วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

ตรรกะเหี้ย ๆ เรื่องท่อก๊าซ ของนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์






ขณะที่ผมเขียนทความนี้ ที่หอประชุมกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต ก็มีการเสวนา ถาม-ตอบ เรื่อง ปฏิรูปพลังงาน ในครั้งที่ 2 โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นประธานการเสวนา

ซึ่งผมไม่ค่อยสนใจการเสวนาในครั้งนี้เท่าครั้งแรกแล้วล่ะ แม้ครั้งนี้จะมีคุณรสนา โตสิตระกูล มาร่วมเสวนาด้วยก็ตาม

เพราะผมคาดไว้ว่า สุดท้ายผลการเสวนาก็ต้องออกมาในอีหรอบเดิม ๆ คือ คุยยังไงก็ไม่จบ

แต่ที่ผมสนใจมากกว่า คือ รายการเสียงประชาชน เปลี่ยนประเทศไทย ที่ได้เชิญนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ ปตท. มาออก

โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ท่อก๊าซ ในทะเล ตกลงเป็นของ ปตท. ทั้งหมดจริงหรือไม่ ?

ซึ่งพิธีกรรายการได้ถามว่า "จริง ๆ แล้วท่อก๊าซในทะเล จริง ๆ มันควรจะเป็นของรัฐ หรือเป็นของ ปตท. ?"

นายปิยสวัสดิ์ ตอบว่า "ไอ้ประเด็นนี้ จริง ๆ แล้วผมคิดว่าไม่น่าเป็นประเด็นถกเถียงนะ มันเป็นประเด็นที่หยิบยกขึ้นมา จริง ๆ แล้วเป็นประเด็นที่มีความชัดเจนแล้ว เพราะศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในปี 2550 เนี่ย ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ท่อส่วนไหนควรจะคืน ส่วนไหนไม่คืน

คำพิพากษาได้ชัดเจนว่า อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาจากการเวนคืน หรือรอนสิทธิประชาชน โดยใช้อำนาจ ปตท. ตามพระราชบัญญัติ ปตท. 2521 เหนือที่ดินเอกชนนะครับ และใช้เงิน ปตท. ตอนที่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ ไอ้ส่วนนี้น่ะต้องคืนให้คลัง ท่อแก๊สที่อยู่กับที่ดิน ติดกับที่ดินนั้นน่ะ ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องคืนด้วย อันนี้ก็คือที่มาของการแบ่งแยกทรัพย์สิน ที่จริงไอ้เรื่องนี้ ผมมองว่า เป็นเรื่องที่จบแล้วนะครับ ถ้าเรื่องนี้เราไม่ฟังคำสั่งศาล ก็ไม่รู้จะฟังใครนะครับ"

พิธีกร "คุณปิยะสวัสดิ์ อธิบายยังไง หรือความคิดเห็นส่วนตัวของคุณปิยสวัสดิ์ต่อประเด็นเรื่อง ท่อในทะเล เนี่ยค่ะ เป็นกรรมสิทธิของ ปตท. เพราะอะไรคะ?"

นายปิยสวัสดิ์ "ก็เพราะว่า ปตท. ไม่ได้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติ ปตท. ในการรอนสิทธิประชาชนเหนือที่ดินเอกชน"

พิธีกร "เหนือที่ดินเอกชน?"

นายปิยสวัสดิ์ "ใช่มันมีคำนี้ด้วย ที่ดินในทะเลไม่ใช่ที่ดินของเอกชน เนี่ย เพราะฉะนั้นดูคำพิพากษาเนี่ย ชัดเจนนะครับ จริงๆ แล้วก็มีการไปฟ้องศาลต่อนะ แล้วศาลปกครองกลางบอกว่า ไม่รับฟ้อง เพราะว่า ได้มีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแล้ว"

พิธีกร "การลงทุนก่อสร้างในครั้งนั้นน่ะค่ะ ใช้เงินลงทุนใครในการก่อสร้าง"

นายปิยสวัสดิ์ "เงินลงทุนเนี่ย เป็นเงินลงทุนของการปิโตรเลียมของประเทศไทย แต่ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน"

พิธีกร "ซึ่งก่อนการแปรรูป ?"

นายปิยสวัสดิ์ "ก่อนการแปรรูป แต่ แต่ต้องมองย้อนไปด้วยว่า คือถ้ามันเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินเนี่ย ผมก็ยังอาจ ยังจะพอเข้าใจนะ แต่ไอ้เงินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเนี่ย อะไรก็ตามที่รัฐลงไปในการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเนี่ย ตอนที่แปรรูปเนีย รัฐได้เงินคืนมาแล้วนะ"


ดูตั้งแต่นาทีที่ 14.00 เป็นต้นไป 


จริง ๆ แล้วคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในส่วนท่อก๊าซ ไม่ได้เป็นตามที่นายปิยสวัสดิ์กล่าวอ้าง เพราะคำตัดสินของศาลจริงๆ มีเพียงแค่นี้ คือ

คำตัดสินศาลปกครองสูงสุด ได้ตัดสินว่า "ให้ผู้ถูกฟ้องคดีร่วมกันแบ่งแยกทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และสิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งให้แยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็น อำนาจมหาชนของรัฐ ออกจากอำนาจและสิทธิของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ทั้งนี้ ให้เสร็จสิ้นก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550" (ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ก็คือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

จะเห็นได้ว่า คำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ไม่มีคำว่า เวนคืน หรือ รอนสิทธิประชาชน แต่อย่างใด แต่ในคำตัดสินของศาล มีคำว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และคำว่า อำนาจมหาชนของรัฐ

และคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ก็ไม่มีคำว่า เหนือที่ดินเอกชน ตามที่นายปิยสวัสดิ์ กล่าวอ้างว่า ให้ไปดูที่คำพิพากษาของศาลด้วย


ดังนั้นที่นายปิยสวัสดิ์อ้าง เรื่องเวนคืน รอนสิทธิ เหนือที่ดินเอกชน เป็นการอ้างถึงหลักการที่ "หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ตีความคำตัดสินของศาลและร่วมกันกำหนดหลักการแบ่งแยกท่อก๊าซเพื่อคืนให้กระทรวงการคลัง ตามมติครม. สุรยุทธ ที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดการตามคำสั่งศาล" ซึ่งไม่ใช่คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่เป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานกำหนดหลักการขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ ปตท. เอง

---------------------------

ตรรกะนายปิยะสวัสดิ์ อ้างว่า ที่ดินในทะเล ปตท. ไม่ได้ใช้สิทธิรอนที่ดินเอกชน ทรัพย์ในทะเลหรือท่อก๊าซจึงต้องเป็นของ ปตท. 100 %

ผมขอถามว่า ุถ้าที่ดินในทะเล ไม่ใช่ที่ดินของประเทศไทย ปตท. จะมีสิทธิไปวางท่อก๊าซได้ไหม ?

ก็ไม่ได้จริงหรือไม่ ? ถ้า ปตท. จะไปวางท่อในต่างประเทศก็ต้องขออนุญาตและจ่ายผลประโยชน์ในประเทศนั้น ๆ จริงไหม ?

แต่พอเป็นที่ดินของประเทศไทยเอง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ มีสิทธิอะไรมาวางท่อได้ฟรี ๆ บนผืนแผ่นดินใต้ทะเลอ่าวไทย ?

นี่แหละที่เขาเรียกว่า ปตท. กำลังใช้สิทธิของรัฐไทย หรือที่เรียกว่า อำนาจมหาชนของรัฐ

ถามว่า ที่ดินในทะเลเป็นของประเทศไทยใช่หรือไม่ ถ้าที่ดินในทะลเป็นของประเทศไทย ก็แปลว่าที่ดินในทะเลเป็นของคนไทยทุกคน

ดังนั้น เมื่อที่ดินในทะเลเป็นของคนไทย ถามว่า ปตท. กำลังใช้สิทธิของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อไปวางท่อในทะเล จริงหรือไม่ ? 

แบบนี้เขาเรียกว่า การใช้อำนาจมหาชนของรัฐภายใต้การเป็นรัฐวิสาหกิจ ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงสามารถไปวางท่อในทะเลไทยได้

แบบนี้ ปตท. ยังจะเอาท่อเป็นของตัวเองฝ่ายเดียว ไม่หน้าด้านไปหน่อยเหรอ


ก่อนการแปรรูป ปตท.  ท่อก๊าซทั้งหมดเป็นของรัฐบาลไทย 100 % ดังนั้น ท่อก๊าซในทะเลที่สร้างไว้ก่อนการแปรรูป จึงยังเป็นของรัฐบาล 100 % เช่นกัน

เพราะการแปรรูป ปตท. เป็นบริษัทมหาชนนั้น ไม่ได้รวมถึงการแปรรูปท่อก๊าซด้วย ซึ่งศาลปกครองก็ตัดสินไปแล้ว ศาลปกครองถึงได้สั่งให้ ปตท. คืนท่อก๊าซทั้งหมดให้รัฐบาลไทย

แต่จู่ ๆ นายปิยะสวัสดิ์ จะมาบอกว่า ท่อก๊าซในทะเล เป็น ของ ปตท. เท่านั้น นี่มันตอแหลสิ้นดี ?


แล้วที่นายปิยสวัสดิฺอ้างอีกว่า แปรรูป ปตท. รัฐบาลเลยได้เงิน(ในส่วนท่อก๊าซ)คืนมาแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พูดเองเออเองของนายปิยสวัสดิ์

ซึ่งที่ผ่านมาหลายปี กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน ซูเอี๋ยกับ ปตท. มาตลอด

แล้วที่นายปิยสวัสดิ์ได้อ้างว่า ศาลปกครองสูงสุดไม่รับฟ้องอีก นั่นเพราะ กระทรวงการคลังที่เป็นผู้เสียหายโดยตรง กลับไม่ยอมไปฟ้องร้องเองต่างหาก ศาลเลยไม่รับฟ้อง

ซึ่งประเด็นนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ก็กำลังดำเนินเรื่องถึง คสช. และจะเล่นงานกระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน

คลิกอ่านข่าว ผู้ตรวจการฯ ย้ำชัด ปตท. แจ้งเท็จต่อศาลว่า ส่งคืนท่อก๊าซครบ


ส่วนเรื่องก๊าซแอลพีจี กับ ปิโตรเคมี นายปิยสวัสดิ์ก็โกหกเหมือนกัน แต่บทความนี้ผมขอเล่นเรื่องท่อก๊าซประเด็นเดียวพอ เพื่อไม่ให้บทความยาวเกินไป


คลิกอ่าน ไพรินทร์ CEO ปตท. แถเรื่องท่อก๊าซ แต่กลับตายน้ำตื้น


วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

ฟังพลเอกประยุทธ์พูดถึงคดีนักท่องเที่ยวอังกฤษกับชุดบิกินี่ชัด ๆ ทั้ง 3 วัน






จากประเด็นที่สื่ออังกฤษบางสื่อนำคำพูดของพลเอกประยุทธ์ไปแบบ ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด คือ ลอกความหมายจากการแปลของสื่อสิงคโปร์เพียงแค่สั้น ๆ เกี่ยวกับคำพูดของพลเอกประยุทธ์ ในวันที่ 17 ก.ย. ที่ท่านนายกฯ พูดถึงกรณีนักท่องเที่ยวใส่บิกินี่

สื่ออังกฤษลอกข่าวจากสื่อสิงคโปร์ไปลงอีกทอด โดยไม่ได้แปลความทุกถ้อยคำของพลเอกประยุทธ์  จึงทำให้ความหมายของคำพูดผิดไปจากเดิมมากมาย ประกอบกับความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของ 2 ชาติก็ยิ่งทำให้สื่ออังกฤษตีความหมายผิดไปจากเจตนาของพลเอกประยุทธืไปอย่างมาก

เพราะสื่ออังกฤษ Mirror ได้มีการอ้างรายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์แชนแนลนิวส์เอเชีย ของสิงคโปร์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวว่า

“They think our country is beautiful and is safe so they can do whatever they want, they can wear bikinis and walk everywhere.” และ He then added: “....can they be safe in bikinis... unless they are not beautiful?”. 

แปล "พวกเขาคิดว่าประเทศของเราสวยงามและปลอดภัยที่จะทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ, พวกเขาสามารถแต่งกายชุดบิกินีและเดินไปไหนก็ได้ พวกเขาจะปลอดภัยในชุดบิกีนีหรือ หากไม่เป็นพวกหน้าตาขี้เหร่"

ซึ่งความจริงพลเอกประยุทธ์ไม่ได้พูดแบบนั้น และไม่พูดในความหมายแบบนั้น

ก่อนอื่น เรามาฟังพลเอกประยุทธ์ พูดเรื่องคดีนักท่องเที่ยวอังกฤษ ในวันที่ 16 ก.ย. 57 ก่อน



พล.อ ประยุทธ พูดไว้ดังนี้

"ไม่รู้หรอก ...คนต่างชาติ เขาเหมือนบ้านเขาไง ไปไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ... เขาคิดว่าเขาปลอดภัย .... แต่บ้านเราเนี่ย ยังมีปัญหาอยู่ เพราะมีคนหลายระดับด้วยกัน เพราะฉะนั้น ช่วยระวังเตือนเขาหน่อยนะ แล้วก็สอบสวนอีก แล้ววันนี้คนในประเทศก็รับไม่ได้ ..... คนที่ในพื้นที่เขาก็แต่งชุดดำ ต่อต้านกันเลยนะ ..... แล้วตอนนี้ก็สั่งตำรวจ เจ้าหน้าที่ทหาร ไล่ล่า ปิดเกาะ ..."


--------------------------

ประเด็นที่เป็นปัญหาคือ คำพูดของพลเอกประยุทธ์ ในวันที่ 17 ก.ย. 57



“การจัดระเบียบสังคม อาวุธสงคราม ยังมีอยู่ ไม่ต้องกังวล เรายังคงเดินหน้าจับกุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งอาวุธสงคราม ทั้งค้ามนุษย์ แรงงานผิดกฎหมาย ความปลอดภัย นักท่องเที่ยว มีปัญหามาตลอด ต้องเห็นใจเขาว่าเขาเข้าใจว่าบ้านเมืองเราเนี่ยสวยงาม ปลอดภัย ทำยังไงก็ได้ แต่งบิกินีไปไหนก็ได้

ผมถาม แต่งบิกินีประเทศไทยเนี่ยจะรอดไหม เว้นแต่ไม่สวยล่ะนะ (ผู้เข้าประชุมหัวเราะ) สวยทุกคน ในนี้สวยทุกคน แต่งได้หมดแหละ นะ อันตราย ต้องบอกเขา ต้องทำทั้งสองอย่างคือ กฎหมาย เฝ้าระวัง ให้นักท่องเที่ยวเขาระวัง ว่าหลังจาก 18 ไปแล้วห้ามไปตรงนี้ มียามเยิม ไปเดินดู เพราะมันเสียการท่องเที่ยวของตรงนั้นไปเลยเนี่ย เกาะอะไรเนี่ย เกาะช้างใช่ไหม เกาะอะไรนะ (ผู้เข้าประชุมตอบว่า “เกาะเต่า”) เกาะเต่า เต่าก็หงอยแล้ว นักท่องเที่ยวไม่ต้องกลัว ก็กำลังสืบสวนสอบสวน ก็มีความก้าวหน้าตามลำดับนะครับ” พลเอกประยุทธ์กล่าว

---------

ถามว่า พลเอกประยุทธ์ไปว่า นักท่องเที่ยงอังกฤษตรงไหน ?

ท่านนายกฯ แค่เตือนว่า การแต่งบิกินีตามความเข้าใจของนักท่องเที่ยว คือสามารถเดินไปไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ แต่ความจริง มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเมืองไทยเราถ้าคิดจะแต่งบิกินี่ไปไหน ๆ ก็ได้นั้น ยามดึกดื่นมืดค่ำแล้วยังใส่บิกินี่เดินไปไหนได้ มันอาจไม่ปลอดภัย!!

นี่คือ คำเตือนของท่านประยุทธ์ ชัด ๆ แต่สื่อสิงคโปร์ดันตีความผิด จนสื่ออังกฤษก็ลอกไปแบบผิด ๆ แล้ว สว.อังกฤษ ก็เอาไปพูดแบบผิด ๆ อีก

ส่วนประเด็น สวย หรือ ไม่สวย ??

ถ้าเราดูบริบทการพูด นี่คือการพูดต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก ไม่ใช่การให้สัมภาษณ์ตามปกติ ดังนั้น ท่านนายกฯ จึงพูดเล่นกับผู้ฟัง

ประเด็นสวย หรือไม่สวย คือการคุยเล่นกับผู้ฟัง เพื่อสร้างบรรยากาศในการฟังไม่ให้น่าเบื่อ ซึ่งแน่นอน อาจทำให้เกิดการตีความจนเกิดความเข้าใจผิดได้ และบริบทนี้ก็ไม่ได้หมายถึง นักท่องเที่ยวที่เป็นคดีแต่อย่างใด

ซึ่งท่านก็ออกมาขอโทษแล้ว แต่ประเด็นเจตนาของท่าน ไม่ได้เป็นการด่าหรือดูหมิ่นใคร ?

---------------

ทีนี้ลองดูรูปที่คุณเตชะทับทอง ได้ทำขึ้นมา เพื่ออธิบายความหมายคำพูดของพลเอกประยุทธ์ ว่าท่านมีเจตนาอย่างไร



--------------------

พลเอกประยุทธ์ กล่าวขอโทษ ที่ทำให้เข้าใจผิด



วันนี้ (18 ก.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ต้องขอโทษไปด้วย ถ้ามันพูดไปแล้วมันทำให้ไม่สบายใจ ตนไม่ได้หมายความดูถูกหรือว่าใคร เพียงแต่เตือนบางครั้งต้องระมัดระวังเหมือนกันในแต่ละสถานที่หรือบางเวลา ตนจะไปดูถูกได้ไง ว่าเขาได้ไง วันนี้ก็ยังรับรองอยู่ว่าปลอดภัย เว้นเพียงแต่ว่ามันมีคนไม่ดีอยู่นะ ซึ่งก็เหมือนกันทุกที่ในโลกนี้ มันก็มีอยู่ ฉะนั้น ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะบ้านเมืองเรากับบ้านเมืองเขาบางทีก็มีความปลอดภัยไม่เท่าเทียมกันนะ จึงเป็นห่วง

เวลานี้ได้สั่งให้กระทรวงมหาดไทย ตำรวจ และฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปดูมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น ซึ่งเขาทำอยู่แล้วเพียงแต่ต้องเข้มขึ้นมากกว่าเดิม เพราะชาวต่างชาติเขาไม่รู้หรอกนะ เขาก็คิดว่าปลอดภัยเขาจึงอยากมาเที่ยวไง เราก็ต้องช่วยกันดูแลอย่าให้คนร้ายคนไม่ดีปะปนอยู่ คนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงานอะไรต่างๆ มาทำงานนี่ไม่ได้ มันอันตรายและเป็นผลเสีย"

“บางครั้งผมพูดแรงไปเพราะผมกดดัน และเกิดจากความเสียใจที่มีคนตายคนเจ็บ จะเป็นคนไทยคนต่างชาติเสียใจทั้งนั้น ไม่อยากให้มีการสูญเสียอีก เพราะเราก็วัวหายล้อมคอกทุกครั้ง นี่ก็สั่งการไปแล้วทั้งรัฐมนตรีมหาดไทย และฝ่ายความมั่นคงให้ไปหามาตรการเพิ่มเติมว่าจะทำอย่างไร ข้อสำคัญต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากๆ เพราะทำให้เสียการท่องเที่ยวในพื้นที่เขา รายได้ก็สูญหายไปด้วย ดังนั้นต้องช่วยกัน จะรอเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้” นายกฯ กล่าว


-------------

ล่าสุดท่านนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงต่างประเทศชี้แจงคำพูดและความหมายที่ถูกต้องให้แก่สถานทูตอังกฤษแล้ว

ผมขอชื่นชมท่านนายกฯ ประยุทธ์ ที่ตนเองกล้าที่จะขอโทษ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้พูดผิดอะไร เพียงแต่คำพูดอาจทำให้คนตีความผิดไป เข้าใจผิดไป ท่านก็พร้อมที่จะขอโทษ

นี่แหละ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่


ไม่เหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีบางคน ไม่เคยรู้ตัวว่าตนเองพูดผิด จนใคร ๆ ก็ยกให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่โง่ที่สุดในโลก

แถมอดีตนายกฯ คนนั้นทำประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้าน ก็ยังหน้าด้านหน้าทน ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบใด ๆ แต่ก็นั่นแหลนะ ก็ยังมีคนที่โง่กว่ามันหลงใหลมันอยู่นั่นแหละ 





วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

การ์ตูนทักษิณตาดูดาวเทียม เท้าไม่มีแผ่นดินอยู่ ตอน1 มึงขายไทยคมทำไม?






ก่อนอื่นต้องขอแปลชื่อบทความนี้เสียก่อน ทักษิณตาดูดาวเทียม เท้าไม่มีแผ่นดินอยู่ ตอน 1 มึงขายไทยคมทำไม ?

ชื่อบทความนี้หมายถึง ทักษิณได้แต่ดูดาวเทียมเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เจ้าของดาวเทียมอีกแล้ว เพราะมันขายดาวเทียมไทยคมไปให้เทมาเสกของสิงคโปร์ไปแล้ว

ส่วนตอนนี้เท้าของทักษิณมันไม่แผ่นดินให้เหยียบฟรี ๆ เช่นกัน เพราะมันไม่สามารถกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดของตัวมันได้ ทักษิณมันต้องอาศัยเงินใช้ซื้อที่ซุกหัวนอนในต่างประเทศไปวัน ๆ คือถ้ามันไม่มีเงินมันก็ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ 5555

เมื่อวานนี้ โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ได้โพสเฟสบุ๊คว่า ได้ทำการ์ตูนอนิเมชั่น เกี่ยวกับประวัตินักโทษชายหนีคุกที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมา

แล้วโอ๊ค ก็เท้าความว่า เมื่อ 23 ปีก่อน ดาวเทียมดวงแรกของไทย ที่ชื่อไทยคม ได้ขึ้นสู่วงโคจรเป็นครั้งแรก ตามรูปนี้



แต่โอ๊ค มันเล่าไม่ละเอียด

เพราะชื่อ ไทยคม นี้เป็นชื่อที่ในหลวงพระราชทานให้ แล้วสมเด็จพระเทพรัตนฯ ก็เสด็จตามคำทูลเชิญของทักษิณ เสด็จไปทอดพระเนตรการยิงดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่วงโคจร ในประเทศอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ในทวีปอเมริกาใต้นี่แหละ แต่เป็นดาวเทียมที่ไปจ้างฝรั่งเศสสร้าง

สิ่งที่โอ๊ค มันเล่าในเฟสบุ็ค มันอ้างความภูมิใจของคนไทย อ้างธงชาติไทย ซึ่งตอนนั้นคนไทยก็ร่วมภูมิใจและดีใจไปกับทักษิณด้วยทุกคน

ในเมื่อดาวเทียมไทยคม เป็นชื่อพระราชทาน แถมยังทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนฯ ไปกดปุ่มยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรด้วยนั้น

ถ้าทักษิณมันยังมีจิตสำนึกในความกตัญญต่อชาติบ้านเมืองและสถาบันฯ ทักษิณก็ควรจะเก็บรักษาดาวเทียมไทยคมไว้ให้คนไทยและประเทศไทยจริงไหม ?

เพราะวงโคจรของดาวเทียมนั้นเป็นวงโคจรของประเทศไทย ที่ทักษิณมาขอสัมปทานจากรัฐบาลไทยไป ดังนั้นวงโคจรดาวเทียมจึงเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน

แต่ขอถามโอ๊คว่า แล้วพ่อมึง ไอ้ทักษิณน่ะ เสือกขายสัมปทานดาวเทียมไทยคม ไปให้กลุ่มเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์ทำไม ?

แถมต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อจะให้ขายกิจการโทรคมนาคมของประเทศชาติให้แก่ต่างชาติได้ถือหุ้นได้มากขึ้นอีกด้วย

การขายดาวเทียมไทยคม ดาวเทียมที่มึงอ้างว่าเป็นความภาคภูมืใจของคนไทยให้ต่างชาติไปแล้วนั้น

อีโอ๊ค มึงยังกล้าหน้าด้านมาอ้างเพื่อเอาหน้าเอาตาให้พ่อมึงอีกเหรอ 

-----------

เอ้า มาดูการ์ตูนยกหางให้ทักษิณ ที่โอ๊คมันไปจ้างคนมาทำให้พ่อมันหน่อย 

แต่ขอให้เราคนไทยจงตระหนักไว้แล้วกันว่า อีโอ๊คมันก็ต้องทำการ์ตูนเพื่อยกหางให้พ่อมันนั่นแหละ เพื่อหวังเอาไว้หลอกให้ควายแดงไม่ลืมพ่อมัน ให้ควายแดงยังหลงใหลพ่อมันต่อไป




คลิกอ่าน จับโกหกโอ๊ค ใครเผาเซ็นทรัลเวิร์ล ?



วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2557

ผลประโยชน์ค่าโฆษณามหาศาล เหตุผลช่อง3 ดื้อแพ่งทีวีดิจิตอล






คำว่าช่องฟรีทีวี หมายถึง คนดูได้ดูทีวีช่องนั้น ๆ ฟรี โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มจากการดู แต่ความจริงแล้วสำหรับวงการธุรกิจ ไม่มีอะไรฟรีจริงในโลกนี้

เพราะดูฟรีทีวี ก็ต้องมีโฆษณามาคั่นระหว่างรายการ เช่นฟรีทีวีระบบอนาล็อก สามารถมีโฆษณาได้ชั่วโมงละ 12 นาที

สิ่งที่ฟรีทีวีอย่างช่อง 3 ช่อง 7 เป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดในวงการทีวีบ้านเรา ก็เพราะรวยจากจำนวนคนดูที่มีมากกว่าช่องใด ๆ แล้วเพราะจำนวนคนดูนี่เองที่ทำให้ อัตราค่าโฆษณาที่มาลงใน 2 ช่องนี้ แพงที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์ หรือช่วงเวลาหลัง 2 ทุ่มนั่นเอง

โดยที่เวลาหลัง 20.15 น. หรือช่วงเวลาละครหลังข่าว ช่อง 7 มีอัตราค่าโฆษณานาทีละ 5 แสนบาท ส่วนช่อง 3 นาทีละ 4.8 แสนบาท

แต่เมื่อเข้าสู่ทีวีดิจิตอล ซึ่งจะทำให้ทะเลแห่งการแข่งขันของฟรีทีวีที่เดิมมีแค่ 3 5 7 9 (ไม่นับช่อง11 และไทยพีบีเอส) ที่มีกันแค่ 4 ช่องเท่านั้น กับผลประโยชน์โฆษณาตลาดรวม 7 หมื่นถึง 8 หมื่นล้านบาทต่อปี

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล ก็จะทำให้ฟรีทีวีมีมากถึง 36 ช่อง กลายเป็นมหาสมุทรแห่งการแข่งขัน หมายถึง มีคู่แข่งมากขึ้น 8 เท่า แต่จำนวนคนดูในประเทศไทยแทบไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

ฉะนั้น มันก็ทำให้การแย่งชิงโฆษณาของฟรีทีวีในยุคทีวีดิจิตอลต้องแข่งขันกันดุเดือดเพื่อความอยู่รอด

แต่กฎระเบียบของ กสท. กำหนดว่า ทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวีจะมีการโฆษณาได้ชั่วโมงละ 6 นาที

นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ช่อง 3 ไม่ยอมนำช่อง 3 อนาล็อกไปออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอล เพราะช่อง 3 อนาล็อกได้ขายโฆษณาล่วงหน้าไปแล้ว แถมขายในอัตราเวลาโฆษณา 12 นาทีต่อชั่วโมงเต็มพิกัดเหมือนเดิม  ที่สามารถออกอากาศทั้งหนวดกุ้ง และทีวีดาวเทียมเคเบิลทีวี

สาเหตุที่แท้จริงที่ทางช่อง 3 ยังไม่ออกอากาศคู่ขนานในระบบดิจิตอลนั้น เป็นเพราะช่อง 3 เชื่อมั่นว่า ตนเองมีฐานจำนวนผู้ชมสูงกว่าช่องอื่น ๆ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปแข่งขันกับช่องดิจิตอลอื่น ๆ สู้ยอมเอากำไรบางส่วนจากช่อง 3 อนาล็อกมาอุดหนุนช่องดิจิตอล 3 ช่องที่ยังไม่ได้ลงทุนเต็มที่ไปก่อน เม็ดเงินโฆษณาที่เข้ามาตอนนี้ ก็ไม่ต้องไปแข่งกับทีวีดิจิตอลอื่น ๆ


---------------

เข้าสู่ยุคดิจิตอล ช่อง 7 ปรับตัวลดค่าโฆษณา 

แม้การโฆษณาบนทีวีดิจิตอล จะยังสามารถโฆษณาได้ 12 นาทีต่อชั่วโมงเหมือนเดิม แต่สนามการแข่งขันรุนแรงมาก เพราะมีคู่แข่งเพิ่มเป็น 36 ช่อง

เมื่อช่อง 7 ได้ประมูลช่องดิจิตอลมาได้แค่ช่องเดียวก็ตาม (ทั้ง ๆ ที่ต้องการ 2 ช่อง) แต่ช่อง 7 ก็ยอมที่จะนำช่อง 7 ออริจินอล ไปออกคู่ขนานบนทีวีดิจิตอลของตัวเองด้วย

โดยช่อง 7 ใช้โปรโมชั่นค่าโฆษณาซื้อ 1 แถม 1 เช่นช่วงเวลาไพร์มไทม์ ยังมีราคานาทีละ 5 แสนบาทเหมือนเดิม แต่ซื้อ 1 แถม 1 คือ ซื้อโฆษณาช่อง 7 อนาล๊อกแต่ได้แถมโฆษณาบนช่อง 7HD พร้อมกันด้วย

หรืออย่างช่อง 9 พอเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล จากค่าโฆษณาช่วงไพรม์ไทม์ 4 - 4.5 แสนบาทต่อนาที ช่อง 9 ก็ลดราคาลงเหลือประมาณ 2.2-3.8 แสนบาทต่อนาทีเท่านั้น

นี่คือการปรับตัวเข้าสู่ทีวีดิจิตอลของทีวีที่มีคนดูอันดับ 1 และอันดับ 3 ของฟรีทีวีไทยอย่างช่อง 7 และ ช่อง 9

----------------

ช่อง 3 ขึ้นค่าโฆษณารายการเรื่องเล่าเช้านี้ อีก 10 %

ช่อง 3 ออริจินอลเป็นฟรีทีวีแต่มีรายได้จากค่าโฆษณามากที่สุดในประเทศ แม้มีจำนวนคนดูน้อยกว่าช่อง 7 อยู่เล็กน้อยก็ตาม เหตุเพราะเอเยนซี่และสินค้าต่าง ๆ สนใจลงโฆษณากับช่อง 3 มาก เพราะคนกรุงเทพฯ และคนในตัวเมืองส่วนใหญ่ชอบดูช่อง 3

เพราะช่อง 3 สนใจว่า จำนวนคนดูทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีที่นำช่อง 3 อนาล็อกไปออกนั้น มีจำนวนผู้ชมมากถึง 70 % แล้วคนดูที่ยังใช้หนวดกุ้งอยู่มีอีก 30 % ส่วนทีวีดิจิตอลนั้นยังมีคนดูน้อยมาก

ถ้าตราบใดช่องดาวเทียมและเคเบิลทีวี ที่มีคนดูจำนวน 70 % ของประเทศยังนำช่อง 3 ออริจินอลไปออกได้เหมือนเดิม ช่อง 3 ก็ไม่สนใจว่าจะต้องไปออกคู่ขนานบนทีวีดิจิตอล

ดังนั้นปี 2557 ในช่วงไพรม์ไทม์ช่อง 3 ออริจินอลยังคงราคาที่ 4.5แสนบาทต่อนาทีเหมือนเดิม

และช่อง 3 ออริจินอลเพิ่มค่าโฆษณาอีก 10 % ในรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ และเรื่องเด่นเย็นนี้ ที่มีการปรับราคาโฆษณาขึ้น 10% จากเดิมนาทีละ2 แสนบาท เป็น 2.2 แสนบาท

----------------

ยกตัวอย่างรายได้ที่หายไปแค่ช่วงไพรม์ไทม์ ของช่อง 3

อย่างละครหลังข่าวของช่อง 3 ออริจินอล ออกอากาศตั้งแต่ 20.15 - 22.45 น. เป็นเวลามากถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ตามกฎของฟรีทีวีเดิมที่ออกอากาศได้ชั่วโมงละ 12 นาที

ช่อง 3 ก็จะสามารถโฆษณาในช่วงเวลาละครหลังข่าวได้มากถึง 30 นาที

30 นาที คูณด้วย 4.8 แสนบาท = 14,400,000 บาท

นั่นคือ ช่วงละครหลังข่าวของช่อง 3 ออริจินอล มีเงินจากค่าโฆษณาวันละ 14,400,000 บาท

ถ้า 1 เดือน ละครหลังสองทุ่มช่อง 3 จะได้ค่าโฆษณามากถึง 432 ล้านบาท !!

ถ้าช่อง 3 ไปอยู่บนทีวีดิจิตอล ก็เท่ากับลงในสมรภูมิมหาสมุทรแห่งการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ค่าโฆษณาแพงแบบเดิมไม่ได้

แต่ถ้าช่อง 3 ยังอยากออกอากาศดาวเทียมและเคเบิลทีวีด่อไป โดยไม่ไปออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอล ช่อง 3 ก็ต้องไปขอใบอนุญาตใหม่เป็นทีวีดาวเทียมอีกประเภท แต่ก็จะโฆษณาได้แค่ 6 นาทีต่อ ชัวโมงเท่านั้น

------------

รายได้จากโฆษณาเรื่องเล่าเช้านี้ 

รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ออกอากาศตั้งแต่ 06.00 - 09.35 น. เท่ากับ 3 ชั่วโมงครึ่ง สามารถโฆษณาได้ 42 นาที (อัตราเดิม 12 นาที/ชม.)

42 นาที คูณ 2.2 แสนบาท = 9,240,000 บาท (เก้าล้านสองแสนสี่หมื่นบาท)

ซึ่งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ สรยุทธ ใช้วิธีแบ่งสรรผลประโยชน์กับช่อง 3 ในอัตราเท่าไหร่อันนี้ผมไม่รู้

ถ้าสมมุติ ช่อง 3 กับ สรยุทธ แบ่งผลประโยชน์กันที่ 70:30  ก็เท่ากับสรยุทธได้เนื้อๆ เน็ต ๆ วันละ 2,772.000 บาทต่อวัน (สองล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นสองพันบาท)

ถ้าต้องลดเวลาโฆษณาเหลือแค่ 6 นาทีต่อชั่วโมงเมื่อช่อง 3 ขอเป็นทีวีดาวเทียม ก็เท่ากับรายได้จากเรื่องเล่าเช้านี้หายไปถึง 4,690,000 บาทต่อวันเลยทีเดียว 

-------------

ล่าสุด ช่อง 3 ออริจินอลเตรียมคืนเงิน 70 % ให้เอเยนซี่ หากช่อง 3 จอดำ


ช่อง 3 ออริจินอล กำลังจะยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อประธาน กสทช. เพื่อให้คุ้มครองไม่ให้คำสั่งห้ามทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีนำช่อง 3 อนาล็อกไปออกอากาศ

ซึ่งช่อง 3 ออริจินอลก็ได้เตรียมการไว้ว่า ถ้าทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีต้องจอดำสำหรับช่อง 3 ออริจินอลขึ้นมาจริง ๆ ช่อง 3 ก็จะคืนเงิน 70 % ให้ผู้ที่มาซื้อเวลาโฆษณาล่วงหน้ากับช่อง 3 ไว้แล้ว ตามรายงานข่าวจากเรื่องเล่าเช่านี้ 10 ก.ย. 2557





--------------------

สรุปบทความ

มันเป็นเรื่อง อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ช้างเลยจะยื้อไม่ให้อ้อยต้องหลุดจากปาก

เพราะช่อง 3 ขายโฆษณา 12 นาทีต่อชั่วโมงล่วงหน้าไปแล้ว ดังนั้นเงินได้มาแล้ว ก็ต้องหาทางให้เงินนั้นจากไปให้น้อยที่สุด จึงต้องยื้อให้นานที่สุด เช่นถ้ายื้อได้ 1 วัน ก็สามารถเซฟเงินคืนค่าโฆษณาได้ร่วม 100 ล้านแล้ว

ช่อง 3 สามารถประมูลช่องทีวีดิจิตอลได้มากถึง 3 ช่อง คือ ช่อง 3 HD ช่อง 3 SD และช่อง 3 FAMILY

ดังนั้นช่อง 3 จึงมีช่องทั้งหมด 4 ช่องที่แตกต่างกัน คือช่อง3 ออริจินอล ช่อง 3 HD ช่อง 3 SD และช่อง 3 FAMILY


แต่เพราะคนดูในประเทศไทยส่วนใหญ่ดูทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี มากถึง 70 % ซึ่งผู้ชมส่วนนี้ก็จะไม่สนใจติดทีวีดิจิตอลเท่าไหร่นัก เพราะที้งทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีก็นำทีวีดิจิตอลไปออกอากาศอยู่แล้ว

จึงทำให้ช่อง 3 คิดกำไร 2 ต่อ เรื่องอะไรจะต้องสูญเสียช่องดิจิตอลที่อุตส่าห์ประมูลมาได้ตั้ง 3 ช่องไปฟรี ๆ 1 ช่อง หากต้องออกคู่ขนาน   สู้ขายโฆษณาทั้ง 4 ช่องที่แตกต่างกันไปเลยดีกว่า

ซึ่งต่างจากช่อง 7 ซึ่งถือเป็นคู่แข่งหลักของช่อง 3 คือ ช่อง 7 นำช่องออริจินอลไปออกคู่ขนานบนช่อง 7HD ก็เท่ากับ ช่อง 7 มีแค่ช่องเดียวเหมือนเดิม รับโฆษณาได้เงินเท่าเดิม แต่ต้องนำไปออกทั้งอนาล็อกและดิจิตอลคู่ขนานกัน

ส่วนช่อง 3 ออริจินอลเชื่อมั่นว่า ตัวเองมีคนดูมาก และมากที่สุดในหลายช่วงเวลาเช่น ช่วงข่าว ช่วงละคร และอีกหลายช่วง เรื่องอะไรจะต้องสูญเสียค่าโฆษณาไปตั้ง 6 นาทีต่อชั่วโมง แถมเสียช่องดิจิตอลไปฟรี ๆ อีกหนึ่งช่องเหมือนที่ช่อง 7 ทำ สู้เก็บค่าโฆษณาในช่องที่แตกต่าง 4 ช่องไม่ดีกว่าเหรอ

เพราะช่อง 3 หวังใช้เรื่องคนดูส่วนใหญ่ 70 % ของประเทศเป็นตัวประกัน ทั้ง ๆ ที่การที่ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี นำช่อง 3 ออริจินอลไปออกอากาศก็เท่ากับมีเวลาโฆษณาเกิน 6 นาทีต่อชั่วโมง ตามข้อกำหนดของ กสทช. ที่กำหนดให้ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และทีวีดจิตอล กำหนดให้โฆษณาได้ไม่เกิน 6นาที/ชม.

ช่อง 3 คุ้มค่าทุก 12 นาที กำไรเนื้อ ๆ ของช่อง 3 และสรยุทธ


คลิกอ่าน สรยุทธหน้าด้าน แถยึดประกาศ คสช. แล้วจับคนดูดาวเทียมและเคเบิลทีวีเป็นตัวประกัน

คลิกอ่าน สุภิญญา กลางณรงค์ เปรียบเทียบช่อง 3 ช่อง 7 ใครเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่ากัน

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

สกู๊ปข่าว ไมโครโฟนและเครื่องเสียงในทำเนียบรัฐบาลแพงเกินจริงหรือไม่







เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ระหว่างผมขับรถฟังรายงานข่าวจากวิทยุ เรื่องติดตั้งเครื่องเสียงในห้องประชุม ครม. แห่งใหม่

เห็นผู้จัดรายการวิทยุพูดว่า เครื่องเสียงและอุปกรณ์ในห้องประชุม ครม. ประยุทธ์ เป็นเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยและทันสมัยระดับเดียวที่ห้องประชุมที่ทำเนียบขาว

ซึ่งอันนี้ ผมไม่แน่ใจว่า ผู้จัดรายการพูดเล่นหรือพูดจริง

แล้วพอดีผมได้ดูรายงานข่าวจากไทยพีบีเอสเมื่อคืนวาน ซึ่งทีมข่าวได้นำเสนอที่มาที่ไป ตั้งแต่ เหตุผลว่า ทำไมต้องย้ายสถานที่ประชุม ครม. จากเดิม แล้วไมโครโฟนนั้นแพง หรือไม่แพง แล้วมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร

ลองดูได้จากคลิปนี้ครับ ต้องชื่นชมทีมข่าวไทยพีบีเอส ที่นำเสนอได้เข้าใจง่ายดี




การตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งบประมาณติดตั้งอุปกรณ์เครื่องเสียงว่าแพงเกินเหตุหรือไม่

โดยเฉพาะราคาไมโครโฟน ตัวละกว่า 140,000 บาท อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ทำสัญญาการซื้อขาย และราคานี้เป็นราคานำเข้าที่รวมภาษีแล้ว แต่ยังสามารถต่อรองให้อยู่ในกรอบการปรับปรุงห้องประชุมคณะรัฐมนตรี 69 ล้านบาทได้


หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คชี้แจงถึงข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อไมโครโฟนและเครื่องเสียงภายในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ว่า

ไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวเนื่องจากไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ซึ่งประเด็นนี้ทางอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ให้สัมภาษณ์ไว้ชัดเจนแล้วว่า ยังไม่ได้มีการลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่ประการใด ราคายังสามารถต่อรองลงได้อีก โดยบริษัทจะต้องนำเสนอรายละเอียดของราคาอีกรอบต่อกรมฯ ทั้งราคาจริงที่นำเข้าและภาษี เพื่อความชัดเจนโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

ส่วนกระแสที่ว่าไมโครโฟนที่เตรียมจัดซื้อมามีราคาสูงกว่าปกติ นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมาว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการต่อรองราคากันโดยที่ประมาณการไว้จะใช้ทั้งหมด 181 ตัว อยู่ในห้องประชุม 501 จำนวน 100 ตัว โดยจะต่อรองกับบริษัทผู้รับผิดชอบ ให้อยู่ในกรอบราคากลางเบื้องต้นที่ได้ตั้งไว้ของระบบเสียง ระบบควบคุมการประชุม รวมถึงระบบไฟ ที่ได้ตั้งไว้ที่ 69 ล้านบาท

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกฯโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า

"กระผมขออนุญาตเรียนต่อท่านผู้ติดตามข่าวสารและพี่น้องสื่อมวลชนเรื่องการติดตั้งระบบเครื่องเสียงที่ห้องประชุม ครม. ชั้น ๕ ดังนี้ :"อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองได้ให้สัมภาษณ์ไว้โดยชัดเจนแล้วว่า ยังไม่ได้มีการลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่ประการใด ราคายังสามารถต่อรองลงได้อีก ท่านอธิบดีกล่าวว่า บริษัทจะต้องนำเสนอรายละเอียดของราคาอีกรอบต่อกรมฯ ทั้งราคาจริงที่นำเข้า ภาษี เพื่อความชัดเจนโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ยืนยันว่า ราคาต้องต่ำกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ตามแนวนโยบายของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง หน.คสช. และ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี"

"ดังนั้น ตามที่มีการกล่าวอ้างถึงการให้สัมภาษณ์ของกระผมเรื่องระบบเครื่องเสียงประจำห้องประชุม ครม. ชั้น ๕ โดยสื่อบางแขนง จึงน่าจะเป็นความเข้าใจผิด กระผมไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวเนื่องจากไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ และทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้เป็นผู้ให้ความกระจ่างชัดในเรื่องดังกล่าวนี้ด้วยแล้ว"

วันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อไมค์ สำหรับห้องประชุมภายในทำเนียบรัฐบาลที่มีราคากว่า 140,000 บาท ว่า เรื่องระบบเสียงและระบบควบคุมการประชุม ทางกรมได้ให้บริษัท อัศวโสภณ เข้ามาดำเนินการปรับปรุง ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม ส่วนเรื่องราคานั้นได้ให้ทางบริษัทเสนอราคามาในเบื้องต้น

"ขณะนี้ยังไม่ได้ทำสัญญา เพราะเป็นการจ้างโดยการยกเว้นระเบียบการพัสดุและอยู่ในขั้นตอนการต่อรองราคากันอยู่ว่าโดยเนื้องานตามแบบที่เราประมาณการไว้จะใช้ทั้งหมด 181 ตัว อยู่ในห้องประชุม 501 จำนวน 100 ตัว และห้องประชุม 301 จำนวน 56 ตัว ห้องประชุม 302 จำนวน 25 ตัว แต่ปรากฎว่าจะใช้เพิ่มอีก 11 ตัว เพราะมีที่นั่งแล้วจำเป็นต้องติดไมค์ ต้องมาเจรจากันในกรอบที่เซ็ตราคากลางเบื้องต้นไว้ทั้งเรื่องของระบบเสียงและระบบควบคุมการประชุมรวมถึงระบบไฟ 69 ล้านบาท ก็จะต่อรองให้อยู่กรอบ 69 ล้านบาท ส่วนที่มีข่าวว่าราคาไมค์แพงกว่าทั่วไปก็ต้องเรียนว่า ไมค์ตัวนี้ยังไม่มีที่ใดใช้ ตัวราคาก็ได้คุยกับบริษัทอัศวโสภณว่า เมื่อไมค์ตัวนี้เป็นของที่นำเข้าก็ให้ท่านตั้งราคาและส่งรายละเอียดในเรื่องของการเสียภาษีศุลกากรและภาษีนำเข้ามาว่าท่านจะตั้งราคาขายเท่าใด แล้วก็จะทำการเจรจาต่อรอง โดยมีกรอบว่าต้องจ้างในวงเงินที่เราได้รับการอนุมัติมา" อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองกล่าว

นายมณฑล กล่าวอีกว่า "เบื้องต้นบริษัทจะทำการเสนอราคามาก่อน แล้วจะนำราคาตรงนี้มาขออนุมัติงบแต่ไม่ใช่ราคาที่จะจ้าง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนจรจากับบริษัทให้อยู่ในกรอบ 69 ล้านบาทหรือต่ำกว่านั้น เชื่อว่าคงจะไม่แพงเกินกว่าความเป็นจริง จากการสอบถามผู้รู้ก็บอกว่า ไมค์ตัวนี้เป็นระบบที่ดีที่สุดในปัจจุบัน"

เมื่อถามว่าจะมีการประชุม ครม. ในวันที่ 9 กันยายนระบบต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วหรือไม่ ?

นายมณฑล เปิดเผยว่า "ระบบติดตั้งพร้อมแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการคุยกับฝ่ายไอทีของทำเนียบรัฐบาลในวิธีการเดินระบบ ต้องให้บริษัทเทรนหรืออบรมให้ด้วย ซึ่งมีเพียงเจ้าเดียว การจ้างจึงเป็นการจ้างเจ้าเดียว แต่ไม่รู้หลักการตั้งราคาของผู้ขาย ตนก็ไม่รู้ราคา แต่ก็จะต้องมีการเอาใบนำเข้ามาแสดงว่ามีต้นทุนเท่าไหร่ บวกภาษีแล้วเป็นเท่าไหร่ แล้วเอามาคุยกันว่าราคาที่เหมาะสมเป็นเท่าไหร่ ยืนยันว่าไม่ได้ของบเพิ่มจากจำนวนคือ 69 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม จะพยายามรักษาผลประโยชน์และพยายามต่อรองราคาให้ได้ถูกที่สุด"


ที่มาข่าว ไทยพีบีเอส


------------------------


นี่ก็เท่ากับ รัฐบาลยุค คสช. ก็โดนสื่อและผู้คนได้ตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบได้เช่นกัน

ผมว่าก็ดีนะครับ ที่มีกรณีนี้เกิดขึ้น จะได้รู้ว่า ความโปร่งใสที่แท้จริง คือ การที่มีการตรวจสอบได้นี่แหละ


-----------------

สิ่งที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ตั้งข้อสงสัย

 เรื่องเครื่องเสียงของทำเนียบที่มีคนข้อสงสัยเรื่องราคาแพงนั้น พลเอกประยุทธ์ ก็ได้สั่งการให้ตรวจสอบเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว

แต่สิ่งที่นายเรืองไกร คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสงสัย คือ

1.ทำไมราคาไมโครโฟนที่รัฐมนตรีบางคนได้เปิดเผยออกมา จึงเป็นราคาที่แพงกว่าราคาขายปลีกในท้องตลาด ทั้งที่มีการสั่งซื้อจำนวนที่มากกว่า

2.ผลต่างของราคาที่รัฐต้องจ่ายสูงกว่าความเป็นจริงจะไปเข้ากระเป๋าใคร

3.ทำไมจึงมีการส่งของและติดตั้งได้ก่อนที่จะมีการทำสัญญา

(ประเด็นข้อ 3 akecity ขอตอบตรงนี้ว่า คือเท่าที่ผมรู้คือ การจัดซื้อของหน่วยงานราชการ บริษัทเอกชนมักจะเสนอให้ทดลองสินค้าระยะเวลาหนึ่ง โดยทำ MOU ไว้ก่อน เช่น เตียงคนไข้ไฟฟ้าปรับระดับได้ ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ทางเอกชนก็ส่งเตียงใหม่มาให้ทดลองใช้นานถึง 3 เดือน ก่อนที่จะตกลงว่าพอใจสินค้าหรือไม่ ก่อนจะต่อรองราคาและทำสัญญาซื้อขายกัน หากไม่พอใจก็ยกเลิก MOU ได้ครับ มันเป็นทั้งการให้บริการและการยอมรับความเสี่ยงของเอกชนเอง เพราะเขาก็ต้องแข่งขันกับคู่แข่งอื่น ๆ )


4.ครม.จะกล้าใช้ของที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนพัสดุครุภัณฑ์ หรือยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของราชการได้อย่างไร

5.ทำไมจึงยอมให้เข้ามาติดตั้ง ก่อนจะมีการลงนามในสัญญา

(akecity ประเด็นข้อ 5 ก็เหมือนที่ผมได้อธิบายแล้วในข้อ3)


6.ทำไมเอกชนกล้าสั่งของมาจากต่างประเทศก่อนโดยยังไม่ได้สัญญาจากรัฐ

(ประเด็นข้อ 6 akecity ขอตอบว่า เรื่องนี้นายเรืองไกร ควรไปถามบริษัทเอกชนเอง เรื่องนี้ที่จริงตอบได้ง่ายมาก นายเรืองไกรไม่น่าโชว์โง่ในข้อนี้)


7.ทำไมจึงเกิดเรื่องไม่โปร่งใสขึ้นกับทรัพย์สินที่จะนำมาใช้ในห้องประชุม ครม.


8.ถ้ายังไม่สั่งซื้อก็เท่ากับยังไม่มีการส่งมอบ ทรัพย์ยังเป็นของเอกชน จะเอามาเป็นอุปกรณ์ในการประชุม ครม.ซึ่งเป็นความลับ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้อมูลไม่รั่วไหล

ทำไมไม่ให้ รมต.ที่รับผิดชอบออกจากตำแหน่งไว้ก่อน จนกว่าผลการตรวจสอบจะปรากฏความจริงออกมา

(ประเด็นข้อ 8 akecity ขอตอบว่า ถ้าไม่เอามาใช้ก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ระบบรักษาความปลอดภัยดีจริง เขานำมาให้ทดลองระบบความปลอดภัย เพราะถ้าไม่ดีจริงจะได้ไม่ต้องซื้อไง หรือว่านายเรืองไกรต้องการให้ซื้อก่อนได้ทดลองใช้ ?)


9.ทำไมต้องให้อธิบดีกรมโยธาฯ มารับหน้า รมต.ที่รับผิดชอบมีหรือไม่ ทำไม่ออกมาชี้แจงเอง


10.สิ่งที่อธิบดีกรมโยธาฯ พูดออกมา เท่ากับยอมรับแล้วว่า การจัดซื้อโดยวิธีพิเศษไม่โปร่งใส มีเงื่อนงำใช่หรือไม่


11.ทำไมไม่นำใบขนสินค้าขาเข้าสำหรับไมโครโฟน Bosch รุ่น DCN multimedia CN จากกรมศุลการกรมาแสดงให้เห็นราคา CIF ต่อหน้าสื่อมวลชน


12.ควรทีการเปรียบเทียบรายละเอียดของสินค้าที่ติดตั้งไว้แล้วในห้องประชุม ครม.ว่ามีอุปกรณ์และระบบครบตามที่ปรากฏในใบเสนอราคาหรือไม่ และเป็นไปตามความต้องการของทางราชการหรือไม่


13.ควรเปรียบเทียบรายละเอียดของสินค้าว่า ต้องมีรายการครบถ้วนหรือมากกว่าตามที่แบบในต่างประเทศได้โฆษณาไว้ด้วย เพราะถ้าหากมีการลดราคาอาจมีการลดอุปกรณ์หรือระบบที่รองรับในเครื่องออกไปด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากสินค้าดังกล่าว ควรมีโปรแกรมการเชื่อมต่อกับระบบคอมพิเตอร์รวมอยู่ด้วย


14.ในเมื่อไมโครโฟนของจริงนั้นตั้งอยู่ในห้องประชุม ครม.เรียบร้อยแล้ว ก็แสดงว่ามีการตรวจรับงานติดตั้งและทดสอบระบบก่อนที่จะทำสัญญา จึงควรตรวจสอบต่อไปว่า ใครเป็นผู้ลงนามรับของจากเอกชน ลงนามในใบส่งของชั่วคราวใช่หรือไม่ และใครเป็นกรรมการในเรื่องนี้บ้าง


15.ควรเรียกให้เอกชนส่งมอบเอกสารใบสั่งซื้อ ใบเสนอราคา หรือหลักฐานต่างๆ ที่ติดต่อกับเจ้าของสินค้าในต่างประเทศมาตรวจสอบอีกทางหนึ่ง เพื่อจะได้รู้ช่วงเวลาว่า เหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับกรณีไมโครโฟนนั้น มีลำดับช่วงเวลากันอย่างไร ถ้าปรากฏว่า มีการสั่งของจากต่างประเทศก่อนที่ทางราชการจะมีสัญญาหรือออกเอกสารใดๆ ให้เป็นคำยืนยันว่าเอกชนรายนี้ได้งานแน่ๆ อาจมีคำถามต่อไปว่า ทำไมจึงมีเรื่องความไม่สุจริตและโปร่งใสเกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาลได้

-----------------

ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่นายเรืองไกรถาม ทางฝ่ายผู้รับผิดชอบเรื่องก็ควรออกมาตอบให้ชัดเจน แต่ถ้ามันมีปัญหามากนัก ก็เลิกใช้ของแพงแบบนี้ไปซะ ดีไหม !!


เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า ก่อนเกิดเรื่องไมค์ราคาแพง ตัวแทนจำหน่ายไมค์รุ่นใกล้เคียงกันที่สุดขายที่ราคา 99,000 บาท แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เว็บตัวแทนจำหน่ายก็รีบไปแก้ราคาเป็น 199,000 บาทแทน

ราคาก่อนเกิดเรื่อง (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)



ราคาหลังเกิดเรื่องแล้ว ถูกแก้ไขให้แพงขึ้น (คลิกที่รูปเพื่อขยาย)


ล่าสุด ข่าววันที่ 8 ก.ย. 57 ช่อง 3 ได้รายงานว่า

นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ยืนยันว่า "ขณะนี้ยังไม่มีการลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเพื่อติดตั้งระบบเครื่องเสียง ยังอยู่ในขั้นตอนการต่อรองราคากับเอกชน จนกว่าจะได้ระดับราคาที่เหมาะสม และต่ำกว่าราคากลางที่กำหนดไว้ ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องใช้การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ เพราะมีเวลาปรับปรุงเพียง 40 วัน และต้องการระบบเครื่องเสียงที่ดี เพราะทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ประชุมสำคัญสูงสุดระดับชาติ จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูล"


---------------------

อัพเดทข่าว 10 ก.ย. 2557

ไมโครโฟน ห้องประชุม ครม. เจรจาต่อรองเหลือราคาตัวละ 94,250 บาทแล้ว จากราคาเดิม 145,000 บาท



หลังจากการตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสมของราคาไมโครโฟน ที่ราคาตัวละ 145,000 บาท รวมถึงราคาจอพลาสม่า ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีการปรับปรุงใหม่ มีราคาที่ไม่เหมาะสม

นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมด้วยตัวแทนบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ระบบโสตทัศนูปกรณ์ ร่วมแถลงข่าวยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยนายมณฑล กล่าวว่า ราคาของไมโครโฟนที่ 145,000 บาท เป็นเพียงราคาประมาณการที่ตั้งขึ้นเพื่อขออนุมัติงบประมาณ แต่เมื่อมีการต่อรองราคาแล้ว ได้ข้อสรุปจัดซื้อในราคา 94,250 บาท โดยยืนยันว่ายังไม่มีการเบิกจ่ายเงินล่วงหน้า ร้อยละ 15 ตามที่ปรากฎเป็นข่าว เพราะยังไม่มีการลงนามในสัญญากับเอกชน

พร้อมยอมรับว่าบริษัทเอกชนได้ดำเนินการติดตั้งแล้วซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบการใช้งาน พร้อมชี้แจงเหตุผลในการจัดซื้อไมโครโฟนรุ่น DCNM-MMD ของบริษัท Bosch Security System เนื่องจากเป็นรุ่นล่าสุดและมีคุณภาพดีที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานราชการใดในประเทศไทยติดตั้ง

ส่วนการติดตั้งจอพลาสมาในราคาที่สูง ว่าขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการติดตั้งระบบ LED แทน เนื่องจากมีความคมชัดและมีราคาที่ต่ำกว่า โดยมีราคาจัดซื้อประมาณ 300,000 บาท แต่ยังไม่มีการสรุปตัวเลข เพราะอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคา

อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส และพร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางอาญาและทางวินัย หากพบว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น

ด้านนายชาญชัย ตันติราษฎร์ ผู้อำนายการฝ่ายโครงการ บริษัทอัศวโสภณ จำกัด ยืนยันว่า กรมโยธาธิการและผังเมือง พยายามต่อรองราคาจัดซื้อไมโครโฟน จากราคาประมาณการ 145,000 บาท มาโดยตลอดจนได้ข้อสรุปที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับร่วมกัน

ไทยพีบีเอส

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

สรยุทธ หน้าด้านแถยึดประกาศคสช. แล้วจับคนดูดาวเทียม เคเบิลทีวีเป็นตัวประกัน






ผมขออนุญาตอธิบายความแบบเข้าใจง่าย ๆ นะครับ ก่อนที่คุณผู้อ่านจะไปชมคลิปรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่สรยุทธ พยายามจะอธิบายความเพื่อปกป้องช่อง 3 ออริจินอล


คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ถ้าใครซื้อกล่อง Set top Box เพื่อดูทีวีดิจิตอล ก็จะไม่สามารถรับชมช่อง 3 ออริจินอลได้ นี่คือ ปัญหาของคนไทยที่ติดกล่องทีวีดิจิตอลกำลังประสบตอนนี้

ทำให้แฟนละครช่อง 3 รวมทั้งแฟนรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่ติดกล่องทีวีดิจิตอลแต่ที่บ้านไม่ได้ติดจานดาวเทียม หรือไม่ได้เป็นสมาชิกเคเบิลทีวีอยู่ จะต้องอดดูละครช่อง 3  และรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ไปโดยปริยาย

คือถ้าใครอยากจะดูช่อง 3 ออริจินอล ก็ต้องสลับสัญญาณระหว่างทีวีอนาล็อกเดิม กับ ทีวีดิจิตอล ซึ่งทำให้ยุ่งยาก

เพราะ ณ วันนี้ข่อง 3 เป็นฟรีทีวีอนาล็อกช่องเดียว ที่ไม่ยอมออกกาศช่องออริจินอลเดิมของตัวเองคู่ขนานกับช่องทีวีดิจิตอล เหมือนกับที่ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 11 และไทยพีบีเอส ได้ออกอากาศคู่ขนานอยู่

ทั้ง ๆ ที่ ช่อง 3 ประมูลทีวีดิจิตอลได้มากถึง 3 ช่อง คือ ช่อง 3SD ช่อง 3HD และช่อง 3 Family

ถามว่า ทำไมช่อง 3 ออริจินอล ไม่ยอมเอาช่องเดิมของตัวเองไปลงทีวีดิจิตอล เหมือนกับฟรีทีวีช่องอื่น ๆ เขาทำ ??

ขนาดช่อง 7 ที่มีเรตติ้งในต่างจังหวัดมากกว่าช่อง 3 ด้วยซ้ำ แถมทีวีดิจิตอลก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ช่อง 7 เสียเปรียบ แต่ช่อง 7 ก็ยังยอมที่จะนำช่องหลักของตัวเองไปลงในทีวีดิจิตอล

คำตอบก็คือ ช่อง 3 และสรยุทธ เห็นแก่ตัว ไงครับ ความเห็นแก่ตัวของพวกนายทุนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คือ ที่มาของปัญหา


ชมคลิปเรื่องเล่าเช้านี้ สรยุทธ ยืนอธิบายความถูกต้องชอบธรรมช่อง 3 



คือ ประเด็นทั้งหมดที่ช่อง 3 ออริจินอล ไม่ยอมไปออกอากาศทีวีดิจตอล เพราะกฎระเบียบเรื่องช่วงเวลาโฆษณาที่จะต้องลดน้อยลงเมื่อเป็นทีวีดิจิตอลแล้ว ซึ่งจะทำให้ช่อง 3 ออริจินอลจะสูญเสียรายได้จากค่าโฆษณามหาศาล

เพราะทีวีระบบอนาล็อกเดิม จะโฆษณาได้เฉลี่ย 1012 นาทีต่อขั่วโมง 
ทีวีดาวเทียม สามารถโฆษณาได้แค่ 6 นาทีต่อชั่วโมงเท่านั้น 
ส่วนทีวีดิจิตอล จะได้โฆษณา 12 นาทีต่อชั่วโมงเหมือนเดิม 

แต่การถ้าช่อง 3 ยอมเข้าไปอยู่ในทีวีดิจิตอล ย่อมทำให้ส่วนแบ่งจากค่าโฆษณาลดลงโดยปริยาย เพราะจากเดิมโฆษณาในฟรีทีวี มีแย่งกันอยู่แค่ 3 5 7 9 และ 11 บ้างเท่านั้น

แต่ถ้าไปเป็นทีวีดิจตอลแล้วเท่ากับต้องแย่งค่าโฆษณากันเองมากกว่า 30 ช่อง

แล้วถ้าช่อง3 ออริจินอล ยังไปไม่ออกคู่ขนาน ก็เท่ากับช่อง 3 มีช่องที่แตกต่างกันถึง 4 ช่อง รับโฆษณาไปเต็ม ๆ  4 ช่อง

-------------

สรยุทธ อย่ามาอ้างปริมาณคนดูดาวเทียมเคเบิลทีวี 70 % 



ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ ถ้าห้ามทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวี นำช่อง 3 ออริจินอลไปออก แล้วจะทำให้คนดู 70 % ในส่วนนี้จะต้องอดดูช่อง 3 ออริจินอล ตามที่สรยุทธพยายามจะอธิบาย

แต่เจตนา กสทช. ที่ถูกต้องก่อนจะมีประกาศ คสช.ฉบับที่ 27 ก็คือ ถ้าช่อง 3 ออริจินอล นำรายการในช่องนี้ไปออกอากาศคู่ขนานในช่องดิจิตอลที่ช่อง 3 ประมูลสัก 1 ช่องด้วย

ทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวี ก็สามารถไปดึงสัญญาณช่อง 3 ออริจินอลจากทีวีดิจิตอลไปออกอากาศในช่องของตัวเองได้เหมือนเดิม ซึ่งก็จะทำให้ประชาชนที่ใช้จานดาวเทียม หรือดูผ่านเคเบิลทีวี ก็จะได้ดูช่อง3 ออริจินอลได้ตามปกติ

แต่ที่สรยุทธ พยายามอธิบายนั่นคือ ฉวยโอกาสที่มีประกาศ คสช. ฉบับที่ 27 เพื่อเอาเปรียบฟรีทีวีช่องอื่น ๆ

ใช่ครับ ๆ มันไม่ผิดกฎหมาย แต่มันแสดงถึง จริยธรรมในจิตใจของสรยุทธ และผู้บริหารช่อง 3 (เช่นนายประชา มาลีนนท์ หนีคุกเป็นต้น)

เขาเรียกการกระทำของสรยุทธ และช่อง 3 เป็นพวกศรีธนณชัย ที่พยายามหาช่องทางกฎหมายเพื่อความได้เปรียบ หรือเอาเปรียบ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่มีคำว่า เสียสละเพื่อส่วนรวมในหัวใจของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อสาธารณะ !!

ฉะนั้น สรยุทธ อย่ามาอ้างเรื่องคนดู 70% เพราะถ้าช่อง 3 ออริจินอลไปออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอลเหมือนที่ฟรีทีวีช่องอื่น ๆ เขาก็ทำกันไปแล้ว คนดูทีวีดาวเทียม และดูผ่านเคเบิลทีวี ก็จะได้ดูช่อง 3 ออริจินอลได้เหมือนเดิม

วิธีการพูดของสรยุทธ คือ การเบี่ยงประเด็นเอาจำนวนคนดู 70 % มาบังหน้า

และสรยุทธ กับ ช่อง 3 ก็ฉวยโอกาสอ้างประกาศ คสช. ฉบับที่ 27 /2557  ในข้อ 1 ที่ประกาศหลังจากทีวีช่องช่องทางถูกยุติการออกอากาศ ให้กลับมาออกอากาศได้ตามปกติหลังมีการรัฐประหาร เพื่อยื้อผลประโยชน์ของตัวเองฝ่ายเดียวไว้ให้นานที่สุด

ทั้ง ๆ ที่เจตนาของประกาศ คสช. ฉบับนี้ มีเจตนาให้รายการทีวีกลับไปออกอากาศได้ตามปกติ ไม่ใช่มีเจตนาแบบที่ช่อง 3 และสรยุทธนำไปแอบอ้างใช้

ประกาศ คสช. ฉบับที่ 27/2557

เรื่อง การถ่ายทอดออกอากาศของสถานีวิทยุโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ระบบดิจิตอล และสถานีโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญาต สัญญา หรือสัมปทานจากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ


เพื่อให้การเผยแพร่ข่าวสารไปสู่ประชาชนเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ และเป็นไปด้วยความถูกต้อง ปราศจากการบิดเบือน อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด จนส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงให้

ข้อ 1. ผู้ให้บริการโทรทัศน์ ดังต่อไปนี้ ออกอากาศได้ตามปกติ ผ่านทางระบบการใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดิน ระบบผ่านดาวเทียม และเคเบิล

(1) ผู้ให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ระบบอะนาล็อก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 23/2557 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2557
(2) ผู้ให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ระบบดิจิตอล ซึ่งได้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ยกเว้นสถานีโทรทัศน์ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 15/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

คลิกที่นี่อ่าน ประกาศ คสช. ฉบับที่ 27/2557

----------------

ผมแนะนำให้ คสช. ต้องออกประกาศฉบับใหม่เพื่อยกเลิก ประกาศ คสช. ฉบับที่ 27 ลงโดยเร็ว เพื่อไม่ให้สื่อเลว ๆ ที่ชอบทำตัวเป็นศรีธนญชัยได้อ้างประกาศของ คสช. อีก

เพราะถ้าไม่มีประกาศ คสช. ฉบับ27 นี้ ช่อง 3 ก็จะต้องหาทางนำช่อง 3 ออริจินอลไปออกทางทีวีดิจิตอลด้วยอย่างแน่นอน

ซึ่งต่อไปถ้าช่อง 3 ไม่รีบนำช่อง 3 ออริจินอลไปออกชองทีวีดิจิตอล ก็จะทำให้โฆษณามาลงที่ช่อง 3 ออริจินอลลดลงแน่นอน เพราะจะเหลือแค่กลุ่มคนดูที่ใช้ก้างปลาและหนวดกุ้งเท่านั้นที่สามารถดูไดเ

และผมขอประณาม คณะกรรมการ กสทช. และ กสท. ที่ปล่อยให้เรื่องมันเลยเวลากำหนด คือ 1 กันยายน แทนที่จะทำให้มันเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว

จนปล่อยให้ สรยุทธ และช่อง 3 ออกมาอธิบายและแถลงการณ์เย้ย กสทช. ในวันนี้

การอ้างคนดู 70 % ที่เป็นคนส่วนใหญ่ที่สรยุทธอ้าง ก็คือ ตรรกะเดียวกับที่ยิ่งลักษณ์ชอบอ้าง คือ ดิชั้นมาจากเสียงส่วนใหญ่ 15 ล้านเสียงนะคะ !!!

--------------------

ข่าวไทยพีบีเอส กรณีช่อง 3 กับผลกระทบผู้บริโภค

นายวิศรุต ปิยะกุลวัฒน์ อุปนายกสมาคมสื่อดิจิตอลเพื่อผู้บริโภค ยันกรณีช่อง 3 ไม่ยอมออกอากาศในระบบอนาล็อกและดิจิตอลพร้อมกันทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ โดยเวลานี้ทุกฝ่ายควรนำความจริงมาคุยกัน และหยุดใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน



--------------

ล่าสุดทาง คสช. โดยพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้พูดถึงประกาศ คสช. ฉบับที่ 27 ว่า เจตนารมย์ของประกาศฉบับที่ 27 ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความถี่หรือทีวีดิจิตอลของ กสทช. เลย เรื่องนี้จึงเป็นอำนาจของ กสทช. โดยตรงที่จะจัดการเอง 

"ผมว่า กสทช.ต้องเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูน่ะ ท่านต้องตัดสินใจบนพื้นฐานตรงนั้น ผมอ่านกี่ครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไม กสท. ไม่เข้าใจเรื่องนี้ จะต้องมาถามผมทำไม ก็คุณก็รู้อยู่แล้วว่า อ่านออกนั้นชัดเจน เจตนารมย์น่ะ คุณไปอ่านหัวเจตนารมย์ 3 บรรทัดแรกของประกาศที่ 23,27 คุณจะรู้เจตนารมย์อะไร ต้องการความร่วมมือ 1 2 3 4 เป็นเรื่องเจตนารมย์ในการที่จะกระจายเสียง ส่งสัญญาณ หรือออกแพร่ภาพ แค่นั้นเองน่ะ ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับการจัดระบบทีวีของประเทศไทยเลย กสทช.ไม่จำเป็นต้องมาถามผม แล้วคุณก็รู้อยู่แล้ว ไม่ต้องโยนมาให้ผม คุณรู้ ทำไมคุณไม่แก้ไข" พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายากล่าวกับผู้สื่อข่าว

คลิกฟังพลเอกไพบูลย์ พูดเรื่องนี้

-----------

เมื่อผมฟังจากที่พลเอกไพบูลย์กล่าว แล้ว ผมว่า ช่อง 3 ก็ควรหยุดหน้าด้านอ้างประกาศ คสช. ได้แล้ว และ กสทช. ก็อย่าเอื้อประโยชน์ให้ช่อง 3 อีก

เพราะตอนนี้ผมมองว่า กสทช. กำลังช่วยถ่วงเวลาให้ช่อง 3 ในเรื่องนี้นานเกินไป ทั้ง ๆ ที่มีอำนาจจัดการตามกฎหมายเดิมของ กสทช. อยู่แล้ว

ล่าสุด นส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสท. ได้แสดงความเห็นดังนี้




บทสรุปที่ถูกต้องในเรื่องนี้คืออะไร ??

ช่อง 3 มีสิทธิที่จะไม่นำช่อง 3 เดิมขึ้นทีวีดิจิตอล เพราะสัญญาสัมปทานต่อเนื่องแต่เดิม  คือ ระบบหนวดกุ้งที่มีมานานกว่า 40 ปีแล้ว และจะไปสิ้นสุดสัมปทานในปี 2563

แต่ช่อง 3 ก็ไม่มีสิทธิแอบอ้างคนดู 70 % ในส่วนทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีมาบังหน้า เหมือนอย่างที่สรยุทธพยายามจะแอบอ้างอีก

ก็เหมือนกับที่กิตติ สิงหาปัด ได้ทวิสเตอร์ไว้ คือ สัมปทานหนวดกุ้งของช่อง 3 หมดใน พ.ศ.2563 ถ้ารายการดีจริง คนเขาก็จะหาทางกดมาดูเอง (ไม่ต้องมาแอบอ้างคนดู 70%)




ส่วน กสทช. ก็ดำเนินตามระเบียบเดิม คือ โครงข่ายทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก ไม่สามารถนำสัญญาณทีวีอนาล็อกช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง ไทยพีบีเอส ไปออกอากาศได้อีก จะออกอากาศได้เฉพาะ “ทีวีดิจิตอล ” 36 ช่องที่ได้ใบอนุญาตใหม่เท่านั้น

หากช่องอะนาล็อกต้องการมาออกอากาศในระบบดิจิตอล ก็จะต้องขอใบอนุญาตจาก กสท. ใหม่ในการออกอากาศทีวีดิจิตอลเพื่อการออกอากาศแบบคู่ขนานทั้ง 2 ระบบ


คลิกอ่าน ยุคทีวีดิจิตอล ช่อง3 กับช่อง7 ใครเห็นแก่(ตัว)ส่วนรวมมากกว่ากัน


คลิกอ่าน ผลประโยชน์ค่าโฆษณามหาศาล ที่ช่อง 3 ดื้อแพ่งทีวีดิจิตอล