วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไก่ ภาษิต จะแตกประเด็นก็อย่าปอดแหก กล้า ๆ หน่อย







รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ช่อง 3 ช่วงแตกประเด็นโดยไก่ ภาษิต เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา

ไก่ ภาษิต ได้รายงานเรื่อง เด็กไทยกับโลกออนไลน์ และการปราบปรามเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสม

เนื้อหาสกู๊ปรายงานแตกประเด็นในวันนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก็แค่รายงานเรื่องที่เด็กไทยสามารถเข้าเว็บโป๊ได้อย่างง่ายดาย แล้วไก่ ภาษิตก็รายงานถึงการปราบปรามเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงไอซีที

แต่ประเด็นที่น่าสนใจของรายงานแตกประเด็นวันนี้ อยู่ตรงที่สถิติที่ประชาชนร้องเรียนเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสมผ่านไปยังกระทรวงไอซีทีมากที่สุดคือ เรื่องหมิ่นประมาท ที่มีมากถึง 50 % ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด



ตรงนี้แหละครับ ที่ผมสนใจว่า ไก่ ภาษิต ปอดแหก ไม่กล้ารายงานอย่างตรงไปตรงมา

เพราะถ้าเป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับหมิ่นประมาทของประชาชนทั่วไป คนเดือดร้อนเขาก็ไปแจ้งความกับตำรวจว่าถูกหมิ่นประมาทอย่างไร ก็ดำเนินคดีกันไป ซึ่งโดยมากเจ้าทุกข์เขาจะไม่ไปบอกกระทรวงไอซีทีให้รีบลบออกไปหรอกครับ เพราะเขาต้องการให้หลักฐานคงอยู่ในการแจ้งความ ถ้าจะถูกลบก็จะเป็นคู่กรณีที่เป็นคนลบออกไปเอง

ดังนั้น เรื่องร้องเรียนเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสมที่ ไก่ ภาษิตรายงานนั้น จึงเป็นการบิดเบือนด้วยการเลี่ยงคำ

เพราะความจริงแล้ว เรื่องร้องเรียนที่ประชาชนโทรไปแจ้งกระทรวงไอซีทีมากที่สุด จึงไม่ใช่การหมิ่นประมาททั่วไปตามที่นายไก่ ภาษิต รายงาน

แต่คือการร้องเรียนเรื่อง เว็บไซด์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่างหาก

ผมอยากจะบอกไก่ ภาษิตว่า ถ้าคุณไม่กล้าใช้คำว่า หมิ่นพระบรมราชานุภาพ ในการรายงานข้อเท็จจริงต่อประชาชน

ไก่ ภาษิต ก็สมควรไปเปิดตัวแบบเบน ชลาทิศซะเลยดีกว่า อย่าแค่แกล้งแอ๊บเท่ ทำรายงานแตกประเด็นอยู่เลย

"หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ทำไมไม่กล้าใช้คำนี้ ไก่ ภาษิตกลัวใคร เกรงใจใคร ?

จากสถิติว่าประชาชนร้องเรียนเรื่องนี้มีมากที่สุดถึง 50% แสดงว่า ประชาชนถือว่าเป็นเรืองสำคัญ แล้วทำไมไก่ ภาษิตถึงไม่กล้ารายงานอย่างตรงไปตรงมา ??

------------------

หรืออย่างเรื่องติดตามเรื่องน้ำเสียจากโรงงานปล่อยลงสู่แหล่งน้ำที่ฉะเชิงเทรา ที่แตกประเด็นรายงานในเรื่องนี้มาหลายตอนแล้ว ก็เป็นการรายงานข่าวที่ไม่รอบด้าน

เพราะเอาแต่รายงานเรื่องปัญหาของชาวบ้านและวิธีการแก้ปัญหาสารพิษปนเปื้อน

แต่รายงานแตกประเด็นกลับไม่เคยกล้าเอ่ยถึงชื่อไอ้โรงงานที่กระทำความผิด หรือกล้าตามติดคดีนี้ว่าไปถึงไหนแล้วว่า ไอ้พวกลักลอบทิ้งน้ำเสียคือใคร คดีไปถึงไหน เจ้าของโรงงานมันคือใคร และคนพวกนี้มันควรได้รับโทษอย่างไร

ไก่ ภาษิตและรายงานแตกประเด็นก็ได้แต่รายงานข่าวแบบปอดแหกไปวัน ๆ  ไม่กล้าแฉเพื่อเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ แล้วแบบนี้เรื่องการปล่อยน้ำเสียและสารพิษลงแหล่งน้ำสาธารณะ จะมีใครเกรงกลัวกฎหมายบ้าง

รายงานแตกประเด็นควรตามติดคดีปล่อยน้ำเสียให้สุด ๆ เพื่อเอาไอ้คนทำผิดเห็นแก่ตัวมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่เอาแต่รายงานว่านักวิชาการคิดค้นเครื่องมือมาแก้ปัญหาน้ำเสียไปวัน ๆ เท่านั้น




วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาลัยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชในความทรงจำ







เรื่องแรก

ผมเคยมีโอกาสได้เห็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์จริงครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต เมื่อตอนผมไปงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่หลุยส์ จันทสาโร ที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน เมื่อ พ.ศ. 2532

ระหว่างที่กำลังรอ ในหลวง ร.9 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนินมาร่วมพิธี ผมได้เห็นสมเด็จญาณสังวร พระสังฆราช ฯ ได้เสด็จมาถึงวัดพระศรีก่อน ด้วยรถเบนซ์พระที่นั่งสีเหลือง

เมื่อรถยนต์พระที่นั่งจอดท่ามกลางแดดยามบ่าย 4 โมงเย็น สมเด็จพระญาณสังวร ฯ เสด็จลงจากรถเบนซ์พระที่นั่งสีเหลือง แล้วเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเปล่า ๆ โดยไม่ทรงใส่รองพระบาทเลย

สมเด็จพระสังฆราชเสด็จพระราชดำเนินอย่างสำรวม แต่ยังดูแข็งแรง แลดูพระองค์มีความสงบสำรวมอยู่ตลอดเวลา

----------------------

เรื่อง 2

พ่อของผม เคารพนับถือและศรัทธาสมเด็จพระญาณสังวร ฯ มาก ๆ ตั้งแต่พระองค์ยังไม่ได้ทรงขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ฯ พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ครั้งหนึ่ง พ่อของผมได้ไปวัดบวรนิเวศวิหาร ในงานพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลอย่างหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่า วัตถุมงคลนั้นคืออะไร

พ่อผมเล่าว่า ตอนแรกพ่อนั่งอยู่ด้านข้างโบสถ์ทางด้านซ้าย มองผ่านหน้าต่างพระอุโบสถเข้าไปเห็นสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นองค์ประธานสงฆ์ในการปลุกเสก  ประทับหันพระพักตร์ออกมาทางหน้าต่างพระอุโบสถ

แต่เมื่อพ่อผมลุกไปห้องน้ำ แล้วกลับมานั่งอีกด้านหนึ่งของพระอุโบสถ พ่อผมก็เห็นสมเด็จพระญาณสังวร ฯ ประทับหันพระพักตร์มาทางด้านหน้าต่างด้านที่พ่อผมนั่งอีกเหมือนกัน

อีกสักพัก พ่อผมเปลี่ยนที่นั่งใหม่ ย้ายไปนั่งทางด้านหน้าประตูพระอุโบสถ พ่อผมก็เห็นว่า สมเด็จพระญาณสังวร ฯ ประทับหันพระพักตร์ออกมาทางด้านหน้าประตูพระอุโบสถอีกเช่นกัน

พอพ่อผมเห็นแบบนั้น พ่อผมขนลุกด้วยความปลื้มและศรัทธา จนเมื่อพ่อผมกลับมาถึงบ้านก็รีบมาเล่าให้ผมฟังว่า

สมเด็จพระญาณสังวร ฯ เหมือนพระวรกายของพระองค์ทรงหมุนไปรอบพระอุโบสถอย่างอัศจรรย์ ซึ่งพ่อผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ได้เห็นปรากฏการณ์แปลกนี้เพียงคนเดียวหรือไม่

พ่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังมานานกว่า 25 ปีแล้ว ผมยังจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ

------------------------

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงละสังขารอันไม่เที่ยงลงแล้ว เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้

ผมขออาลัย แต่จะไม่ขอเสียใจ เพราะการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือความอนิจจัง
(แต่ในใจผมพยายามจะไม่ร้องไห้น่ะ)

ผมขอมุทิตาจิตแก่พระองค์ ในความเชื่อส่วนตัว ผมเชื่อว่า พระองค์ทรงเสด็จสู่พระนิพพานแล้ว

หลวงตามหาบัว เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช




แต่พอผมดูรายงานข่าวของช่อง 9 อสมท. ได้เอ่ยว่า ขอส่งดวงพระวิญญาณสมเด็จพระสังฆราชสู่สวรรคาลัย

ผมฟังแล้ว อยากจะบอกว่า ไม่ควรกล่าวเช่นนี้เลย เพราะสวรรคาลัย ยังเป็นแค่สวรรค์ เป็นสถานที่ ๆ ยังต่ำไปสำหรับอริยะสงฆ์ และเป็นสถานที่ ๆ ยังมีกิเลสที่นั่นอยู่มาก

ส่วนใหญ่ผู้ที่ไปจุติไปสถิตบนสวรรค์ยังเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่มาก

เมื่อฟังรายงานข่าวของช่อง 9 แล้ว ผมรู้สึกว่า ช่อง 9 ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

--------------------------



แม้แต่พระอานนท์ ทรงเป็นอริยะบุคคลแล้ว แม้ยังไม่สำเร็จพระอรหันต์ก็ตาม

เมื่อพระอานนท์ได้รับรู้ว่า พระพุทธเจ้าทรงปลงสังขารจะนิพพานในอีกไม่นาน

พระอานนท์ยังแอบไปร้องไห้เสียใจเลย แล้วพวกเราเป็นเพียงปถุชนธรรมดา จะไม่ให้ใจหายเลย ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน

---------------------

คำถวายแด่สมเด็จพระญาณสังวรที่ถูกต้อง

ข้าพเจ้าขอร่วมอนุโมทนา และร่วมมุทิตาจิต แด่สมเด็จพระญาณสังวร ฯ ที่ทรงละสังขารอันเสื่อมโทรมนี้แล้ว เพื่อเสด็จสู่พระนิพพาน


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ศาล รธน. ปอดแหกในคดีซุกหุ้น1 ปล่อยโจรลอยนวล







ในคดีซุกหุ้นภาค 1 ของทักษิณ ถ้าทุกคนวางใจเป็นกลาง จะรู้ได้ทันทีว่า ทักษิณผิดเต็มประตูอย่างไร้ข้อแก้ตัวที่จะฟังขึ้น

แม้ทักษิณจะพยายามแก้ตัวว่า "บกพร่องโดยสุจริต" ก็ตาม

แต่แล้วทักษิณก็รอดจากความผิดจากการรายงานบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ

เพราะมีศาลรัฐธรรมนูญบางคนไม่ยึดหลักกฎหมาย แต่กลับกลัวพลังสนับสนุนของทักษิณแทน

จากรายงานของ คอป. (ฉบับที่นายโทนี่ แบลย์ ชื่นชม)ซึ่งเป็นรายงานหลังเหตุการณ์เผาเมืองปี 2553 ได้สรุปที่มาของปัญหาความแตกแยกของคนไทยว่า

จุดเริ่มต้นของทุกปัญหาความแตกแยก มันเริ่มผิดพลาดมาตั้งแต่คดีซุกหุ้นภาค 1 นั่นเอง

คำสารภาพของ 1 ในศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่กล้าเอาผิดทักษิณ



สรุปง่าย ๆ คือ

ศาลลงคะแนนทักษิณผิด 7 เสียง
ศาลลงคะแนนให้ทักษิณไม่ผิดมี 6 เสียง
ศาลที่ไม่ลงคะแนนวินิจฉัยในทางใดเลยมี 2 เสียง

แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับนำคะแนนเสียงที่ไม่วินิจฉัย 2 เสียงไปรวมกับ อีก 6 เสียงที่วินิจฉัยว่า ทักษิณไม่ได้กระทำผิด จึงทำให้ทักษิณรอดพ้นความผิดคดีซุกหุ้น

ทักษิณจึงชนะคดีไปด้วยคะแนน 8 ต่อ 7

ทั้ง ๆ ที่ความถูกต้อง จะต้องไม่นำคะแนน 2 เสียงที่ไม่วินิจฉัยไปรวมกับคะแนนเสียงที่วินิจฉัยว่า ทักษิณไม่ได้กระทำผิด 6 เสียงนั้น

เพราะ 2 เสียงที่ไม่วินิจฉัยว่าทักษิณผิดหรือไม่ เปรียบเสมือนการงดออกเสียงนั่นเอง

ซึ่งที่ถูกต้องที่ควรจะเป็นคือ ทักษิณต้องแพ้ด้วยคะแนน 6 ต่อ 7 แปลว่า ทักษิณได้กระทำความผิดในการรายงานทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จริง!! และจะต้องถูกห้ามเล่นการเมือง 5 ปี

-----------------------

แม้ตอนนั้นจะมีคนไทยมากมายพร้อมให้อภัยทักษิณในคดีซุกหุ้น ภาค 1 ก็ตาม

แต่ทักษิณสันดานมันเลว มันเลยเอาหุ้นไปซุกกับบริษัทนอมินี บนเกาะบริทิชเวอร์จิ้นแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้ประจำปี

เท่ากับว่าทักษิณมันได้รายงานทรัพย์สินอันเป็นเท็จมาตลอด ที่มันเป็นนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 สมัย

ไม่งั้นเมื่อมันโดนยึดทรัพย์แล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อสโมสรแมนฯซิตี้ ? จนอังกฤษได้อายัดทรัพย์มันในอังกฤษอีก เพราะสงสัยเรื่องการฟอกเงิน

หากไม่มีการทำรัฐประหารในปี 2549 ทักษิณมันต้องเจอคดีซุกหุ้นภาค 2 แน่นอน

ทักษิณมันเลวจริง ๆ เลวจริง ๆ

คลิกอ่าน ฤา คมช. ทำรัฐประหารคือแผนทักษิณ



วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความโง่ของรอง ผบช.น. กับการห้ามรถเกิน7ปีวิ่งใน กทม.







จากข่าว พล.ต.ต. อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า เตรียมการเสนอโครงการจำกัดอายุการใช้งานรถยนต์ต่อรัฐบาล อาทิ รถอายุเกิน 7-10 ปี ห้ามนำเข้ามาวิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งหากนำเข้ามาวิ่งจะต้องเสียภาษีเทียบเท่ารถใหม่ โดยโครงการดังกล่าวได้แนวคิดมาจากประเทศญี่ปุ่น

นี่คือตัวอย่างความโง่แล้วอวดฉลาดของตำรวจไทยอีกกรณี ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งเข่ง แถมรองผบช.น. คนนี้ หน้าดันคล้ายเสธ.แดงเสียอีก สงสัยอายุอาจไม่ยืน



--------------

แล้วการอ้างว่าได้แนวคิดมาจากญี่ปุ่น เป็นการอ้างชุ่ย ๆ เพราะสักแต่เลือกวิธีการมาแค่บางวิธีการ โดยไม่ศึกษาว่า ที่ญี่ป่นเขาแตกต่างจากไทยอย่างไร

และที่ญี่ปุ่นไม่ใช่อยู่ ๆ เขาจะมาห้ามรถเกิน 7 ปีวิ่ง ตามที่รองผบช.น. อ้างสักหน่อย

แล้วคิดจะเลียนแบบญี่ปุ่นน่ะ หัดดูตั้งแต่ต้นเหตุของปัญหาและวิธีการที่ญี่ปุ่นเขานำมาแก้ปัญหาในขั้นแรกด้วย ไม่ใช่หยิบมาอ้างแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

นั่นคือการแก้ปัญหาขั้นต้นของญี่ปุ่น เขากำหนดไว้ว่า ใครจะซื้อรถต้องมีที่จอดรถของตัวเองก่อน ถึงจะมาจดทะเบียนรถใหม่ได้

ซึ่งผมได้เขียนรายละเอียดเรื่องนี้ไว้แล้ว คลิกอ่าน

-------------

และญี่ปุ่นเขาไม่ได้ห้ามรถเกิน 7 ปีวิ่ง เพราะนั่นคือการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะคนญี่ปุ่นที่นิยมเล่นรถเก่ามีมากมาย อยู่ ๆ จะไปห้ามเขาใช้รถเก่าได้ไง

ประเด็นสำคัญมันไม่ใช่รถเก่าหรือใหม่ แต่มันอยู่ที่การบำรุงรักษารถของแต่ละคนต่างหาก อย่างผมเคยเห็นรถยนต์ใหม่อายุไม่เกิน 5 ปี จอดเสียกลางทางก็เห็นบ่อย ๆ

ส่วนรถที่บ้านผมคันนึง มีอายุถึง 18 ปี แต่ยังวิ่งไม่ถึงแสนกิโลเลย ที่สำคัญไม่เคยจอดเสียกลางทางเลยตลอดอายุการใช้งานด้วย

แต่ที่ญี่ปุ่นเขาใช้วิธีเก็บภาษีรถยนต์ ตามอายุการใช้งาน เช่นรถใหม่ก็เสียภาษีน้อย รถยิ่งเก่ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียภาษีมากขึ้น นี่เป็นวิธีการลดการใช้รถเก่าทางอ้อม

ไม่ใช่อยู่ ๆ จะมาเผด็จการห้ามรถเก่าวิ่งแบบรองผบช.น.โชว์โง่ สักหน่อย

--------------

ที่คนญี่ปุ่นเขาเปลี่ยนรถใหม่ได้บ่อย เพราะราคารถยนต์ในญี่ปุ่นมีราคาถูกว่าราคารถยนต์บ้านเราประมาณ 3 เท่า

เช่นรถยนต์บ้านเราขายคันละ 1.2ล้าน เพราะบวกภาษีสรรพสามิตไปบาน แต่รถยี่ห้อเดียวกันรุ่นเดียวกันนี้ กลับขายที่ญี่ปุ่นประมาณ 3-4 แสนบาทเท่านั้น

(ค่าแรงขั้นต่ำญี่ปุ่นวันละ 2,100บาท ค่าแรงขั้นต่ำไทยวันละ 300บาท)

ถ้าอยากจะให้คนไทยเปลี่ยนรถใหม่บ่อย ๆ ก็ต้องทำให้ราคารถยนต์ในไทยขายถูกเหมือนที่ญี่ปุ่นให้ได้ก่อนเถอะ แล้วรองผบช.น. ค่อยมาเห่าโชว์โง่



-------------

ที่ญี่ปุ่นและกรุงโตเกียว ระบบขนส่งสาธารณะระบบราง เขามีรองรับประชากรได้อย่างเพียงพอและทันสมัย

ถามว่า กรุงเทพ มีระบบขนส่งแบบรางเพียงพอทั่วกรุงเทพแล้วหรือ ?

ที่สำคัญคนญี่ปุ่นเขานิยมการเดินอย่างมาก เวลาจะต่อรถไฟอีกสถานี เขายอมเดินระยะทางไกลไม่น้อยเพื่อไปต่อรถอีกสาย

แล้วคนไทยล่ะ ขยันเดินแบบคนญี่ปุ่นหรือไม่ ?

และที่น่าอิจฉาที่สุดคือ การใช้รถจักรยานในโตเกียวเรียกได้ว่า ทันสมัยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เพราะมีเลนจักรยาน มีการเช่ารถ ฝากรถ ที่ทันสมัยมาก แถมยังยืมรถจักรยานได้ฟรี หากใช้รถไม่เกิน 30 นาที (แล้วผู้ยืมก็ขี่จักรยานไปคืนในที่จอดในอีกจุดก็ได้)

อย่างคนในรัฐบาลeโง่บางคน เคยหาเสียงว่า จะทำรถเมล์ร้อนติดแอร์ให้หมด แต่คิดราคา 10 บาทตลอดสาย มันก็ลืมไปแล้ว

ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลควรนำภาษีจากคนกรุงเทพที่ซื้อรถยนต์คันแรกในแต่ละปีมาปรับปรุงรถเมล์ให้ดีขึ้น ดีกว่าเอาไปคืนไปแจกเพื่อประชานิยมในโครงการรถยนต์คันแรกที่ส่งเสริมให้รถยิ่งติดมากขึ้น (อย่างน้อยนำภาษีสักครึ่งนึงจากที่นำไปคืนในโครงการรถยนต์คันแรกมาใช้ก็ยังดี)

แล้วที่อวดว่าจะทำรถไฟฟ้าราคา 20 บาทตลอดสาย มันก็โม้ทั้งเพ

--------------

ที่จริง แค่ตำรวจเข้มงวดกับกฎหมายจราจรให้ดีพอ ก็ลดปัญหารถติดได้เยอะแล้ว

แต่บางทีตำรวจนี่แหละตัวดี ดันไปอำนวยความสะดวกให้โรงเรียนคนรวย ดันไปอนุญาตให้รถผู้ปกครองจอดรถรอลูกหน้าโรงเรียนได้นาน ๆ แถมจอดซ้อนคันก็ได้ มีให้เห็นหลายโรงเรียน จริงไหม ?



ตัวอย่างเช่น บนถนนสามเสน หน้า รร.เซนต์คาเบรียล ตำรวจเป็นเจ้าของถนน เอาใจผู้ปกครอง เลยอนุญาตให้ผู้ปกครองจอดรถรอรับลูกได้ ถึง 2 ช่องทางจราจร

ขนาดเขาให้จอดได้ 2 เลน แต่ก็มีพวกคนรวยยังจะจอดเลนที่ 3 อีกเลนด้วย

ตำรวจนี่แหละตัวดี !!

------------

การไปบังคับว่า ต้องรถใหม่เท่านั้นที่วิ่งในกรุงเทพได้ ก็เท่ากับไปส่งเสริมให้บริษัทรถยนต์ต่างชาติขายรถดีขึ้น แต่คนไทยกลับต้องเป็นหนี้มากขึ้น และต้องเป็นหนี้ทุกๆ 7ปี 10 ปี ในการต้องมาซื้อรถผ่อนรถใหม่กัน เหตุเพราะความจำเป็นที่ต้องใช้รถ เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะดี ๆ มีไม่พอเพียง

ถามจริงเถอะ ใช้หัวแม่ตีนคิดเหรอ รอง ผบช.น. ?

คนไทยมันรวยมากนักเหรอ ? คนไทยเป็นเจ้าของโรงงานผลิตรถยนต์ เป็นเจ้าของยี่ห้อรถยนต์เองเหรอ ?

ไทยเรามันแค่ลูกจ้าง รับจ้างประกอบรถยนต์ให้ต่างชาติ กำไรส่วนใหญ่จากการขายรถยนต์ก็ตกเป็นของเจ้าของยี่ห้อรถเขา

ถ้าไทยขายรถแล้วได้กำไรมากจริง ๆ ป่านนี้ประเทศไทยของเราคงรวยมหาศาลไปแล้ว

--------------

สรุปง่าย ๆ เลยนะ 

รองผบช.น. ควรไปเลียนแบบวิธีแรกของญี่ปุ่น ที่ว่าใครจะซื้อรถต้องมีที่จอดของตัวเองมาแสดงในการขอจดทะเบียนรถยนต์ก่อน ไม่งั้นจะมีรถส่วนตัวไม่ได้

ไม่ใช่ที่บ้านก็ไม่มีที่จอดรถ แต่เจือกมีรถได้ แล้วเอาไปจอดเกะกะบนถนนหนทางสาธารณะ

ดูตัวอย่างในซอยแคบ ๆ ก็ยังมีคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง เอาเหล็กมากั้นไว้เป็นที่จอดรถส่วนตัวของลูกค้าคอนโด


ขอบคุณรูปประกอบจากคุณ Noi Noi

รองผบช.น. กล้าเสนอวิธีการนี้เป็นกฎหมายหรือเปล่าล่ะ ?

คนไทยไม่ได้รวยเหมือนตำรวจนะ ที่แค่ค่าส่วนแบ่งจากค่าปรับคนทำผิดกฎจราจร เดือน ๆ นึง ตำรวจแต่ละคนก็ได้หลายหมื่นแล้ว ใช่ไหม ?

ถ้ากฎหมายห้ามรถเกิน 7-10 ปีคลอดมาได้จริง ต่อไปคนต่างจังหวัดคงขับรถเก่าผ่านเข้ากรุงเทพไม่ได้ด้วยอีกสิ หรือไง ?

-----------------

ขำสัส !!

เรื่องผัวเมียคู่หนึ่ง ในทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ ชานกรุง

ผัว "ที่รัก รถคันนี้เป็นของเราจริง ๆ แล้วนะจ๊ะ พี่อุตส่าห์อดทนผ่อนมาเกือบ 6 ปีในที่สุดรถคันนี้ก็ผ่อนหมด เราหมดภาระเรื่องผ่อนรถไปอย่าง พี่สบายใจขึ้นมากเลยจ้ะ"

เมีย "แต่พี่จ๊ะ ถึงรถคันนี้จะเป็นของเราจริง ๆ แล้วก็ตาม แต่เราก็คงใช้มันได้อีกแค่ปีกว่า ๆ เท่านั้นเองล่ะจ้ะ"

ผัว "อ้าว ทำไมล่ะ"

เมีย "ก็พอรถเราอายุครบ 7 ปี ตำรวจนครบาลเขาก็ไม่ให้รถของเราเข้าไปวิ่งในกรุงเทพฯ อีกแล้วล่ะจ้ะพี่ สงสัยเราคงต้องซื้อรถใหม่แล้วทนลำบากผ่อนกันอีก 6 ปีเหมือนเดิมมั้งพี่"

พอผัวได้ยินเมียบอกเช่นนั้นถึงกับเข่าทรุด ลงไปนั่งหมดอาลัยตายอยากกับพื้นบ้าน..


คลิกอ่าน คนไทยแม่ง...ไม่แพ้ใครในโลกจริง ๆ


วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนไทยแม่ง..ไม่แพ้ใครในโลกจริง ๆ







ตรรกะความเชื่อที่มักบอกต่อ ๆ กัน ว่า คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก นั้น

มันเป็นคำพูดที่สอนให้คนไทยหลงตัวเองว่าดี ว่าเก่ง แต่สุดท้ายคนไทยกลับกลายเป็นพวกโหลยโท่ยค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกก็ว่าได้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชัยภูมิดีที่สุดในโลก อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก มีธรรมชาติและทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในโลก แต่สุดท้ายในปัจจุบันนี้ประเทศไทยกลับรักษาสิ่งดี ๆ เหล่านี้ไว้แทบไม่ได้

พระเจ้าสร้างชัยภูมิประเทศไทยที่ดีที่สุดในโลก แต่โชคร้ายดันสร้างคนไทยให้มาเป็นเจ้าของนี่แหละ

ดังคำกล่าวที่ว่า ยิวสร้างป่าบนทะเลทรายได้ แต่คนไทยสร้างทะเลทรายแทนป่าได้

ผมเชื่อเสมอว่าคนไทยในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือคนไทยที่ฉลาดที่สุด เพราะมีภูมิปัญญาไทยฉลาด ๆ มากมาย

แต่พอหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรแล้ว ค่าเฉลี่ยคนไทยก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ โง่ลงเรื่อย ๆ เสื่อมลงเรื่อย ๆ เพราะชอบหยิบของฝรั่งมาใช้แต่เปลือกแบบคนไม่รู้จริง จึงส่งผลให้สังคมไทยเละตุ้มเป๊ะในวันนี้

แน่นอนเด็กไทยที่เก่งที่ฉลาดย่อมเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยที่เก่งที่ฉลาดก็เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

เพียงแต่ว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศ มันเก่งสู้คนชาติอื่น ๆ ไม่ได้แล้ว นี่เป็นสิ่งที่คนไทยต้องตระหนักและยอมรับความจริง

ที่สำคัญที่สุดคือ คนไทยที่ฉลาดส่วนใหญ่มักเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ชาติ ส่วนคนฉลาด ๆ ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ฉลาดสู้คนไทยฉลาด ๆ ไม่ได้หรอก

เพียงแต่ว่า คนฉลาดของมาเลเซียกับสิงคโปร์ เขาเห็นแก่ชาติมากกว่าเห็นแก่ตัว

-------------------------

คนไทยแม่ง...ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ 

1. วัยรุ่นหญิงของไทยท้องก่อนวัยอันควรสูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และเป็นที่ 1 ในเอเซีย


เดี๋ยวนี้ท่ายากมันเยอะ เด็กไทยเลยต้องเร่งศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อย


2. ผู้หญิงไทยทำแท้งมากที่สุดในโลก

(ทั้งข้อ1 ข้อ2 ชี้ให้เห็นว่าผู้ชายไทยขาดความรับผิดชอบมากที่สุดในโลก)

3. คนไทยเล่นชู้มากที่สุดในโลก จากผลสำรวจของดูเร็กซ์ (คลิกอ่านข่าว)

4. คนไทยดื่มเหล้ากลั่นปริมาณมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก

5. คนไทยตายจากอุบัติเหตุบนถนนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นที่ 1 ในเอเซีย และตายเพราะเมาแล้วขับมากที่สุดในโลก (คลิก)

5.1 คนไทยใช้รถมอเตอร์ไชค์จำนวนมากที่สุดอันดับ 5 ของโลก แต่คนไทยกลับตายเพราะมอเตอร์ไซค์ มากที่สุดในโลก (ขนาดญี่ปุ่นเจ้าของยี่ห้อมอไซค์ดัง ๆ คนในประเทศเขากลับนิยมใช้จักรยานมากกว่าใช้มอเตอรไซค์ ไม่เหมือนคนในประเทศด้อยพัฒนาแถวนี้)

6. คนไทยติดเชื้อเอชไอวีหรือเอดส์สูงที่สุดในโลก (หากไม่นับประเทศในอาฟริกา)

7. ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาคอร์รัปชั่น อาชญากรรม และหลบเลี่ยงภาษี สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก (ไทยแลนด์คือแดนสวรรค์ของพวกมาเฟียทั่วโลก)

8. ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่เลวที่สุดในโลกคือทักษิณ

9 . ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่โง่ที่สุดในโลกคือ ยิ่งลักษณ์

10. ประเทศไทยมีคนกินหญ้ามากที่สุดในโลก คือ นปช.

11. ข้าวไทยแพงที่สุดในโลก แต่ชาวนาไทยจนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

12. ล่าสุด เด็กไทยเล่นเน็ตผ่านสมาร์ทโฟนค่าเฉลี่ยสูงที่สุดในเอเชีย แต่เด็กไทยกลับเรียนแย่ที่สุดในอาเซียนไปแล้ว เพราะ 20 % ของเด็กไทยใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา แต่อีก 80 % ใช้สมาร์ทโฟนเพื่อความสนุก

-------------------------

สรุปว่ายอมรับหรือยังว่า คนไทยแม่ง...ไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ เฮ่อ...

คลิกอ่าน ไม่แปลกใจ ทำการศึกษาไทยเป็นที่โหล่ในอาเซียน