วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2560

นโยบายห่วยบัตรคนจน และ ประชานิยมต่างจากรัฐสวัสดิการอย่างไร







รัฐบาล คสช. เคยไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่อง โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดตันละหมื่นห้า

แต่สุดท้ายรัฐบาล คสช. กลับห่วยเสียเอง ด้วยการออกนโยบายประชานิยม บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า บัตรคนจน

โดยรัฐบาลจะจ่ายคูปองเงินสดผ่านบัตรคนจนสำหรับใช้ซื้อสินค้าในวงเงิน 200-300 บาททุกเดือน (ผมคงไม่ลงรายละเอียดตรงนี้)

แต่ที่เรียกว่า ห่วยสุด ๆ บัดซบจริงเลย ก็คือ การเริ่มแจกรางวัลเงิน 1 ล้านบาทสำหรับคนจนผู้โชคดีที่ใช้จ่ายผ่านบัตรคนจนทุกเดือน ๆ ละ 1 ราย 1 ล้านบาทเริ่มตั้งแต่ ธ.ค.60 จนถึง พ.ค.61 นี่แหละ

ซึ่งแต่เดิมรัฐจะแจกรางวัลสำหรับผู้ใช้บัตรเดบิตเท่านั้น เพื่อส่งเสริมให้คนใช้บัตรเดบิตมากขึ้น แต่ตอนนี้กลับเพิ่มรางวัลมาแจกให้คนจนที่ใช้บัตรคนจนอีกด้วย

ผมว่า ไอ้คนที่คิดแจกรางวัลสำหรับคนจนเนี่ย มันคงใช้หัวแม่เท้าคิดแหง ๆ เพราะนี่คือนโยบายที่ทำร้ายสังคมโดยรวมแท้ ๆ

คือ แทนที่รัฐบาลจะนำเงินรางวัลส่วนนี้ไปแจกให้แก่คนที่เขาเสียภาษีเงินได้ประจำปี เพื่อจูงใจและเป็นขวัญกำลังใจให้กับคนที่เขาทำงานหนักจนได้สิทธิและหน้าที่เสียภาษีให้ประเทศชาติทุกปี

หรืออาจนำเงินรางวัลไปแจกให้กับห้างร้านรายใหม่ ๆ ที่เขาเพิ่งเข้าระบบภาษีนิติบุคคลในปีนั้น ๆ  เพื่อให้ห้างร้านเขามีกำลังใจในการทำงานหาเงินเพื่อมาเสียภาษีให้ประเทศชาติ

แต่รัฐบาลเฮงซวยดันคิดเอาเงินรางวัลไปแจกให้คนที่ไม่เคยเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีซะฉิบ

แทนที่รัฐจะใช้นโยบายเงินรางวัลนี้เพื่อส่งเสริมคนที่เสียภาษีให้ประเทศชาติ แต่กลับเอาเงินรางวัลไปแจกให้คนที่เอาแต่รับของฟรีจากประเทศชาติแทน

การกระทำของรัฐบาล คสช. ผ่านนโยบายนี้ เป็นเสมือนนโยบายเอาเปรียบคนไทยที่เสียภาษีเงินได้ประจำปีชัด ๆ

อย่างผม เคยดูสกู๊ปข่าวช่อง 7 สีอันนึง ได้ไปสัมภาษณ์แม่ค้าคนนึง ว่าอยากเสนอแนะนำอะไรให้กับรัฐบาลในเรื่องบัตรคนจนบ้าง

แม่ค้ารายนี้ ตอบว่า "อยากให้รัฐเพิ่มเงินในคูปองอีกเป็น 500 - 700 บาทต่อเดือน จะได้มีเงินไปซื้อของได้เพิ่มขึ้น แค่เดือนละ 300 บาทมันน้อยไป "

ถถถ!!


-------------------

ถ้าตามหลักกฎของแรงดึงดูด

ใครที่มีบัตรคนจน ก็เสมือนคุณกำลังแช่งตัวเองให้ยากจนไปตลอดชาติ ถึงจะได้ของฟรีจากรัฐก็ตาม แต่คุณก็จะไม่มีวันร่ำรวยในชาตินี้ได้ง่าย ๆ หรอก ถ้ายังไม่เปลี่ยนวิธีคิดใหม่

เพราะถ้าบางคนเกิดร่ำรวยเกินกว่าข้อกำหนดของการได้รับสิทธิบัตรคนจนขึ้นมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวอาจกลัวถูกริบสิทธิบัตรคนจนคืน

ดังนั้น หลายคนก็ต้องพยายามยากจนต่อไป หรือแกล้งจนต่อไป นั่นก็เท่ากับเป็นแช่งตัวเองโดยอ้อม แถมยังต้องหลอกตัวเองว่าเป็นคนจน เท่ากับเป็นการทำบาปทำกรรมด้วยการเอาเปรียบประเทศชาติไปตลอดชาติ

ลองคิดดูง่าย ๆ นะ

ถามว่า คุณอยากมีเงินจ่ายภาษีเงินได้ ฯ ให้ประเทศชาติอย่างน้อย ๆ ปีละ 1 แสนบาท หรือคุณอยากจะได้สิทธิรับคูปองเดือนละ 300 บาทจากบัตรสวัสดิการคนจน ?

-----------------------

ข้อคิดดี ๆ จากวาทกรรมของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เคยกล่าวว่า "จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ"


ส่วนคนไทยน่ะเหรอ มักจะคิดเอาแต่ได้ ที่ว่า "จงอย่าถามว่าฉันจะให้อะไรแก่ประเทศชาติ แต่ควรถามว่า รัฐบาลไหนจะแจกของฟรีให้ฉันบ้าง"

----------------------

นโยบายประชานิยม ต่างจาก นโยบายรัฐสวัสดิการ อย่างไร

การเป็นรัฐบาลที่ดีจะต้องส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการไม่แบ่งแยกชนชั้นฐานะของผู้คน ว่า คนนี้คนจน คนนี้คนรวย

นโยบายของรัฐบาลที่ดี ก็ต้องช่วยให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายรัฐได้โดยเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกฐานะ ที่เรียกว่า รัฐสวัสดิการ ซึ่งจะจัดเก็บภาษีมากน้อยตามรายได้ของแต่ละบุคคลเพื่อมาสนับสนุนนโยบายรัฐสวัสดิการ

ไม่ใช่คิดสร้างนโยบายที่แบ่งแยกแบ่งชนชั้นของผู้คนในสังคม อย่างเช่น นโยบายนี้ใช้ได้เฉพาะคนจนเท่านั้น ส่วนคนรวยไม่มีสิทธิใช้นโยบายนี้

เพราะนโยบายที่สร้างความแตกแยก แบ่งชนชั้นของคนในสังคม จัดเป็นนโยบายประชานิยม เพราะเป็นการแจกให้เฉพาะกลุ่ม


แยกแยะนโยบายต่าง ๆ นโยบายไหนคือประชานิยม นโยบายไหนคือรัฐสวัสดิการ

1. เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ นโยบายนี้เริ่มต้นขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ จัดเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ เพราะทุกคนในประเทศไทยที่เป็นผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุที่ร่ำรวย หรือยากจน ก็มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพนี้โดยเท่าเทียมกัน ไม่เกิดการแบ่งแยกชนชั้น

แต่ถ้าผู้สูงอายุท่านใด รวยแล้ว อยากจะสละสิทธิรับเงินส่วนนี้จากรัฐ ก็สามารถสละสิทธินี้ได้ โดยต่อไปรัฐบาลจะมอบประกาศนียบัตรประกาศเกียรติคุณในความเสียสละของท่าน


2. นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือ "หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ" นโยบายนี้เริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จัดเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ เพราะคนไทยทุกคนที่ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลเช่น สิทธิข้าราชการ หรือสิทธิประกันสังคม ก็สามารถเข้าถึงสิทธิรักษาฟรีของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือเป็นคนรวย ทุกคนก็สามารถเข้าถึงสิทธิประกันสุขภาพแห่งชาตินี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่า คนรวยบางคนเขาอาจเลือกที่จะไม่ใช้สิทธินี้ก็ได้


3. นโยบายรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี เริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช จัดเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ เพราะไม่ว่าคนไทยคนใด จะยากดีมีจน ก็มีสิทธิใช้บริการรถไฟฟรี และรถเมล์ฟรี ได้โดยเท่าเทียมกัน

แต่รัฐบาลเผด็จการเฮงซวย ดันยุบนโยบายนี้เพื่อเปลี่ยนไปเป็นแจกคูปองขึ้นรถเมล์ฟรีและรถไฟฟรีในบัตรคนจนแทน เท่ากับเป็นเลือกให้เฉพาะกลุ่มให้ได้สิทธิใช้บริการนี้ฟรี ๆ จึงจัดเป็นนโยบายที่ไม่เท่าเทียมกัน ถือเป็นนโยบายประชานิยมที่แจกเฉพาะกลุ่มคนเท่านั้น


4. นโยบายโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดตันละหมื่นห้าพันบาท เป็นนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จัดเป็นนโยบายประชานิยม เพราะเลือกช่วยเฉพาะชาวนาเท่านั้น แถมใช้เงินหมดไปกับโครงการนี้ฤดูกาลละไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้าน

ด้วยการรับซื้อข้าวจากชาวนาในราคาแพงเกินความเป็นจริง จนข้าวไทยขายไม่ออกในตลาดโลก เพราะไม่มีใครเขาอยากจะซื้อ ทำให้รัฐบาลเกิดความเสียหายทางงบประมาณอย่างมาก

ทำให้ทุกวันนี้รัฐบาลยังต้องแบ่งงบประมาณในแต่ละปี เพื่อไปจ่ายหนี้จากโครงการรับจำนำข้าวปีละหลายหมื่นล้านบาท ให้แก่วงเงินกู้ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กู้มาจาก ธกส.


5. นโยบายค่าเล่าเรียนฟรี หนังสือเรียนฟรี เป็นนโยบายในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งให้โอกาสเด็กไทยทุกคนที่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนรัฐได้ มีสิทธินี้อย่างเท่าเทียมกัน จึงจัดเป็นนโยบายรัฐสวัสดิการ


6. นโยบายแจกเช็คช่วยชาติ 2 พันบาท เป็นนโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จัดเป็นนโยบายประชานิยม เพราะแจกเฉพาะกลุ่ม แต่ยังดีที่เป็นแค่นโยบายชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น (ซึ่งผมก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายประเภทนี้นัก)


7.  นโยบายบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย หรือบัตรคนจน เป็นนโยบายของรัฐบาล คสช. จัดเป็นนโยบายประชานิยมชัดเจน

เป็นนโยบายที่แบ่งแยกชนชั้นทางสังคมให้คนไทย ว่า นี่คือนโยบายเฉพาะคนจนที่ใช้บัตรนี้ได้เท่านั้น ส่วนคนรวยไม่มีสิทธิใช้บัตรนี้ และยังเป็นนโยบายที่ไม่มีกำหนดหมดอายุโครงการด้วย จึงเป็นการสร้างภาระทางงบประมาณของรัฐในระยะยาว

ถือเป็นนโยบายที่ส่งเสริมให้คนไทยคิดแต่เอาของฟรีจากประเทศชาติ ซึ่งเป็นการบ่มเพาะความเห็นแก่ตัวของประชาชนโดยอ้อม เพราะลองถ้ารัฐบาลไหนคิดจะยกเลิกโครงการนี้สิ เดี๋ยวมีออกมาโวยวายแน่ ๆ

--------------------

รัฐควรสนับสนุนรางวัลให้คนไทยที่เคารพกฎหมายซะยังดีเสียกว่า

แม้แต่การเคารพกฎหมายขั้นพื้นฐาน เช่น การเคารพกฎจราจรและเคารพวินัยการจราจร สถิติที่ของผู้ที่โดนจับบ่อยที่สุดในเรื่องกฎหมายจราจร ก็คือคนจนนี่แหละครับ

ถ้าจะบอกว่า ก็เพราะคนจนคือคนส่วนใหญ่ในประเทศนี่นา การถูกจับมากที่สุดก็ไม่เห็นจะแปลก

จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ครับ

แต่ถ้าเราลองคิดในมุมกลับอีกที ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง เช่น กฎหมายขั้นพื้นฐานง่าย ๆ อย่างกฎหมายจราจร

ถ้าคนจนหรือคนส่วนใหญ่ของประเทศยังเป็นประชากรที่ด้อยคุณภาพ ที่ยังไม่มีจิตสำนึกเรื่องการรักษาระเบียบวินัย ยังไม่ทำหน้าที่ประชากรที่ดี ยังทำผิดกฎหมายจราจร แล้วต้องไปเสียค่าปรับครั้งละ 200-1000 บาทเป็นอย่างต่ำ

สมควรแล้วหรือที่คนทำผิดกฎหมายจราจรเหล่านี้จะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มจากรัฐ ?

ที่จริงน่าจะกำหนดให้ คนที่มีบัตรคนจนที่ทำผิดกฎหมายจราจร ควรโดนตัดเงินคูปองในบัตรคนจนไปสัก 3 เดือนเป็นอย่างน้อย

ซึ่งถ้ารัฐบาลยังจะส่งเสริมคนจนที่ไม่รู้จักในหน้าที่ของพลเมืองดีเหล่านี้ ให้ได้สิทธิรับของฟรีมากขึ้น โดยที่ไม่เคยตระหนักถึงการทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดีแล้ว

มันก็จะคล้ายกรณี พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบตามใจ ทั้งที่ลูกยังไม่ทันจะตั้งใจเรียนให้ดี แต่พ่อแม่ก็รีบประเคนของเล่นให้ลูกไปก่อนแล้ว

ไม่มีประเทศที่เจริญแล้วที่ไหนหรอก ที่มีนโยบายส่งเสริมให้คนในประเทศอยากเอาเปรียบประเทศชาติกันแบบนี้หรอกครับ

อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เขาช่วยเหลือคนตกงาน คนจรจัด เขายังไม่ได้ให้กันง่าย ๆ ฟรี ๆ แบบประเคนของฟรีไปให้ถึงบ้านแบบรัฐบาลไทยเลยครับ

คงมีแต่ประเทศที่มีรัฐบาลเฮงซวยเท่านั้นแหละที่คิดออกนโยบายเยี่ยงนี้

หมายเหตุ แต่ทุกโครงการที่กล่าวมา ที่จริงไม่ควรให้ฟรี 100 % ควรให้ประชาชนช่วยออกค่าใช้จ่ายช่วยในรัฐสวัสดิการต่าง ๆ ด้วย โดยรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ แล้วให้ประชาชนเข้าถึงรัฐสวัสดิการได้ในราคาถูก แต่ต้องมีคุณภาพ

การให้ใช้สิทธิฟรีในบางอย่าง หากให้ฟรีมากเกินไป มันก็จะเข้าใกล้ความเป็นประชานิยม ซึ่งมันเป็นภาระและอันตรายต่อประเทศชาติในระยะยาว

---------------------

แทนที่รัฐบาลจะนำเงินส่วนนี้ไปปรับปรุงนโยบายรัฐสวัสดิการที่มีอยู่ให้ดีขึ้น กลับเอาเงินไปแจกให้ประชาชนได้ง่าย ๆ ฟรี ๆ โดยไม่ต้องทำงานแลกมา

เปรียบเสมือนรัฐบาลแจกปลาให้ประชาชนกินฟรี แต่กลับไม่สอนให้ประชาชนเลี้ยงปลาให้เป็น

แทนที่จะนำเงินส่วนนี้ไปจ้างงานให้ประชาชนที่เขาขยันทำงานพิเศษในภาครัฐเพิ่มขึัน ดันเอาเงินมาแจกฟรี ๆ ง่าย ๆ

บอกตรงครับ ที่ประเทศไทยไม่เจริญเท่าประเทศอื่น ๆ จนหลายประเทศเขาแซงหน้าประเทศไทยเราไปจนหมด ก็เพราะไทยเรามีรัฐบาลเฮงซวยชอบแจกประชานิยมจนประชาชนโง่ลง แล้วไม่รู้จักโตนี่แหละครับ

ตัวอย่างง่าย ๆ ประเทศมาเลเซียเขาเลิกอุดหนุนราคาพืชผลทางการเกษตรให้แก่เกษตรกรของเขามาเกือบ 20 ปีแล้วครับ 

แต่ประเทศไทยยังดักดานอุ้มราคาพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดอยู่เลย

สรุป รัฐบาล คสช. กำลังตอแหลว่า บัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย เป็นนโยบายรัฐสวีสดิการ ทั้งที่จริงมันคือ นโยบายประชานิยม !!

และผมขอเรียกบัตรนี้เสียใหม่ว่า บัตรส่งเสริมคนจน !!

----------------------

รางวัล 1 ล้านแรกของผู้ใช้บัตรคนจน



ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ ที่คุณป้าได้รางวัล 1 ล้านบาท

ว่าแต่ตอนนี้ป้าคงไม่ใช่คนจนแล้วสินะ

เพราะคนจนต้องมีเงินเก็บทุกรูปแบบไม่เกิน 1 แสนบาท ตามข้อกำหนดของการรับสิทธิบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย




วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงช่วยลาวให้พ้นคำสาปเวียงจันทน์







เมื่อ 2 วันก่อน ผมเพิ่งได้ฟังเรื่อง คำสาปเวียงจันทน์ ทางวิทยุfm 100.5 ในขณะที่ผมกำลังขับรถ โดยอาจารย์ท่านนึงซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศลาวของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้เล่า

ขอบอกไว้ก่อนว่า เป็นเพียงความเชื่อของคนลาวผู้เฒ่าผู้แก่ในอดีต ซึ่งคนลาวยุคใหม่หลายคนอาจไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้แล้วก็ได้

ผมขอเล่าที่มาที่ไป คำสาปเวียงจันทน์ โดยย่อนะครับ (หาอ่านเรื่องอย่างละเอียดนี้ได้ในเน็ต)

คือในสมัยโบราณเคยมีโขลงช้างป่านับแสนนับล้านตัว บุกเข้ามาทำลายทรัพย์สินเรือกสวนไร่นาในกรุงเวียงจันทน์ ก็ไม่มีใครสามารถขับไล่โขลงช้างป่าพวกนี้ออกจากกรุงได้

ทำให้พระเจ้ากรุงเวียงจันทน์จึงประกาศหาคนดีมีฝีมือมาปราบช้างป่าโขลงนี้

ก็ได้มี ท้าวศรีโคตรตะบอง บุรุษผู้มีความแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี (แข็งยิ่งกว่าชัชชาติ) ก็ได้อาสามาปราบช้างป่าทั้งโขลงนั้น จนไล่ช้างป่าออกจากกรุงเวียงจันทน์ได้สำเร็จ

ภายหลังต่อมา พระเจ้ากรุุงเวียงจันทน์ก็เกิดมีคนยุยงว่า ให้ระวังท้าวศรีโคตรตะบองผู้นี้ไว้ เพราะมันอาจคิดช่วงชิงราชบัลลังค์ของพระองค์ได้

พระเจ้ากรุงเวียงจันทน์เลยคิดวางอุบายหาทางฆ่าท้าวศรีโคตรตะบองเสีย เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม

จนในที่สุดท้าวศรีโคตรตะบองก็หลงกลลวงของพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์ จนถูกลอบทำร้าย

แต่ก่อนที่ท้าวศรีโคตรตะบองจะสิ้นใจตาย ก็เลยได้สาปแช่งแผ่นดินฝั่งโขงฝั่งนี้ว่า

"หากข้าเคยคิดคดชิงราชบัลลังค์จริง ก็ขอให้แผ่นดินนี้เจริญรุ่งเรือง แต่หากข้าไม่เคยคิดคดตามที่ถูกกล่าวหา ก็ขอให้แผ่นดินฝั่งโขงนี้จงฉิบหาย ทำมาหากินไม่ขึ้น ไม่มีวันเจริญสืบไป

แต่หากจะมีความเจริญบ้างก็มีแค่ช่วงเวลาช้างพับหูงูแลบลิ้นเท่านั้น และขอให้คำสาปนี้ดำรงอยู่ไปจนกว่า หินฟู(หินลอยน้ำ) งูใหญ่ พญาช้างเผือก จะปรากฎขึ้นบนแผ่นดินนี้แล้วเท่านั้น"

----------------

คำสาปเวียงจันทน์ ก็ดำรงสืบมาหลายร้อยปี แผ่นดินลาวก็ตกต่ำเรื่อยมา อาณาจักรล้านช้างก็เกิดความแตกแยก จนต่อมาต้องตกเป็นเมืองขึ้นของสยามบ้าง ของญวณบ้าง ของพม่าบ้าง

สุดท้ายลาวก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส และในที่สุดระบอบกษัตริย์ของลาวก็ล่มสลายลง เพราะภัยคอมมิวนิสต์เข้ายึดครอง

แม้ต่อมาประเทศลาวจะมีการพัฒนาบ้าง แต่ก็เจออุปสรรคปัญหามากมาย จนไม่เจริญเท่าที่ควร จนกลายเป็นประเทศล้าหลังสุด ๆ แห่งหนึ่งของโลก

จนกระทั่งรัฐบาลออสเตรเลียได้ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่รัฐบาลไทยและรัฐบาลลาว เพื่อสร้างสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งแรกขึ้นที่จังหวัดหนองคาย

ซึ่งสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งนี้ ก็จะมีรางรถไฟอยู่บนสะพานอีกด้วย ซึ่งถือเป็นทางรถไฟสายแรกของประเทศลาว

ซึ่งสะพานมิตรภาพไทยลาว ได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย ได้เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมเปิดสะพาน กับ นายหนูฮัก พูมสะหวัน ประธานประเทศลาว




ซึ่งหลังจากเปิดสะพานมิตรภาพไทยลาวแล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จพระราชดำเนินข้ามไปเยือนประเทศลาวอีกด้วย ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปีของพระองค์ตามคลิปข่าวนี้



ว่ากันว่า ในตอนเริ่มแรกในหลวงยังทรงไม่ตัดสินพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จฯ ข้ามฝั่งโขงหรือไม่ เพราะทรงเคยตั้งพระราชปณิธานว่า จะไม่ละทิ้งแผ่นดินไทยและคนไทยเพื่อเสด็จฯ ไปเยือนต่างประเทศอีกอยู่นานแล้ว

แต่ทางประธานประเทศลาวและรัฐบาลลาวได้พยายามส่งหนังสือกราบทูลเชิญ(ร้องขอ)อย่างเต็มที่เพื่อให้ในหลวงเสด็จฯ เยือนลาวอย่างเป็นทางการให้ได้

-----------------------

ในหลวงทรงช่วยลาวพ้นคำสาปเวียงจันทน์

คือคนลาวมีความเชื่อเรื่องคำสาปเวียงจันทน์นี้มานาน และจะพ้นคำสาปนี้ได้ต้องปรากฏเหตุ 3 สิ่งเกิดขึ้น นั่นคือ หินฟู งูใหญ่ พญาช้างเผือก

ซึ่ง หินฟู(น้ำ) คนลาวเขาตีความว่า คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งเสมือนหินที่ลอยพ้นอยู่กลางลำน้ำโขง

พญาช้างเผือก คนลาวเขาตีความได้ว่า  คือ  พระมหากษัตริย์ไทยที่มาเยือนลาว เพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้ ผู้ซึ่งทรงครอบครองช้างเผือกมากที่สุดในโลกมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของไทย ซึ่งทรงเปรียบเสมือนเป็น เจ้าพระยาช้างเผือก 


ประธานประเทศลาวมอบช้างไม้แกะสลักให้ในหลวง


ส่วน งูใหญ่ คนลาวก็ตีความได้ว่า คือ ขบวนรถไฟมิตรภาพไทยลาว ซึ่งช่วงที่ในหลวงเสด็จฯ เส้นทางรถไฟสายนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่

ซึ่งต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ก็ได้เสด็จฯ ไปเปิดขบวนรถไฟแห่งแรกของลาวนี้ด้วย ในวันที่ 5 มีนาคม 2552 จึงเชื่อกันว่าได้ทำให้ สปป.ลาว จึงพ้นคำสาปเวียงจันทน์ได้โดยสมบูรณ์




รูปรถไฟข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว โดย http://peter-thomson.com


---------------

ความสัมพันธ์ ไทย - ลาว ดีขึ้นตามลำดับ

นับตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิลพอดุลยเดช ฯ ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ไม่มีโอกาสเสด็จฯ เยือนประเทศลาวเลยในช่วงที่ยังทรงเสด็จฯ เยือนเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนานาอารยประเทศ

เพราะช่วงนั้นประเทศลาวมีปัญหาภายในอย่างมาก จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ไทย-ลาว เองก็เหมือนมีเรื่องบาดหมางระหองระแหงกันมาตลอด เหตุเพราะระบอบการปกครองที่แตกต่างกัน หรืออย่างล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2531 ได้เกิดสมรภูมิบ้านร่มเกล้า ที่ไทยต้องมีปัญหาพิพาทชายแดนกับลาวค่อนข้างรุนแรง

แต่เมื่อมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเกิดขึ้น จากที่ในหลวง ร.9 ไม่เสด็จฯ ออกนอกราชอาณาจักรไทยเลยมานานถึง 27 ปี ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยือน สปป.ลาว เป็นประเทศสุดท้ายในรัชสมัยของพระองค์

การเสด็จฯ เยือนประเทศลาวในครั้งนี้นี่เอง ที่ทำให้ประชาชนลาวรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ ดีอกดีใจเป็นที่สุด และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์มิตรภาพไทย-ลาวก็ดีขึ้นตามลำดับ

คลิป ในหลวงเสด็จฯ เยือนลาววันที่ 2 และในพิธีบายศรีสู่ขวัญ



ผมดีใจที่สุดที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 ครับ

คลิกอ่าน เหตุผลที่ในหลวง ร.9 ไม่เสด็จฯ เยือนต่างประเทศอีก





วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560

สังคมประชาธิปไตยแบบร่าน ของ ปิยบุตร แสงกนกกุล






คือเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา ได้มีกรณีอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ 1 ในนิติราษฎร์คนนึง (นิติร่าน) นามว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้เคยเสนอว่า ห้ามกษัตริย์มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะโดยตรง เขาได้บ่นเรื่องเมียของตัวเองติดอยู่ที่สนามบินนานหลายชั่วโมงลงบนเฟสบุ๊คจนเป็นข่าวดัง

ซึ่งต่อมาทั้งรัฐบาล ทั้งท่านนายกฯ ลุงตู่ ทั้งการท่าอากาศยาน ทั้ง ตม. ก็เร่งรีบหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวทันที โดยที่ไม่สนใจว่า คนที่โวยวายเรื่องจะเป็นพวกต่อต้านรัฐบาล คสช. หรือไม่

เพราะถ้าบ้านเมืองมีปัญหาจริง ก็ต้องรีบแก้ไข

ทีนี้ผมก็เลยแกล้งแซะอาจารย์คนดังกล่าวในเพจของผมว่า #เมียพวกล้มเจ้าผ่านตรวจคนเข้าเมืองช้าก็สมควรแล้ว ตามรูปนี้





พอ ปิยบุตร โดนผมแซะว่าเป็นพวกล้มเจ้าแค่นี้ ก็อดรนทนไม่ได้ ร้อนจนต้องมาแสดงความเห็นกึ่งขู่ผมนิด ๆ ตามรูปนี้ 555




ที่โพสนั้น ผมเลยสวนกลับไปว่า โดนผมแซะแค่นี้คุณยังทนไม่ได้ แล้วทีคุณแสดงความเห็นถึงบุคคลที่คนไทยเคารพรักอย่างไม่เกรงใจล่ะ

#ทีตัวเองขู่คนอื่นเรื่องหมิ่นประมาทได้
#แต่พรรคพวกตัวเองอยากหมิ่นเจ้าอยากล้มม112 
#ถุยส์

พอผมสวนไปแบบนั้น เหอะ ๆ เงียบไปเลย ไม่กล้าโผล่มาที่เพจนั้นของผมอีก

นี่เห็นว่า เขาก็ไปแซะ อ.เจษฎา เรื่อง โฆษณาซอส ถึงขั้นด่าหยาบคาย

#เขาจะรีวิวซอสให้ใครมันสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลไม่ใช่เหรอ
#ไหนชอบอ้างสังคมประชาธิปไตยนักหนา

--------------------

ปิยบุตร ไม่พอใจอย่างหนักที่ อ.เจษฎา รีวิวซอส

เมื่ออาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้รีวิวซอสยี่ห้อหนึ่งบนเฟสบุ๊คของตัวเองด้วยเฟสไลฟ์




ก็พลันมีนักแอบอ้างประชาธิปไตยคนดัง นามว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล ออกอาละวาดด้วยถ้อยคำหยาบคาย แสดงความเห็นไม่เห็นด้วยกับการที่อาจารย์เจษฎา รีวิวซอส ตามรูปนี้





นี่หรือครับ ผู้ที่บอกว่าตัวเองคือผู้ที่ อดทนกับความเห็นต่างให้มากที่สุด ในฐานะที่ความอดทนอดกลั้นเป็นปัจจัยสำคัญของสังคมประชาธิปไตย เหอะ ๆ ถุยส์ !!

แค่คนเขากินซอสและเขามารีวิวรสชาติให้คนอื่นได้ดูได้รู้แค่เนี้ย

อาจารย์ปิยบุตร แห่งนิติร่าน ถึงกับต้องใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าทออย่างไร้มารยาทสุด ๆ เลยนะ

ต่อมา อาจารย์เจษฎา เลยโพสตอบโต้กลับบ้างว่า นี่คือโพสดัก (ควาย) ตามนี้





ต่อมา ปิยบุตร ก็เขียนโต้ อ.เจษฎา คืนบนเฟสตัวเองเป็นโพสสุดท้ายตามนี้




---------------

สรุปท้ายบทความ

คุณผู้อ่านเห็นพฤติกรรมชอบแอบอ้างประชาธิปไตย ชอบแอบอ้างสิทธิเสรีภาพของพวกร่าน รึยังครับ

ผมอยากจะฝากบอกคุณปิยบุตร ว่า ถ้าคุณกล้าประกาศว่า คุณไม่เคยคิดในใจว่า อยากให้ประเทศนี้ไม่มีเจ้าอีกต่อไป หรือไม่เคยคิดอยากให้ประเทศนี้เปลี่ยนแปลงเป็นระบบสาธารณรัฐ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข 

ถ้าคุณกล้าประกาศว่าตามนั้น และประกาศว่า คุณไม่ใช่พวกล้มเจ้า

ผมพร้อมจะขอโทษคุณบนเฟสบุ๊คทันที และจะบอกว่า คุณไม่ใช่พวกล้มเจ้าจริง ๆ นะ เชื่อพ้ม

แต่คุณคงเป็นพวกเดียวกับหงอกเจียม กับ อีปวิน แหง ๆ ใช่ไหม 5555

คลิกอ่าน อย่าเปรียบเทียบ เนติวิทย์ vs ฌอน บูรณะหิรัญ





วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เฉลย กระทะ Korea King ผลิตที่ไหน







สำหรับผม ใหม่เมืองเอก เคยมีความสนใจอยากจะซื้อกระทะ Korea King เมื่อหลายเดือนก่อนเช่นกัน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ที่โฆษณาว่ากระทะโคเรียคิงราคาปกติใบละ 15,000 บาทนั้น มันเป็นจริงขนาดไหน

เมื่อสัก 5-6 เดือนก่อน ผมก็เลยลองหาราคาขายกระทะยี่ห้อนี้ในเว็บ Alibaba หาดูรุ่นที่ดูใกล้เคียงกับที่ขายในเมืองไทยรุ่นแรก คือ รุ่น Gold Serie

อาจเพราะกระทะรุ่นที่ขายในไทย อาจเป็นรุ่นเฉพาะที่ผลิตเจาะจงนำมาขายในไทยหรือในบางประเทศเท่านั้น จึงไม่สามารถหารุ่นที่ขายในอาลีบาบาตรงกับรุ่นที่ขายในไทยได้

ซึ่งในเว็บอาลีบาบา บางรุ่นก็ไม่ได้บอกชื่อรุ่นไว้ชัดเจน ผมเลยต้องหารูปกระทะที่ดูจะใกล้เคียงกับที่ขายในไทย ก็เช่น 2 รุ่นนี้



รูปแรก รุ่นนี้ขายส่งในราคาใบละตั้งแต่ 4-6 ยูเอสดอลล่าห์ หรือประมาณใบละ 136-204 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณการสั่งซื้อ) โดยต้องสั่งซื้อย่างน้อย 1,200 ใบ



ส่วนรูป 2 รุ่นนี้ ขายส่งที่ใบละ 4-8 ยูเอสดอลล่าห์ หรือประมาณใบละ 136- 272 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณสั่งซื้อ)

---------------------

แต่รุ่นที่เป็นหินสีดำ คล้ายกับที่คล้ายกับรุ่น Gold Series มาก จะขายส่งที่ใบละ 10-25 ดอลล่าห์ยูเอส หรือประมาณ 340-850 บาท โดยต้องสั่งซื้ออย่างน้อย 1,200 ชิ้น ถ้าซื้อมาก ก็จะได้ราคาต่ำสุดคือใบละ 340 บาท เป็นต้น



คือผมจำได้ว่า รุ่นนี้เมื่อหลายเดือนก่อนจะราคาถูกกว่านี้  น่าจะเริ่มที่ราคา 4 เหรียญยูเอสเท่านั้น

ซึ่งกระทะโคเรียคิง ทุกรุ่นที่มีขายในเว็บอาลีบาบา ล้วนแต่ผลิตในประเทศจีนทั้งสิ้น แต่ก็มาจากหลายโรงงาน ทั้งโรงงานในเซี่ยงไฮ้ และโรงงานในมณฑลกวางตุ้ง เป็นต้น

เช่นในคลิปต่อไปนี้ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระทะโคเรียคิง ในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นโรงงานประเภท oem&odm




ข้อมูลพวกกระทะโคเรียคิงหลายรุ่นหลายแบบ สามารถไปหาได้ที่เว็บอาลีบาบาครับ เขาจะมีบอกโรงงานผู้ผลิตในแต่ละรุ่นว่าเป็นของโรงงานไหน อยู่เมืองไหน

โดยกระทะจะมีราคาเริ่มต้นที่ใบละ 2 เหรียญยูเอส เช่น ในรุ่น DIAMOND ตามรูปนี้


(ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและปริมาณการสั่งซื้อ)

----------------

สรุปข้อสันนิษฐานของผม

เมื่อหลายวันก่อนผมลองหาเว็บ Korea King Pan ของเกาหลีใต้ ก็จะไปเจอเว็บที่มีรูปให้ดูหลายรุ่น แต่ไม่มีราคาขายบอกไว้ที่หน้าเว็บ ต้องส่งข้อมูลอีเมล์ของผู้สนใจไปถามบริษัทโดยตรง

แต่ล่าสุดเว็บโรงงานที่ผลิตกระทะโคเรียคิง ทั้งหลายทุกโรงงาน ทั้งที่เป็นเว็บของเกาหลีใต้ เว็บโรงงานที่กวางตุ้ง หรือเว็บโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ กลับเข้าเยี่ยมชมเว็บไม่ได้สักเว็บ แต่มันจะเป็น ๆ หาย ๆ แบบนี้บ่อยมาก ซึ่งน่าแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะมันเริ่มเป็นแบบนี้ในช่วงที่มีข่าวดังที่ประเทศไทยนี่แหละ

สรุปข้อสันนิษฐานเบื้องต้นคือ โรงงานที่ผลิตกระทะโคเรียคิง มีผลิตในประเทศจีนในหลายเมือง

ส่วนที่ว่ากระทะผลิตในเกาหลีใต้นั้น ผมยังหาข้อมูลโรงงานผลิตในเกาหลีใต้ไม่เจอ เพราะเจอแต่เว็บหน้าร้านเพื่อขายสินค้าของบริษัทโคเรียคิงเกาหลีใต้เท่านั้น

ผมจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า จะเป็นไปได้ไหมที่ว่า บริษัทแม่ของโคเรียคิงของเกาหลีใต้เอง ก็อาจจะจ้างโรงงานในประเทศจีนผลิตเช่นกัน ?

แต่ที่แน่ ๆ คนไทยที่ไปเที่ยวเกาหลีใต้ กะจะซื้อกระทะยี่ห้อนี้กลับมาด้วย แต่กลับต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน เพราะกระทะยี่ห้อนี้กลับไม่มีขายในเกาหลีใต้ เพราะเท่าที่ทราบกระทะยี่ห้อนี้ ผลิตเพื่อขายในต่างประเทศเท่านั้น (ซึ่งอาจจ้างโรงงานในจีนผลิตให้)


--------------------

คนไทยบางคนแยกแยะประเด็นกระทะโคเรียคิงไม่เป็น

ผลตรวจสอบกระทะเบื้องต้นโดย สคบ. พบว่าผิวกระทะทำจากพลาสติกโพลิเมอร์ชนิดที่สารเคลือบคล้ายกับสารเทฟรอน แต่ลงสีให้ดูเหมือนหินอ่อน

แล้วกระทะโคเรียคิงที่วางขายในไทยนั้น กลับไม่มีส่วนประกอบของหินอ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แถมไม่ได้เคลือบหนา 8 ขั้นตามที่ได้โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณส่วนประกอบเอาไว้อีกด้วย

โดยพวกที่แยกแยะประเด็นไม่เป็นจะอ้างว่า "ก็เหมือนซื้อกระเป๋าหลุยส์ ดื่มกาแฟสตาร์บัค ที่มีราคาแพงนั่นแหละ เพราะมันขึ้นอยู่กับความพอใจของคนซื้อ ถ้าราคาแพงคุณภาพดี เขาก็ยินดีที่จะซื้อ"


ป้ายติดที่กล่องกระทะโคเรียคิง ระบุราคา 15,000 บาท ผลิตโดยเกาหลี แปลว่า ไม่ได้ผลิตในเกาหลี คงหมายถึงควบคุมคุณภาพตามที่เกาหลีสั่งทำ


แล้วจริง ๆ ประเด็นที่ถูกต้องคืออะไร ?

1. ประเด็นคือ การโฆษณาราคาขายปกติที่สูงเกินจริง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยขายในราคาปกตินี้มาก่อนเลย ซึ่งถ้าในยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือในประเทศที่คนส่วนใหญ่ฉลาดแล้ว เช่นสิงคโปร์ การโฆษณาราคาขายปกติปลอม ๆ ที่ไม่เคยขายจริงแบบนี้จะไม่สามารถทำได้

2. โฆษณาส่วนประกอบกระทะไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่นเคลือบหินอ่อน 8 ชั้น แต่กลับไม่มีส่วนประกอบของหินอ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วที่ว่าเคลือบถึง 8 ชั้น ก็เคลือบอะไรก็ยังไม่ชัดเจนแค่ไม่กี่ชั้นเท่านั้น

ส่วนเรื่องกระทะจะขายราคาถูกหรือจะขายราคาแพงเว่อร์เท่าไหร่ก็ได้มันไม่ใช่ปัญหา

แต่ที่เป็นปัญหาคือ มันโฆษณาอวดอ้างเกินจริงว่ะ

#คนไทยตกเป็นเหยื่อราคาหลอกแบบนี้มานานแล้วนะซาร่า
#จริงค่ะจอร์ช



วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

จากสี่แยกวังหินถึงนั่งท้ายรถกระบะ ดัชนี้ชี้วัดวินัยคนไทย






การที่ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มีปัญหาน้อย มันต้องเริ่มที่ประชาชนต้องรู้จักเคารพระเบียบวินัยและกติกาสังคมให้ได้ก่อน

ประเทศไทยเรามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่เวียดนามมีมอเตอร์ไซต์มากกว่าไทย 3 เท่า แต่เขากลับมีอุบัติเหตุน้อยกว่าบ้านเรา

ประเทศไทยมีผู้ตายเพราะเมาแล้วขับมากที่สุดในโลก นี่คือ สิ่งที่ชี้ชัดว่า บ้านเรามีความหละหลวมในเรื่องการรักษาวินัยจราจรเป็นอย่างมาก

วินัยจราจร ถือเป็นวินัยขั้นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่ทุกคนในสังคมต้องใช้ร่วมกันทุกวัน ตั้งแต่ย่างเท้าก้าวออกจากบ้านแล้ว

ซึ่งวินัยจราจร เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของคนในประเทศนั้น ๆ ได้เลยว่า มีคุณภาพต่ำหรือสูงอย่างไร 

แล้วคนไทยก็มีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น ใครบีบแตรรถใส่ ถือว่า เป็นการด่า ซึ่งอาจมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งไปจนถึงยิงกันตายก็เป็นได้ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ เขาไม่ถือสาเรื่องการบีบแตรรถเพื่อเตือนกันเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุ

ผมเองก็เช่นกัน ขับรถมาหลายปี ปี ๆ นึงแทบนึกไม่ออกว่าเคยบีบแตรรถบ้างไหม จำไม่ได้จริง ๆ

------------------

คุณรู้จักสี่แยกไฟแเดงแยกวังหินกันไหม ?

ถ้าไม่รู้จักไม่เป็นไร ผมจะอธิบายสั้น ๆ ว่า คือสี่แยกเล็ก ๆ ในซอยเสนานิคมตัดกับถนนลาดปลาเค้าและถนนวังหิน

แม้สี่แยกวังหินจะเป็นสี่แยกเล็ก ๆ แต่ผู้คนก็มาก จราจรก็ติดขัดพอควร

แม้จะเป็นแค่สี่แยกเล็ก ๆ แต่มีป้อมตำรวจตรงสี่แยกพอดี


ขอบคุณรูปจากคุณปังคุง รีวิวอาหาร

แม้สี่แยกวังหินจะเป็นสี่แยกเล็ก ๆ แต่ก็มีสะพานลอยแบบจตุรทิศ หมายถึง คุณขึ้นสะพานลอยตรงฝั่งไหนก็สามารถไปลงได้ทุกฝั่งถนน

แต่ !! ถึงจะมีสะพานลอยเจ๋งขนาดนี้ แถมมีป้อมตำรวจติดแอร์ตรงใต้สะพานลอยด้วย แต่ผู้คนแถวนี้ส่วนใหญ่แม่งไม่ข้ามสะพานลอยกันหรอก แม่งข้ามตัดหน้ารถกันตรงใต้สะพานลอยกันถ้วนหน้านั่นแหละ

ผมผ่านแยกวังหินบ่อยมาก ก็เห็นคาตาบ่อย ๆ ว่า ตำรวจก็นั่งมองคนข้ามถนนใต้สะพานลอยกันอย่างสบายใจไทยแลนด์

แม้แต่เด็กนักเรียนที่ขาแข้งดี เหนื่อยก็น้อยกว่าผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่แม่งก็ไม่ข้ามสะพานลอยเช่นกัน

ประเทศไทยไม่มีวันเจริญจริง ๆ ได้หรอก คงเจริญได้แต่เปลือก แล้วอย่าสะเออะอยากจะเจริญแบบญี่ปุ่นล่ะ ถ้าพวกมึงรวมทั้งกูไม่เคารพวินัยจราจรให้ได้เท่าคนญี่ปุ่น (ที่นั่นถ้าไม่มีที่สำหรับจอดรถส่วนตัวก็ห้ามซื้อรถ)

เพราะคนญี่ปุ่นน่ะ เขาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมก่อนประโยชน์ของตัวเองเสมอ ในขณะที่คนไทยจำนวนมากต่างกันโดยสิ้นเชิง

--------------------

เราคนไทยเน้นเอาสะดวกสบายมากกว่าเน้นความปลอดภัยในทุก ๆ เรื่อง  อย่างที่เป็นปัญหาดราม่าในตอนนี้ก็เพราะเอาสะดวก เอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก โดยที่คนอื่นจะมาเดือดร้อนด้วยหรือไม่ กูไม่สน

เช่น ปัญหานั่งท้ายรถกระบะที่ไม่มีหลังคา คือ มันค่อนข้างอันตรายมาก หากเกิดอุบัติเหตุแล้วมีคนนั่งท้ายกระบะ มีโอกาสเทกระจาดบาดเจ็บล้มตายค่อนข้างสูง

แต่คนไทยก็จะอ้างจน อ้างเพื่อความสะดวก อ้างโน่นอ้างนี่ ทั้งหมดก็เพื่อจะไม่ทำตามกฎหมายทั้งสิ้น

ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ แล้ว กฎหมายไม่ได้ห้ามคนนั่งท้ายรถกระบะ เพียงแต่ถ้าจะใช้รถกระบะขนคนเป็นประจำก็ควรต้องไปทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย คือ ไปติดตั้งหลังคาและที่นั่งถาวร แล้วไปจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกโดยสารเกิน 7 ที่นั่ง ซึ่งจะเป็นป้ายทะเบียนสีขาวตัวหนังสือสีฟ้า ซึ่งภาษีจะถูกกว่าภาษีรถโดยสารส่วนบุคคล

อย่างที่ผมเห็นเป็นประจำ รถขนคนงานก่อสร้าง ซึ่งต้องขนคนงานทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็น แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมไปติดหลังคาและติดที่นั่งเพื่อความปลอดภัยให้คนงานกัน

อย่างผมเห็นรถกระบะ 4 ประตูเท่ ๆ หลายคันที่ใช้ขนคนงานทุกวัน ทั้งเช้าทั้งเย็น แต่ก็ไม่ยอมไปติดหลังคากับที่นั่งให้คนงาน ปล่อยให้คนงานต้องนั่งตากแดดตากฝนตลอดการเดินทาง เหตุเพราะถ้าเจ้าของรถไปติดหลังคาแล้วรถมันไม่สวย รถมันไม่เท่เวลาไม่ขนคน แต่กลับยอมจ่ายภาษีรถยนต์ส่วนบุคคลในราคาแพงกว่ารถโดยสารเกิน 7 ที่นั่งเสียอีก

ล่าสุด เห็นมีครูคนนึงอ้างใช้รถกระบะไปส่งเด็กนักเรียนไปแข่งกีฬา คือก็อ้างเอาแต่ประโยชน์อย่างเดียว แล้วหากเกิดอุบัติเหตุเทกระจาดขึ้นมา เด็กต้องมาบาดเจ็บล้มตายหนักกว่าที่ควรจะเป็น ครูไม่คิดบ้างเหรอ ?




พอกฎหมายเขาห้ามคนนั่งรถกระบะ ก็อ้างจน ไม่มีเงินซื้อรถตู้ อ้างไปโน่น ทั้ง ๆ ที่ ถ้าจะขนคนเป็นประจำก็แค่ไปติดหลังคาและที่นั่งเพิ่ม แบบรถสองแถวน่ะ แต่ไม่ยอมทำกัน

แน่นอน มันไม่มีอะไรปลอดภัย 100 % หรอก แต่กฎหมายเขามีเพื่อหวังลดความรุนแรงของอุบัติเหตุจากหนักให้กลายเป็นเบา

ที่จริงกฎหมายเรื่องการขนส่งของบ้านเรามันอีหลักอีเหลื่อมานานแล้ว อย่างรถตุ๊ก ๆ ก็ไม่มีเข็มขัดนิรภัย ต่อไปต้องติดเข็มชัดนิรภัยไหมหรือรถสองแถวจริง ๆ มันก็ไม่ปลอดภัยนัก แต่มันก็ปลอดภัยกว่ารถกระบะที่ไม่มีหลังคาเลย เพราะนั่นมันเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุแบบเทกระจาดได้มาก ซึ่งอันตรายมาก ๆ

ส่วนรถกระบะที่เน้นการใช้งานบรรทุกของเป็นประจำ ที่ไม่ได้ติดตั้งหลังคาและที่นั่ง แต่หากมีความจำเป็นต้องบรรทุกคนบ้างเป็นครั้งคราว ก็สามารถไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการชั่วคราวในการขนส่งได้เป็นครั้ง ๆ ไป มันสามารถทำได้ครับ ตามมาตรา 19 พ.ร.บ. จราจรทางบก มาตรา 2522



มาตรา 19 ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องบรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของนอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อเจ้าของรถร้องขอเจ้าพนักงานจราจรจะผ่อนผันโดยอนุญาตเป็นหนังสือเป็นการชั่วคราวเฉพาะรายก็ได้


แล้วที่ชอบอ้างกันนักคือ "ฉันจน" ไม่สามารถซื้อรถได้หลายคัน เพื่อใช้งานถูกต้องตามวัตถุประสงค์ทุกอย่างได้

เอ่อ.. คือ คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เขาก็ไม่มีเงินซื้อรถใช้ได้ทุกวัตถุประสงค์กันหรอกครับ คนขับรถเก๋งเขาก็ไม่มีรถไปใช้ขนของแบบรถกระบะ หากเขาจะต้องขนของบ้างเป็นครั้งคราวเขาก็ต้องจ้างรถกระบะมาขนครับ

กฎหมายเขามีไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกันทุกคน จะให้มาถูกใจคนทุกคนไม่ได้หรอกครับ รถก็ต้องใช้งานให้ถูกประเภท

แค่ทำตามกฎหมายก็จบ ถ้าไม่มีรถเหมาะสมแก่การใช้งานอะไร ก็ต้องจ้างรถคันอื่นไปใช้งานแทนเป็นการชั่วคราวครับ

คนที่ชอบอ้างว่าจน แต่ยังมีรถกระบะส่วนตัวใช้ ผมว่า คนที่เขาไม่มีรถส่วนตัวใช้เลยล่ะ ? เขาจะเดินทาง เขาจะขนของ เขามิน่าสงสารกว่าเหรอครับ

หยุดวาทกรรมอ้างยากจนบนความเห็นแก่ตัวเพื่อละเมิดกฎหมายสักทีเถอะ

แต่เชื่อว่า รัฐบาล คสช. คงต้องกลับมาทบทวนปัญหาเรื่องรถกระบะอีกหลายเรื่องเลย ที่มันมีข้อกฎหมายอิหลักอิเหลื่อหลายเรื่อง และมีหลายข้อดูมันขัดแย้งและไม่ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน

-------------------

สรุป 

ตราบใดที่คนไทยยังตายเพราะอุบัติเหตุมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก ตายเพราะเมาแล้วขับมากที่สุดในโลก ตราบนั้นมันกระทบไปถึงระบบการรักษาพยาบาลของคนทั้งประเทศด้วย เชื่อไหม ?

เมื่อมีคนประสบอุบัติเหตุมาก งบประมาณของรัฐก็ต้องสูญเสียในเรื่องนี้มากจนเกินไป จนทำให้การบริการด้านสาธารณสุขเพื่อคนที่เขาเจ็บป่วยจริง ๆ ต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแน่นอน

หมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐวัน ๆ นึงต้องรับภาระดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเยอะมาก ๆ ทำให้งานของหมอก็ล้นมือ แต่รายได้หมอกลับน้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชนมาก ก็เลยทำให้เกิดการสมองไหลในอาชีพหมอมากขึ้น ซึ่งมันเป็นผลกระทบต่อผู้ป่วยทุกคนในประเทศไทยไปหมด

ฉะนั้น คนที่ชอบอ้างว่า ชีวิตฉัน ฉันขอเสี่ยงเอง ฉันจะนั่งท้ายรถกระบะ อะไรทำนองนี้ มันไม่ได้เดือดร้อนแค่คุณคนเดียวหรอกครับ มันกระทบไปหมดทุกคนนั่นแหละ

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่รอการผ่าตัด กว่าจะถึงคิวผ่าตัดต้องรอนานเป็นเดือน แต่พอมีอุบัติเหตุจากรถยนต์ต้องผ่าตัดฉุกเฉินเข้ามา ก็เลยทำให้ผู้ป่วยที่รอการผ่าตัดอยู่ก่อน อาจโดนแพทย์สั่งเลื่อนการผ่าตัดออกไปก่อน เพื่อเปิดทางให้พวกเคสฉุกเฉินจากอุบัติเหตุได้ผ่าตัดก่อน

ฉะนั้นแน่จริงต่อไป ถ้าใครกระทำผิดกฎหมายแล้วเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บขึ้นมา สิทธิประกันสังคม สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรคจะไม่รักษาให้เอาไหมล่ะ (ประชด??)

คือ รัฐบาลจะไปทำอย่างนั้นก็คงไม่ได้ แต่ที่รัฐบาลเขาทำได้คือ การบังคับใช้กฎหมายจราจรให้จริงจังเพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุที่อาจเกิดได้กับทุกคน

"หัดเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประเทศชาติกันบ้างเถอะครับ อย่าเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว จนไม่ยอมเสียสละอะไรบ้างเลยด้วยชอบอ้างความยากจน อย่าคิดแต่ทำอะไรตามใจคือไทยแท้กันอีกเลยครับ"

อ้อ ถ้าขนคนบนกระบะท้ายแค่ในป่า ในไร่ ในสวน แบบนี้ไม่ผิดกฎหมายนะครับ

คลิกอ่าน ทำไมคนไทยยังไม่รวย ??


อ้าว ๆ คุณตำรวจไหงนั่งบนขอบกระบะแบบนั้นล่ะ อิอิ




วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การตีความกฎหมายวันชาติไทยแบบผิด ๆ ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล







ผมดีใจมากที่ในหลวง รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระบรมราชโองการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันชาติไทย (ซึ่งผมนึกอยากให้กำหนดแบบนี้มานานแล้ว) แทนกฎหมายเก่าสมัยจอมพลสฤษดิ์ ที่กำหนดแค่ให้วันชาติไทยตรงกับวันเฉลิมพระชนม์ของพระมหากษัตริย์ไทย(พระองค์ปัจจุบัน) เท่านั้น ซึ่งตามแบบอย่างประเทศอังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
หมายถึง พอผลัดแผ่นดินเปลี่ยนรัชกาลใหม่ทุกครั้ง วันชาติไทยก็จะเปลี่ยนเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลใหม่แทนทุกครั้งไป

แต่รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระบรมราชโองการใหม่คือ ให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันชาติไทยไปตลอด โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับสนองพระราชโองการนี้



อธิบายแบบนี้พอเข้าใจไหมครับ อย่าไปหลงเชื่อนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อธิบายแล้วกัน เพราะนายหงอกเจียม มั่วกฎหมายประจำไปตามอคติของตัวเอง

เพราะนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตีความกฎหมายเก่าสมัยจอมพลสฤษดิ์ ทำนองว่า สมัยจอมพลสฤษดิ์ได้กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันชาติไทยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่รัชกาลที่ 10 จะต้องมาสั่งซ้ำอีก 

ตามที่หงอกเจียมได้อธิบายไว้ในเฟสบุ๊ค Somsak Jeamteerasakul เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2560 ตามรูปนี้



".. ถ้าดูเนื้อหาโดยละเอียดของประกาศ ก็จะเห็นความประหลาดเพิ่มขึ้นด้วย คือ พูดในทางกฎหมาย กรณี "วันชาติ" นั้น อันที่จริง มีมติคณะรัฐมนตรี และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี (ตามประกาศ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๐๓ ดังกล่าว) ซึ่งมีสถานะเป็นเอกสารตามกฎหมายบังคับใช้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลยที่กษัตริย์ใหม่ จะต้องมา"บอก"(สั่ง)ว่า ให้วันที่ ๕ ธันวาคม "เป็นวันชาติ" เพราะเป็นอยู่แล้วตามกฎหมาย การมาบอกซ้ำเช่นนี้ เท่ากับยืนยันว่าคำสั่งของกษัตริย์เหนือกว่าเอกสารทางกฎหมายใดๆที่มีอยู่แล้ว เรื่อง "วันพ่อแห่งชาติ" ก็เช่นกัน ความจริงก็มีมติ ครม.อยู่แล้ว (ทั้งสองเรื่องนี้ ยกเว้นแต่จะต้องการเปลี่ยน ซึ่งต้องมีมติ ครม.ใหม่ออกมา แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยน ไม่มีมติ ครม.ให้เปลี่ยน ก็ไม่จำเป็นเลยที่กษัตริย์หรือใครต้องมา "สั่ง" ให้เป็นอีก) กรณีการเป็น "วันคล้ายวันพระราชสมภพ" (ซึ่งเป็นอยู่แล้วโดยธรรมชาติและปฏิทิน) ในแง่ที่ว่า ถ้าต้องการให้วันดังกล่าวเป็นวันสำคัญ ก็ควรต้องเป็นเรื่องการมีมติ ครม. เช่นกัน"

นี่คืออีก 1 ตัวอย่างในการตีความกฎหมายแบบผิด ๆ ของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เพราะที่รัชกาลที่ 10 ทรงให้เปลี่ยนแปลงใหม่คือ กำหนดให้วันชาติไทย คือ วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ไม่ใช่วันชาติไทยจะต้องเปลี่ยนไปตามวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันทุกครั้งไป

ส่วนนายหงอกเจียม ดันตีความว่า สมัยจอมพลสฤษดิ์ กำหนดให้วันชาติไทย คือ วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่รัชกาลที่ 10 จะต้องมาสั่งซ้ำอีก

-----------

ส่วนเนื้อหากฎหมายเก่าแก้ไขวันชาติไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ก็ตามนี้ครับ

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย ความว่า

"ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้กำหนดให้มีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยในวันที่ ๒๔ มิถุนายน นั้น ได้ปรากฏในภายหลังว่า มีข้อที่ไม่เหมาะสมหลายประการ ในด้านประชาชนและหนังสือพิมพ์ก็ได้เสนอแนะให้พิจารณาในเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราว คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมี พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

คณะกรรมการนี้ได้พิจารณาแล้ว เสนอความเห็นว่า ประเทศต่าง ๆ ได้เลือกถือวันใดวันหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับชนในชาติต่าง ๆ กัน โดยถือเอาวันประกาศเอกราช วันอิสรภาพ วันตั้งถิ่นฐาน วันสาธารณรัฐ วันสถาปนาพระราชวงศ์ บ้าง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติโดยทั่วไป นั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ค สวีเด็น ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพิ่งจะมากำหนดเอาวันที่ ๒๔ มิถุนายน เป็นวันชาติเพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในระยะหลังนี้เอง

คณะกรรมการฯ จึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงสมควรจะถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยต่อไป โดยยกเลิกวันชาติในวันที่ ๒๔ มิถุนายน เสีย

คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบด้วย จึงได้ลงมติให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๘๑ เรื่อง วันชาติ นั้นเสีย และให้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยด้วยต่อไปตั้งแต่บัดนี้"

คลิกอ่าน ความโง่มาตรา 112 ของหงอกเจียม กรณีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์