นี่เป็นมหันตภัยอันสำคัญยิ่งกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และความกินดีอยู่ดีของชาวทวาย

ไม่เห็นหรือว่า นิคมอุตสาหกรรมที่มาบตาพุดเลวร้ายอย่างไร แล้วเรายังเอาความเลวร้ายเช่นนั้นไปมอบให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเพิ่มความวินาศยิ่ง ๆ ขึ้นกว่าทวีคุณ ผู้นำที่ดีน่าจะมีจิตสำนึกในทางนี้

คณะรัฐมนตรีชุดนี้ไม่มีใครเลยที่แลเห็นว่า การพัฒนากระแสหลักเป็นโทษอันมหันต์ อย่างน้อยคนอย่างสติกลิตซ์ ซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ก็ยังชี้ให้เห็นแล้วว่าการพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลักไปไม่รอด รวมเทคโนโลยีล่าสุดก็จะพาหายนะมาให้ทุกประเทศ ในโลกสมัยใหม่นี้ยิ่ง ๆ ขึ้น ลูกหลานเราจะไม่มีอนาคตเอาเลย

ที่ว่ามานี้ชนชั้นปกครองไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ควรใช้วิจารณญาณ แสวงหาผู้รู้นอกกระแสหลักมาปรึกษาหารือ รวมทั้งเนติบริกรที่รับใช้เผด็จการอยู่ในบัดนี้ ก็เป็นคนหน้าเดิม ๆ ที่รับใช้เผด็จการมาทุกยุคทุกสมัย โดยที่พวกเขามีสถานะดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วบ้านเมืองกระเตื้องขึ้นบ้างไหม ไพร่ฟ้าหน้าใสหรือไม่

หัวหน้าคณะปฏิวัติควรมองหานักกฎหมายที่เข้าถึงความยุติธรรมทางสังคมมาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ยังสิทธิมนุษยชนนั้น อย่าถือว่านั่นเป็นอันตรายกับความมั่นคงของประเทศ โดยต้องรู้ว่าระบบทุนและระบบขุนนางทางข้าราชการ กดขี่ข่มเหงประชาราษฎรมาทุกยุคทุกสมัย โดยที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าราษฎรโง่ ชาวเขานั้นเป็นส่วนเกินของบ้านเมืองและของราชอาณาจักร ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นเขาอยู่ที่แผ่นดินนี้ มาก่อนชนชาติไทยจะอพยพมายึดครองประเทศนี้เสียอีก ควรต้องเคารพนับถือเขาว่าเป็นคนเหมือนกับเรา ที่ไปกล่าวหาว่าชาวเขาทำไร่เลื่อนลอย ทำลายธรรมชาตินั้นเหลวไหล เพราะพวกเขาทำไร่ไถนาบนเขามากี่ชั่วคนแล้วแสดงว่าเขาอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างชาญฉลาด

ทางสามสี่จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน ไปดูถูกเขาว่าเป็นแขก เป็นราษฎรชั้นสอง ทั้ง ๆ ที่เขาควรมีศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าคนไทย และเขาไม่ใช่ไทยมุสลิม เขาเป็นมลายู ซึ่งก็ควรมีสิทธิในการเป็นราษฎร ไม่ต่างไปจากคนที่อ้างความเป็นไทย ฉะนั้นคำว่า Thailand นั้น ก่อให้เกิดปัญหาแท้ทีเดียว

ที่เอ่ยมานี้ เป็นเพียงบางเรื่องที่ผู้นำควรเข้าใจให้ถึงสาระ และผู้นำที่ดี ควรเปิดโอกาสให้มีเสรีภาพให้มาก ให้เขาด่าว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย ดีกว่าให้เขาไปซ่องสุมผู้คนอย่างลับ ๆ

อนึ่ง กฎอัยการศึกนั้น มีประโยชน์เวลามีอริราชศัตรูมาประชิดราชอาณาจักร เพื่อเกณฑ์ผู้คนได้ทันท่วงที และใช้อำนาจเด็ดขาดได้โดยฉับพลัน แต่ถ้าบ้านเมืองไม่มีอริราชศัตรู ขุนนางข้าราชการนั้นแลจะเป็นศัตรูของราษฎรอย่างน่ากลัวนัก เพราะข้าราชการดูถูกราษฎรอยู่แล้วและเข้าข้างนายทุนอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม พวกนี้จะเบียดเบียนบีฑาราษฎร เช่นไล่ที่ทำกิน หรือการทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็อ้างว่านี่คือความเจริญ ราษฎรที่คัดค้านนั้นโง่เขลา ยิ่งขุนนางข้าราชการพวกนี้ใช้กฎอัยการศึกมากเท่าไร ก็จะห้ำหั่นราษฎรตาดำ ๆ ได้มากเท่านั้น

ถ้าผู้นำทางเผด็จการไม่กล้าเลิกกฎอัยการศึก ก็ต้องฟังเสียงกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนให้จงหนัก ว่าการที่ราษฎรต่อสู้กับนายทุน หรือไม่ยอมสยบกับอำนาจอันไม่ชอบธรรมนี้ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของเขา

ถ้าผู้นำทางเผด็จการฟังเสียงจากคนเล็กคนน้อย ข้าราชการในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนคงเบียดเบียนบีฑาประชาราษฎรได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าเลิกกฎอัยการศึกเสียได้ จะได้ผลดียิ่งกว่าผลร้าย เว้นเสียแต่ว่าผู้นำทางด้านเผด็จการจะไม่มีความกล้าหาญเพียงพอเท่านั้น

ที่เขียนมานี้ก็ด้วยความรักเป็นบรรทัดฐาน ในฐานะกัลยาณมิตร กล่าวคือกัลยาณมิตรย่อมจะพูดกับผู้มีอำนาจในสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง แต่ถ้าหัดสดับตรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ได้มากเท่าไร เผด็จการจะมีใจกว้างและมีสติวิจารณญาณมากยิ่งขึ้น พร้อมไปกับความอ่อนน้อมถ่อมตน นี้แลคือสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่แท้

ส. ศิวรักษ์
๒๒/๑๐/๕๗

ป.ล.
มีเสียงพูดกันมากว่าผู้นำ คสช. นั้นเป็นคนซื่อ มือสะอาด แต่คนรอบ ๆ ข้าง บางคนเป็นโสณทุจริต ทั้งยังหากินอย่างใกล้ชิดกับคณะของทักษิณ ชินวัตรอีกด้วย ถ้าที่ว่ามานี้เป็นจริง แล้วแก้ไขประเด็นนี้ไม่ได้ จะไปปฏิรูปบ้านเมืองได้อย่างไร

-----------------

สรุปท้ายบทความ

จากที่ผมอ่านมาจนจบ ผมไม่เห้นด้วยกับ ส.ศิวลักษณ์ 2 เรื่อง คือ เรื่องการทำไร่เลื่อนลอยของชาวเชา และเรื่อง 3 จังหวัดใต้ เท่านั้น



วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

รวมคลิปข่าวทุจริตสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียน จากงบประมาณยุคยิ่งลักษณ์






ข่าวการทุจริตในภาครัฐที่ดังที่สุดในช่วงนี้ ก็คงเป็นเรื่องการจัดซื้อจัดสร้างสนามฟุตซอลในโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่มีข่าวส่อทุจริตมากที่สุดคือ การสร้างสนามฟุตซอลในโรงเรียนทางภาคเหนือและภาคอีสาน

ซึ่งจากสกู๊ปข่าวของไทยพีบีเอส เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อธิบายที่มาที่ไปได้ดีมาก และที่แน่ ๆ มี สส. ในพื่นที่ภาคเหนือ และภาคอีสานมีเอี่ยวเรื่องนี้ด้วย

โดยงบการสร้างสนามฟุตซอลนี้ เป็นงบแปรญัตติปี 2555 ก็คือในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้บอกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีการทุจริตในเรื่องนี้นะครับ

เพียงแต่ว่าอาจมี สส. ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน บางคนมีส่วนในการทุจริตเรื่องนี้ ซึ่งในข่าวยังไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร หรือ สส.พรรคไหน

ส่วนพวกเสื้อแดงก็ดูเหมือนจะเงียบ ๆ ไม่ค่อยสนใจในเรื่องทุจริตสนามฟุตซอลโรงเรียนนี้เลย ???

แต่คราวสนามฟุตซอลที่ กทม. สร้างไม่ทันแข่งขันฟุตซอลโลกล่ะก็ เสื้อแดงดันสนใจจริงจัง ทั้ง ๆ ที่สนามฟุตซอลหนองจอก ของ กทม. นั้น ที่สร้างล่าช้าเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นแหละที่กลั่นแกล้งในเรื่องการจัดส่งงบประมาณแท้ ๆ

ใครสนใจที่มาที่ไปทุจริตสนามฟุตซอลโรงเรียน ก็เริ่มต้นดูจากสกู๊ปข่าวนี้ของไทยพีบีเอสครับ

---------------------

คลิป เส้นทางใช้งบแปรญัตติ ปี 55 กับสนามฟุตซอล

ทีมข่าวไทยพีบีเอสพบความผิดปกติของการเขียนร่างขอบเขตงานหรือทีโออาร์ที่กำหนดสเปคสร้างสนามฟุตซอลในหลายโรงเรียนของภาคอีสานมีความคล้ายกัน ทีโออาร์เหล่านี้มีผู้กำหนดให้ตรงกับเอกชนรายใดหรือไม่ เพราะอาจมีการใช้งบประมาณของรัฐเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม ซึ่งเป็นผลจากการแปรญัตติเมื่อปี 2555





คลิป เปรียบเทียบ TOR สร้างสนามฟุตซอล ร.ร.เหนือ-อีสาน พบกำหนดสเปคไม่ได้มาตรฐาน

ทีมข่าวไทยพีบีเอส ตรวจสอบขอบเขตงานของผู้ว่างจ้างหรือ TOR โครงการก่อสร้างสนามฟุตบอล 2 แห่งในภาคเหนือ พบมีการใช้วัสดุที่มีการรับรองมาตรฐานโดยกรมพลศึกษา ซึ่งมีคุณสมบัติในการใช้งานกลางแจ้ง

ขณะที่โรงเรียนในภาคอีสานใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน จุดนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าใครจะมีส่วนเกี่ยวข้องบ้างถ้าพบว่าเข้าข่ายทุจริต





คลิป สตง.ภาค 4 พบพิรุธสร้างสนามฟุตซอลเกือบทุกขั้นตอน

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินภาค 4 จังหวัดนครราชสีมา พบความผิดปกติโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลเกือบทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันได้ส่งตัวอย่างแผ่นยางอีวีเอไปตรวจสอบที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ กรุงเทพมหานครว่ามีมาตรฐานตรงตามสัญญาหรือไม่




นี่แค่ตัวอย่างคลิปสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับทุจริตสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนเท่านั้น ที่จริง ๆ ไทยพีบีเอสได้ทำสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหลายจังหวัด ทั้งชัยภูมิ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก ที่ทำให้เราได้พอเห็นภาพที่มาที่ไปของเรื่องนี้

แต่ยังมีคลิปข่าวในเรื่องนี้อีกหลายคลิป ไปดูได้ที่นี่ คลิก !!

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พบตัวซวย ต้นเหตุที่ทำให้เชื้ออีโบลาระบาดหนักในไลบีเรีย







ปี 2557 เชื้อไวรัสอีโบล่าได้ระบาดอย่างหนักในทวีปอาฟริกาตะวันตก ซึ่งตอนนี้ก็ยังควบคุมการระบาดของโรคไม่ได้ จนมีผู้เสียชีวิตจนถึงวันนี้ประมาณ 4,000 กว่าคน และติดเชื้ออีกประมาณ 8 พันกว่าคน ซึ่งเป็นตัวเลขเท่าที่สำรวจพบเท่านั้น แต่ที่ตกสำรวจก็น่าจะมีจำนวนมากกว่านี้

ผมก็เลยมาคิดว่า เอ.. เชื้ออีโบล่าก็ค้นพบมานานหลายสิบปีแล้ว ก็มีการระบาดเป็นระยะ ๆ แล้วก็สามารถควบคุมการระบาดมาได้หลายครั้งแล้ว แต่ทำไมการระบาดในปี 2557 ครั้งนี้ ถึงได้ระบาดอย่างหนักและไม่สามารถควบคุมการระบาดได้เหมือนที่ผ่าน ๆ มานะ ?

มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปรกติเป็นแน่ ??

หรือว่า มันจะมีเหตุอาเพศ เหตุเพราะมีตัวเสนียดจัญไรไปเยือนประเทศในอาฟริกาตะวันตกหรือไม่ ??

โดยเฉพาะประเทศไลบีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการระบาดของไวรัสอีโบล่ารุนแรงที่สุด เคยทำอะไรที่ผิด หรือเคยปล่อยให้มีตัวเสนียดจัญไรเข้าประเทศไลบีเรียหรือไม่

ดังนั้นผมขอเริ่มย้อนดูข่าวเกี่ยวกับไลบีเรียก่อนว่า เคยมีตัวเสนียดจัญไรไปเยือน หรือเคยไปคิดลงทุนที่ไลบีเรียหรือไม่ ?

แล้วผมก็เจอตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะเมื่อปี 2552 ทักษิณเคยเดินไปทางไลบีเรียเพื่อจะทำกิจการหลายอย่าง ตามข่าวนี้

สื่อนอกตีข่าว"ทักษิณ"โผล่ลงทุนไลบีเรีย

สื่อไลบีเรีย ระบุ "ทักษิณ ชินวัตร" ต้องการเข้าไปลงทุนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่



(24เม.ย.52) เว็บไซต์สตาร์เรดิโอของไลบีเรีย รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯบอกกับรองประธานาธิบดีโจเซฟ โบไค ของไลบีเรีย ว่า เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของประเทศไทยที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีต่อประเทศในแอฟริกา และอยากมีส่วนร่วมในเรื่องเกษตรกรรมและลดปัญหาความยากจน นอกจากนี้ กลุ่มของพ.ต.ท.ทักษิณ มีความสนใจที่จะสำรวจน้ำมันและเหมืองแร่ รวมถึงเรื่องการเกษตร, การโทรคมนาคมสื่อสาร และลอตเตอรี

โดย พ.ต.ท.ทักษิณบินถึงไลบีเรีย ในวันอังคาร และเดินทางต่อไปยังไอเวอรีโคสต์ และประเทศในแอฟริกาอื่นๆเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ขณะที่รองประธานาธิบดีโบไค ให้การต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมคณะอีก 5 คน พร้อมเรียกร้องให้คนไทยไปลงทุนในไลบีเรีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีแร่ทุกชนิด

ขณะที่เว็บไซต์ของสำนักข่าวไลบีเรียน ออบเซิร์ฟเวอร์ ตีพิมพ์ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจับมือกับนายริชาร์ด โทลเบิร์ต ประธานคณะกรรมาธิการการลงทุนแห่งชาติไลบีเรีย หลังจากเข้าหารือเกี่ยวกับการลงทุนครั้งมหาศาลในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่

--------------

จากข่าวที่ผมแปะให้อ่านไปนั้น อาจมีควายแดงเถียงว่า ไม่จริงหรอก นั่นมันข่าวตั้งแต่ปี 2552 แล้ว การระบาดของอีโบลามันไม่เกี่ยวกับทักษิณหรอก

ถ้าควายแดงจะเถียงว่าทักษิณไม่เกี่ยวกับอีโบลา ก็ช่างแม่มัน !! 

แต่ผมเชื่อว่า ทักษิณมันเป็นตัวเสนียดที่เกี่ยวข้องการการระบาดของอีโบลาอย่างหนักแน่นอน 555

เพราะประเทศในอาฟริกามีตั้งมากมายหลายประเทศ แต่ทำไมอีโบล่าต้องระบาดหนักเจาะจงไปที่ประเทศที่ทักษิณเคยไปเยือนหรือไปลงทุนไว้

คงเพราะมีตัวเสนียดจัญไร และเงินจากคนเลว ๆ ไปลงทุนในประเทศไลบีเรียแน่ ๆ จึงทำให้เชื้อโรคอีโบล่าเลยเกิดรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

จริง ๆ แค่ทักษิณมันคิดจะเอาเงินไปลงทุนในไลบีเรีย ก็ถือว่าติดเสนียดแล้วล่ะ

แล้วยังเหลืออีก 2 ประเทศในอาฟริกาที่ทักษิณบอกจะไปลงทุนทำเหมืองเพชรในอาฟริกาตะวันตก แต่ทักษิณก็ไม่ยอมบอกชื่อ โดยประเทศที่เข้าข่ายว่าทักษิณอาจจะไปทำเหมืองเพชร ก็มีการระบาดของไวรัสอีโบล่าเช่นกัน คือ ประเทศเซียร์ราลีโอน

คลิกอ่าน บทความจากคมชัดลึก เรื่องธุรกิจเหมืองเพชชวิบากกรรมใหม่ของทักษิณ

-----------------





วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พันเอกอภิวันท์ ผู้ต้องหาคดีอาญา ม.112 กลับถึงไทยอย่างเท่แล้ว






พ.อ. อภิวันท์ วิริยะชัย ผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญา มาตรา 112 ได้ตายห่าที่ฟิลิปปินส์ ตอนนี้ได้นำศพกลับมาถึงไทยอย่างเท่แล้ว

ซึ่งคาดว่า นักโทษชายทักษิณ จะเลียนแบบการกลับไทยอย่างเท่ของ อภิวันท์ ในเร็ว ๆ นี้ เสื้อแดงเตรียมรอรับทักษิณอย่างเท่ได้เลย

ตอนนี้ซ้อมจริงรับศพอภิวันท์ไปพลาง ๆ ก่อน แต่อีกไม่นานเกินรอ ศพทักษิณจะตามมาเร็ว ๆ นี้ 555









แดงแท้ 100% ไม่มีวัวปน


หญิงเสื้อแดงถือป้ายที่มีข้อความเขียนว่า

"ขอให้ท่านอิภวันท์ วิริยะชัย จงไปสู่สุติ สู่สรวงสรรค์ วิมานเมน ประชาชนผู้รักประธิปไตย"

55555


"เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"

ใช่ครับ โดยส่วนตัวผม ผมไม่เคยคิดจองเวรกับคนที่ตายไปแล้วตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

แต่ที่ผมเขียนบทความนี้ ผมเขียนเพื่อประณามคนชั่ว ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รู้ว่า เมื่อใครทำชั่วก็สมควรต้องโดนประณาม

ส่วนกรรมที่วิญญาณที่คนชั่วจะต้องได้รับ ก็สุดแต่กฎแห่งกรรมเถิด

เมียของพันเอกอภิวันท์ ทำเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพ และขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ



----------------

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณฯ ของในหลวง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าให้งานศพของพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ได้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ 3 วัน คือในวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2557 – วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2557 เวลา 19.00 น. พระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรมศพ ก่อนพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 19 ต.ค.57

โดยในวันพระราชทานเพลิงศพ พ.อ.อภิวันท์ นั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะมาเป็นประธาน



พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ 

ในหลวงพระองค์ทรงมีน้ำพระทัยที่ยิ่งใหญ่ต่อพสกนิกรทุกคนของพระองค์ แม้จะมีบางคนอาจเคยทำไม่ดีต่อพระองค์ก็ตาม

และด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ในวันที่ 12 ต.ต. 2557 ในหลวงยังทรงพระราชทานน้ำหลวงอาบศพให้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัยอีกด้วย

ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนยาน

ซึ่งผมหวังว่า ครอบครัวของพันเอกอภิวันท์ จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นไว้ด้วย และคิดตอบแทนคุณแผ่นดิน กตัญญูต่อสถาบันหลักของชาติ (ไม่ใช่ไปตอบแทนตระกูลชั่วหนีคดี)

สำนักพระราชวังนำน้ำหลวงอาบศพมาให้พันเอกอภิวันท์





ยิ่งลักษณ์มาเป็นประธานสวดพระอภิธรรมในวันรดน้ำศพ



คลิกอ่าน อโหสิกรรมให้ พ.อ. อภิวันท์ เถอะครับ

คลิกอ่าน ชมพิธีส่งวิญญาณไอ้อภิวันท์



วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เนวิน ชิดชอบ ผู้คืนความสุขให้ชาวบุรีรัมย์







เนวิน ชิดชอบ เจ๋งจริง !! แค่ทำบอลไม่กี่ปี ทำบุรีรัมย์ติดอันดับทำรายได้จากการท่องเที่ยวขึ้นมาอันดับต้น ๆ ของประเทศ จากที่เมื่อ 5 ปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยวของบุรีรัมย์อยู่อันดับท้าย ๆ ของประเทศ

คุณเนวิน บอก ถ้าคุณไปโอลแทรฟฟอร์ด คุณต้องเสียเงินเข้าเยี่ยมชม แต่ถ้าคุณมาไอโมบายสเตเดียม คุณมาดูฟรี ๆ

ซึ่งตั้งแต่มีสนามไอโมบายสเตเดียม ก็ทำที่ดินในบุรีรัมย์และสุรินทร์พุ่งขึ้น 5-10 เท่า ในบริเวณใกล้สนามบอล

ตอนนี้ยังมีสนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต อีก เพิ่งจะมีพิธีเปิดในวันเกิดของเนวิน คือ 4 ตุลาคม ฉลองครบรอบอายุ 56 ปี

โดยเป้าหมายจะให้ รถสูตร 1 หรือ F1 มาแข่งในเมืองไทยให้ได้ เพราะสนามดีกว่าที่มาเลย์อีก

ถ้านักธุรกิจไทย คิดทำเพื่อบ้านเกิดแบบนี้กันทุกจังหวัด ประเทศไทยก็คงเจริญกว่านี้เยอะ

แล้วไอ้ตระกูลเหี้ยนะวัตร มันเอาทำอะไรให้จังหวัดบ้านเกิดมันบ้าง ? ที่ไม่ใช้ภาษีของชาติน่ะ



----------

ไม่ต้องใช้เงินตัวเองทั้งหมด ก็ทำสิ่งดี ๆ เพื่อบ้านเกิดตัวเองได้

เนวิน ชิดชอบ อดีตนักการเมืองที่ตอนนี้หันไปทำทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด จนเป็นทีมที่ดีที่สุดของไทยและอยู่ในอันดับต้น ๆ ของเอเซีย

เงินที่ใช้ในการทำสนามของทีมบุรีรัมย์ ชื่อสนามก็บอกอยู่แล้ว ไอโมบายสเตเดียม ก็ต้องมีสปอนเซอร์ใหญ่คือ Imoblie

สนามแข่งรถ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ชื่อ ช้างก็บอกอยู่แล้วว่า บริษัทช้าง เป็นสปอนเซอร์ใหญ่

ดังนั้น คนเราถ้ามีความคิด มีบารมี แล้วหันมาพัฒนาบ้านเกิดตัวเองอย่างจริงจัง ก็ทำให้คนในจังหวัดอยู่ดีกินดีขึ้นมาได้

ดังนั้น ผมขอเรียกโครงการทั้งหมดของคุณเนวิน ว่า เนวิน ผู้คืนความสุขให้คนบุรีรัมย์





-----------------------

โครงการในอนาคตที่จะเกิดในจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อไป คือ

-โครงการ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ แห่งแรกของภาคอีสาน
-โครงการพัฒนาสนามบินบุรีรัมย์ เป็น สนามบินนานาชาติ
-โครงการศูนย์การค้าระดับ 5 ดาว เดอะอิมพีเรียล (พร้อมโรงแรม)
-โครงการโรงแรมระดับ 5 ดาว จากเครืออมารี ในสนามแข่งรถ
-ภายใน 2 ปี เศรษฐกิจโตก้าวกระโดด GDP พุ่งสูงสุด 100%



ข้อมูลจากเพจบุรีรัมย์ซิตี้

--------------------

ขำ ๆ

เคยมีรายการทีวีได้ถาม เนวิน  ว่า ตอนที่พาโซระ อาโออิ มาบุรีรัมย์สเตเดี้ยม ผลตอบรับเป็นไงบ้าง?

เนวิน ตอบว่า "มันเป็นข่าวดังเรียกกระแสดีนะ แต่ผมจะไม่เอาพวกนางเอก AV มาสนามอีกแล้วล่ะ เพราะหลังจากน้องอ้อยมาแล้ว หลังจากนั้นบุรีรัมย์ แพ้ 2 เสมอ 1 ในบ้านตัวเอง ซวยชิบหาย !! เข็ดจริง ๆ" 555555

----------------

วิสัยทัศน์เนวิน ใช้ฟุตบอลสร้างเมือง

ผมไม่ได้บอกว่า คุณผู้อ่านจะต้องชื่นชอบชื่นชมเนวิน

หลายคนอาจบอก เนวิน ก็ไม่ได้ดีนักหรอก เคยมีคดีหลายคดีที่ส่อไม่ซื่อหลายคดี

แต่คดีทั้งหมดนั้นศาลก็ตัดสินไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว ต้องถือว่าจบไปแล้ว

หากตอนนี้คนเราจะทำดีเพื่อบ้านเกิด ผมว่า เราก็ควรแยกแยะให้โอกาสคนกลับตัวกลับใจทำความดี

หากต่อไป นายเนวิน มีเรื่องไม่ดีใด ๆ เกิดขึ้นอีก เราก็ค่อยออกมาต่อต้านในประเด็นนั้นใหม่ก็ได้ จริงไหมครับ ?

ลองวางอคติเก่า ๆ ที่เคยมีต่อคุณเนวินลง แล้วดูคลิปวิสัยทัศน์ของเขา 

ผมว่า ในคลิปแรก ถ้าคุณผู้อ่านดูจบ คงต้องคิดเหมือนผมคือ อยากให้คุณเนวิน มาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยแทนบังยี เสียจริง ๆ








วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ตัน ภาสกรนที ร่ำรวยเพราะรู้จักธาตุแท้สันดานคนไทยส่วนใหญ่







ถ้าคุณผู้อ่านเป็นแฟนบทความประจำของผม ผมเคยเขียนเรื่อง กลยุทธรวยหลอกแดกของตัน อิชิตัน ซึ่งบทความนั้นมีคนอ่านเยอะพอประมาณและมีคนไลค์ 2 หมื่นกว่าไลค์

แล้วก็มีพวกสาวกคุณตัน เข้ามาแสดงความเห็นเพื่อปกป้องคุณตัน จำนวนมาก ซึ่งผมก็เข้าไปตอบสาวกคุณตันพวกนั้นในหลาย ๆ ความเห็น

บทความที่ผมเขียนเกี่ยวกับ กลยุทธของคุณตัน ภาสกรนที มีอยู่ประมาณ 3-4 บทความ

เข่น บทความเรื่อง ตัน อิชิตัน เจ้ามือการพนันออกเบอร์

บทความเรื่อง กลยุทธรวยหลอกแดกของ ตัน อิชิตัน

บทความเรื่อง กลยุทธทำบุญสร้างภาพของ ตัน อิชิตัน


ทั้งหมดที่ผมเขียน ใครใคร่เชื่อผมก็ดี ใครพอใจอยากจะซื้อชาเขียวกินเพราะอยากได้โชค ก็ตามสบาย ผมไม่ได้ห้ามอะไร

ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่า คนไทยจำนวนมากเป็นพวกชอบเสี่ยงโชค ชอบคนรวยสร้างภาพ แถมยอมตกเป็นสาวกที่หลงใหลได้ปลื้มจนไปช่วยสร้างความร่ำรวยให้นักธุรกิจที่รู้ทันสันดานคนไทยจำนวนมากเหล่านี้

คุณผู้อ่านลองนึกดูเล่น ๆ นะครับ นักธุรกิจอย่างเช่น เจ้าของอาร์เอส หรือเจ้าของแกรมมี ทำธุรกิจในวงการเพลง วงการทีวีมา 30 กว่าปี น่าจะรวยมากใช่ไหม ?

แต่กลายเป็นว่า ทั้งเจ้าของอาร์เอส กับเจ้าของแกรมมี กลับรวยสู้คุณตัน เจ้าของชาเขียวไม่ได้ ?? เพราะอะไร ?

(คุณตัน ภาสกรนที รวยติดอันดับที่ 34 ของประเทศไทยประจำปี 2557)

ถ้าใครไม่โง่คุณต้องคิดได้ แต่ถ้าใครโง่ก็ย่อมคิดไม่ได้ ก็สมควรตกเป็นหยื่อโง่ ๆ ของเสี่ยชาเขียวต่อไป

แต่ก็มีคนไทยจำนวนมากเป็นประเภท รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก เพราะหลงใหลว่าเขาใจบุญ เขาคืนกำไรสู่สังคม แถมยังเอาทองเอารถ เอาไอโฟนมาแจกให้ลูกค้าด้วย

ถ้าใครคิดได้แค่นี้ ก็ตามสบายครับ เพราะนี่คือเสรีภาพของความโง่ที่อยากจะรักอยากจะดื่มชาเขียวต่อไป 555555

สำหรับผม ถ้าเงินในจำนวนเท่ากัน ผมนำไปซื้อเครื่องดื่มแช่เย็นในท้องตลาดอีกหลาย ๆ ยี่ห้อที่มีประโยชน์กว่าแดกชาเขียวตั้งเยอะ

อย่างเช่น ไปซื้อ เครื่องดื่มผสมคอลลาเจน หรือผสมโคเอมไซน์คิวเทน หรือผสมไฟเบอร์ หรือผสมเบอร์รี่มิค หรืออะไรอีกมากมายที่มีประโยชน์กว่าแดกชาเขียวในราคาที่ใกล้เคียงกัน (ถ้าผมเกิดอยากจะดื่มนะ)

ในขณะที่ชาเขียวแช่เย็น และเครื่องดื่มอีเย็น ไม่ได้มีประโยชน์อะไรตามราคาคุยเลยครับ เพราะส่วนผสมหลักคือชาเขียว ซึ่งชาเขียวแปรรูปบรรจุขวดแช่เย็นไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ส่วนสมุนไพรอะไรที่เอามาเป็นส่วนผสม ก็เป็นส่วนผสมไม่มาก ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรต่อร่างกาย ในขณะที่ราคาแพงกว่าต้นทุนจริงหลายเท่า

-----------------

ถ้าใครอ่านข่าวโปรโมชันล่าสุดของอิชิตัน กับการแจกไอโฟน 6 แล้วยังไม่รู้ตัวว่า คน ๆ นี้รวยเพราะมอมเมาคนไทยเพียงใด ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับ

ข่าว “เสี่ยตัน” เผยแคมเปญแจกไอโฟน ทุน 6 ล้าน กระตุ้นยอดขายร้อยล้าน!

เสี่ยชาเขียวงัดแคมเปญแจกโทรศัพท์มือถือกระตุ้นยอดขายชาเขียวอิชิตัน เผยคนไทยชอบเสี่ยงโชค กวาดเม็ดเงินรายได้เข้ากระเป๋าหลายร้อยล้านบาท จากมูลค่าลงทุน 6 ล้านบาทในการแจก iPhone 6 จำนวน 210 เครื่อง

นายตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ. อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ซึ่งขณะนี้ประชาชนมีกำลังใจที่ดีขึ้นและมีความเชื่อมั่นที่จะจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคทำให้กำลังซื้อกลับคืนมา มีเงินหมุนเวียนในตลาดมากขึ้น โดยจะส่งผลต่อทิศทางการท่องเที่ยว การนำเข้าส่งออกที่เป็นรูปธรรมทยอยปรับตัวดีขึ้นและจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า

“บริษัทยังคงตั้งเป้าการเติบโตต่อปีไว้ที่ 20% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ คาดว่า จะสามารถเริ่มวางจำหน่ายสินค้าประเภทชาเขียวและเครื่องดื่มแบรนด์ไบเล่ในประเทศอินโดนีเซียได้ในต้นปี 2558 

ขณะที่กำไรของบริษัทในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่บริษัทได้ออกแคมเปญกระตุ้นกำลังซื้อด้วยการแจกโทรศัพท์เคลื่อนที่แบรนด์ Apple รุ่น iPhone 6 จำนวน 210 เครื่อง มูลค่า 6 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดขายเครื่องดื่มประเภทชาเขียวกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้คาดว่าจะมีรายได้จากแคมเปญนี้ไม่ต่ำกว่าหลายร้อยล้านบาท เนื่องจากจุดอ่อนค่านิยมคนไทยส่วนใหญ่ชอบเสี่ยงโชค เสี่ยตันกล่าว

ข่าว http://astv.mobi/At0BBwz





------------------------

ดีครับ คุณตันฉลาด จนร่ำรวยมหาศาลติดอันดับประเทศ ผมก็ขอยินดีด้วยครับ เพียงแต่การรวยเพราะเอาเรื่องเสี่ยงโชคมามอมเมาคนไทยโง่ ๆ ก็เชิญตามสบาย (เพราะผมเคยเตือนคุณแล้ว)

ก็คนไทยโง่ ๆ หรือคนไทยโลภมาก เขาเต็มใจให้คุณตันหลอกอยู่แล้วนี่นะ 55555555555




การที่คุณตัน รู้จักนิสัยคนไทยส่วนใหญ่แบบนี้

ผมว่า ถ้าคุณตันไปเล่นการเมืองได้นะ (ถ้าไม่ติดเรื่องวุฒิการศึกษา) สงสัย ทักษิณก็อาจแพ้คุณตัน !!!

"คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด คนดื่มชาเขียวย่อมเป็นเหยื่อของเสี่ยตัน"

--------------------

ทักษิณ กับ เสี่ยตัน ใช้หลักการเดียวกัน ต่างกันตรงที่ทักษิณใข้ภาษีชาติมาทำให้คนจนรัก แต่แบ่งส่วนใหญ่เข้ากระเป๋าตัวเองในรูปนโยบายเอื้อผลประโยชน์ตัวเอง และในรูปแบบอื่น ๆ ผ่าน ปตท. ที่เกาะเคย์แมน

เข้าทำนองทักษิณกินเนื้อส่วนใหญ่ แล้วโยนเศษกระดูกให้พวกควายแดงแทะอย่างหลงใหล


ส่วนเสี่ยตัน ใข้กำไรมหาศาลที่ได้จากคนโง่ แล้วนำกำไรส่วนกระจิ๊ดริดมามอมเมาคนโง่ให้หลงรัก




คลิกอ่าน ข้อคิดเรื่อง ไอโฟน 6 กับตรรกะเพี้ยน ๆ ของศุลกากรไทย