วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

บทเรียนแนวคิดผิดก่อนแข่ง เหตุทีมชาติฟุตบอลหญิงตกรอบปรีโอลิมปิก







เป็นข่าวดังวันนี้ ที่คุณแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประกาศลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย เหตุเพราะ ทีมชาติหญิงตกรอบปรีโอลิมปิก

ก่อนอื่น ผมอยากบอกคุณผู้อ่านให้รู้พอคร่าว ๆ ก่อนว่า ก่อนที่ไทยจะได้ไปฟุตบอลโลกหญิง 2015 ที่ผ่านมา สถิติในอดีตของทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยเราเป็นรองทั้ง พม่า และเวียดนาม มาตลอด

แปลง่าย ๆ คือ ไทยเรามักแพ้ ทั้งพม่า และแพ้เวียดนาม มากกว่าไทยจะชนะทั้ง 2 ทีมนี้

แต่สถิติก็ไม่ถึงกับห่างกันมาก คือผลัดกันแพ้กันชนะมาโดยตลอด แต่ไทยจะเป็นรองทั้งสองทีมนี้นิด ๆ เพราะในซีเกมส์ ทีมพม่า และทีมเวียดนาม ได้เหรียญทองซีเกมส์ฟุตบอลหญิงมากกว่าทีมฟุตบอลหญิงไทย (แต่ซีเกมส์ 2015ครั้งที่ 28 ที่สิงคโปร์ ไม่มีการแข่งขันฟุตบอลหญิง)

ส่วนการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์อาเซียนครั้งที่ 8 ปี 2015 ที่ผ่านมา

ซึ่งทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลหญิงอาเซียน 2015 ได้ ด้วยการเอาชนะทีมชาติหญิงพม่า ในรอบชิง 3:2 ประตู

ทั้ง ๆ ที่ในรอบแรก นัดแรกของทีมชาติไทย เราแพ้ทีมชาติหญิงออสเตรเลียซึ่งส่งแค่ชุดเยาวชนไม่เกิน 20 ปีมาแข่งด้วยซ้ำ แบบไทยเราแพ้ถึง 3:0 ประตู

แต่พอในรอบรองชนะเลิศ ทีมชาติออสเตรเลียชุดนี้ก็กลับมาแพ้ทีมชาติพม่าแบบพลิกล็อค 1:0 ทำให้ทีมชาติหญิงพม่าได้หลุดเข้ามาชิงชนะเลิศกับไทย

แล้วทีมชาติฟุตบอลหญิงไทยก็ได้แชมป์ในที่สุด ก่อนจะเดินทางไปแข่งฟุตบอลโลกหญิง 2015

แล้วทีมชาติฟุตบอลหญิงไทยกสร้างความประทับใจในฟุตบอลโลก 2015 พอสมควร เพราะสามารถเก็บ 3 แต้มจากชัยชนะต่อไอเวอร์รีโคสต์ 3:2 ประตู

-----------------------

ที่ผมเกริ่นมาคร่าว ๆ เพราะผมอยากจะบอกว่า ทีมฟุตบอลหญิงของไทย เล่นกับทีมพม่า หรือกับ ทีมเวียดนาม จะสู้กันอย่างสูสีทุกครั้ง คือ มีโอกาสแพ้ชนะใกล้เคียงกันตลอดมา

หมายถึง ทีมฟุตบอลหญิงไทยไม่ได้เหนือชั้นกว่าทีมพม่า หรือเวียดนามเลย

อย่างในเอเชียนเกมส์ที่เกาหลีใต้ 2014 แม้ทีมชาติไทยจะเอาชนะทีมชาติเวียดนาม จนได้สิทธิไปฟุตบอลโลกหญิง 2015 ก็ตาม แต่พอมาเจอกันในเอเชียนเกมส์ที่อินชอนเกมส์ เกาหลีใต้

ทีมฟุตบอลหญิงไทยกลับต้องพ่ายแพ้ทีมชาติหญิงเวียดนาม 1:2 ประตู ทำให้ทีมเวียดนามแก้แค้นที่เคยพ่ายไทยตกรอบคัดเลือดฟุตบอลโลกหญิงได้สำเร็จ

----------------------

แนวคิดผิดก่อนลงสนาม คือสาเหตุที่ฟุตบอลหญิงไทยตกรอบปรีโอลิมปิก

ในนัดแรก ทีมไทยเจอทีมพม่า เราเล่นกับเข้าภาพ และตอนชิงแชมป์อาเซียน ก็เอาชนะพม่ามาแบบหืดจับ 3:2 ประตู

ดังนั้น ทีมหญิงไทยก็เลยไม่ประมาท แนวคิดก่อนลงสนามคือ อย่างน้อยต้องไม่แพ้เจ้าภาพ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า ทีมหญิงไทยกลับเอาชนะเจ้าภาพมาได้ 2:1

พอนัด 2 ไทยเอาชนะ จอร์แดน 1:0 ซึ่งไทยเราถือว่า ยิงประตูได้น้อยไป เลยทำให้ไต้หวันยังมีคะแนนนำอันดับ 1 เพราะมีผลต่างประตูได้เสียดีกว่าไทย 2 ประตู

เมื่อไทยเจอไต้หวัน ตรงนี้เราพลาดที่ได้ลูกจุดโทษ แต่กลับยิงไม่เข้า ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในทัวร์นาเม้นท์นี้ของทีมชาติไทย เพราะทำให้ไทยเราพลาดได้ 3 คะแนน กลายเป็นแบ่งทีมละ 1 แต้มกับไต้หวันไป

และเป็นจดเริ่มต้นของแนวคิดที่ผิดพลาดก่อนเจอทีมเวียดนาม


ดังนั้นเมื่อไทยเสมอกับไต้หวัน ความกดดันอย่างหนักกลับมาตกที่ทีมชาติไทยมากขึ้น

เพราะในนัดสุดท้ายไทยต้องเจอเวียดนาม และต้องเอาชนะให้ได้หลาย ๆ ประตู เพื่อหวังว่า จะมีโอกาสมีผลต่างประตูได้เสียมากกว่าทีมไต้หวัน ที่จะไปเจอเจ้าภาพพม่าในนัดสุดท้าย

นี่แหละครับ แนวคิดของทีมชาติหญิงไทยเริ่มมีแนวคิดผิดพลาดก่อนลงสนามแล้ว คือ

1. เพราะทีมไทยคิดว่า ไทยเราจะต้องเอาชนะเวียดนามให้ได้หลาย ๆ ประตู ทั้ง ๆ ที่ เวียดนามไม่ใช่ทีมกระจอก ๆ ที่ไทยเราจะเอาชนะได้ง่าย ๆ แถมสถิติเก่า ๆ ไทยเราแพ้เวียดนามมากกว่าไทยเอาชนะเวียดนามด้วยซ้ำ

เมื่อมีแนวคิดก่อนลงสนามว่าจะถล่มเวียดนามให้ได้เยอะ ๆ ก็เลยทำให้ทีมชาติไทยเล่นผิดฟอร์มเพราะกดดันตัวเอง

สุดท้าย ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย เลยเล่นบอลแบบผิดฟอร์ม กลายเป็นบอลสะเปะสะปะ เล่นรนจนผิดพลาดเอง จนถูกเวียดนามยิงประตูถึง 2 ประตู จากความผิดพลาดของทีมไทยเอง

2. เพราะทีมไทยคิดว่า ไต้หวันคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในทัวร์นาเมนท์นี้ ไทยเรายังคิดว่า โอกาสที่ไต้หวันจะชนะพม่า มีมากกว่าไต้หวันจะเสมอหรือแพ้พม่า

เพราะแนวคิดแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นการกดดันตัวเองในการเจอกับเวียดนาม

เพราะไทยเราคิดว่า หากไต้หวันชนะพม่าได้ แล้วต้องมาวัดที่ผลต่างประตูได้เสีย ไทยเราก็เลยต้องพยายามยิงเวียดนามให้ได้มากที่สุด เพื่อจะเอาชนะผลต่างประตูได้เสียกับไต้หวันได้

แต่สถานการณ์กลับผิดคาด เพราะ เจ้าภาพพม่าเล่นอย่างไว้ลาย จนเอาชนะทีมไต้หวันไปได้ 3:1 ประตู 3:1 ประตู

สุดท้ายเลยกลายเป็นว่า ทีมชาติไทย ที่ว่าจะแย่งสิทธิกับทีมชาติไต้หวัน ก็กลายเป็นกินแห้วทั้งคู่ เพราะสิทธิคัดเลือกโซนเอเซียรอบสุดท้าย กลายเป็นทีมชาติเวียดนามคว้าสิทธิไป

นี่แหละครับที่ว่า ทีมฟุตบอลหญิงไทยมีแนวคิดที่ผิดพลาดก่อนลงสนามเจอทีมเวียดนาม



ที่ถูกต้องคือ ไทยเราควรเล่นไปตามฟอร์มตามที่ฝึกฝนมา อย่าไปคิดล่วงหน้าว่ามันจะอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามเล่นให้ดีที่สุด ให้ดูผลเป็นนัด ๆ ไป

อย่างทีมชาติหญิงพม่า ถือว่า เป็นทีมจอมพลิกล็อค เพราะล้มตัวเต็งได้อยู่เสมอ เช่น ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2015  ทีมหญิงพม่า ยังพลิกล็อคเอาชนะทีมหญิงออสเตรเลียได้ ในรอบรองชนะเลิศ

ทั้ง ๆ ที่ ทีมชาติหญิงอสสเตรเลีย เป็นเต็ง 1 ในการคว้าแชมม์ฟุตบอลหญิงอาเซียน แต่สุดท้ายมาแพ้ทีมพม่า

เท่ากับตอนนั้น เหมือนพม่าเป็นบันไดช่วยไทยได้แชมป์ฟุตบอลอาเซียนจริง ๆ เพราะถ้าเกิด ออสเตรเลีย เจอ ไทย ในนัดชิง

ผมว่า ไทยจะแพ้ออสเตรเลีย ขาดลอยเหมือนในนัดแรก

-------------------------------

บทสรุปในบทความนี้ก็คือ ทีมฟุตบอลหญิงของไทย คิดล่วงหน้ามากเกินไป และดูถูกทีมพม่ามากไป ว่า ไม่น่าจะชนะไต้หวันได้

ทั้ง ๆ ที่ เราควรมีสมาธิกับเกมของเรามากกว่าจะไปสนผลแพ้ชนะของทีมอื่น ๆ

จงเล่นให้ดีที่สุดนัดต่อนัด เล่นให้ได้ตามฟอร์มที่เคยฝึกฝนมา ถ้ามันจะชนะหลายลูกได้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของเกมจะพาไปเอง

ไม่ใช่คิดกดดันก่อนลงสนามว่า ฉันจะต้องยิงให้ได้มาก ๆ สุดท้าย ฟอร์มการเล่นเลยหลุดเสียเอง แพ้เพราะความผิดพลาดของตัวเอง

----------------

ส่วนฟุตบอลหญิงโอลิมปิก2016  ต้องการทีมจากเอเซียแค่ 2 ทีมเท่านั้น ซึ่งทีมที่ไปรอเตะรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายกับเวียดนาม ก็มีเช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ ออสเตรเลีย (รวมเวียดนาม)

ซึ่งจะแข่งขันแบบพบกันหมด แล้วนำทีมอันดับที่ 1 และ 2 ไปโอลิมปิก

---------------------

กรณีคุณแป้ง ล่ำซำ ลาออกจากผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงไทย

ผมว่า ตอนนี้ไม่มีใครเหมาะสมเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงไทยเท่ากับคุณแป้ง แล้วครับ

ลองเปลี่ยนโค้ชใหม่ ลองให้โค้ชผู้ชายมาทำทีมฟุตบอลหญิงแทนโค้ชผู้หฐิง บางทีอะไร ๆ หลาย ๆ อย่างอาจดีขึ้นผิดหูผิดตาเลยก็ได้

เพราะเรื่องกลเกมฟุตบอลสำหรับคนไทย ผมว่า โค้ชผู้หญิงยังห่างชั้นกับโค้ชผู้ชายอยู่มากครับ

เพราะโค้ชผู้หญิงมีแมทช์ให้แก้เกมน้อยกว่า ในขณะที่โค้บผู้ชายผ่านเกมการแข่งขันมามากมาย โค้ชผู้ชายจึงโอกาสพัฒนาทีมชาติหญิงได้ดีกว่า



หมายเหตุ บทความนี้เราไม่ขอกล่าวถึงการอมเงินเด็กของผู้ใหญ่บางคนในสมาคมฯ


คลิกอ่าน โชคทวี พรหมรัตน์ หลงอีโก้ จนเลืมหน้าที่ตัวเอง

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

โชคทวี พรหมรัตน์ หลงอีโก้ เพราะไม่เข้าใจหน้าที่ที่ถูกต้อง






กรณีปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง โค้ช ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กับ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน (หรือผู้ช่วยโค้ช) โชคทวี พรหมรัตน์ นั้น

ผมไม่ขอเท้าความมากว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เพราะผมก็ไม่ใช่คนวงใน

แต่ในฐานะแฟนบอล และคนวงนอก ผมขอมองและวิเคราะห์แบบคนวงนอกนี่แหละว่า ผู้ช่วยโค้ชโชคทวี กำลังหลงในอีโก้ของตัวเอง จนลืมไปว่า หน้าที่ของตัวเองคือ ผู้ช่วยของโค้ชซิโก้

สาเหตุที่ ผู้ช่วยโค้ชโชคทวี พรหมรัตน์ เกิดหลงอีโก้ตัวเองขึ้นมานั้น ก็เพราะได้มีโอกาสนำทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ไปคว้าเหรียญทองได้อย่างน่าประทับใจกลับมา  ซึ่งผู้เล่นส่วนใหญ่ในชุดซีเกมส์ก็คือ ชุดได้ที่ 4 เอเชียนเกมส์ ที่เกาหลีใต้ภายใต้การคุมทีมของโค้ชซิโก้ นั่นแหละ

และสาเหตุที่ผู้ช่วยโค้ช โชคทวี ได้มีโอกาสทำทีมชุดซีเกมส์เต็มตัวแบบเฉพาะกิจนั้น ก็เพราะโค้ชซิโก้ ติดภารกิจต้องพาทีมชาติไทยชุดใหญ่ไปเตะรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่ไต้หวัน

นั่นแหละ คือสาเหตุที่ โค้ชซิโก้ ต้องมอบภาระหน้าที่ในการคุมทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ให้ผู้ช่วยโค้ช โชคทวี รับหน้าที่อย่างเต็มตัวเป็นการเฉพาะกิจ

และเมื่อทีมชาติไทยชุดเล็กได้เหรียญทองซีเกมส์มาแล้ว ผู้ช่วยโค้ชโชคทวี ก็เริ่มมีอีโก้ว่า ข้าก็เก่ง ข้าก็แน่เหมือนกันว่ะ ที่ทำทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ได้เหรียญทองด้วยฟอร์มยอดเยี่ยมขนาดนี้
(ทั้ง ๆ ที่การเตรียมทีมชุดซีเกมส์ทั้งหมด โค้ชซิโก้ปูแนวทางและรูปแบบการเล่นไว้ให้ก่อนทั้งสิ้น แม้โชคทวีอาจคลุกคลีฝึกสอนฝึกซ้อทให้ทีมชุดนี้มากกว่าก็ตาม)

จนเมื่อผู้ช่วยโค้ช โชคทวี เกิดหลงในอีโก้ตัวเอง ก็เลยจะขอทีมชุดคัดเลือกโอลิมปิกอายุไม่เกิน 23 ปี มาคุมเอง ขอเป็นเฮดโค้ชเอง โดยจะให้โค้ชซิโก้เป็นเพียงที่ปรึกษาทีมเท่านั้น

แต่เป้าหมายและแผนงานของโค้ชซิโก้ไม่ใช่แบบนั้น เลยทำให้โค้ชซิโก้โมโห จนหลุดปากพูดออกไปว่า "ทีมชุดซีเกมส์ นั้นเก็บตัวกันมากว่า 2 ปี ใครไปเป็นโค้ชก็เป็นแชมป์"

ด้วยคำพูดนี้ของโค้ชซิโก้ ก็เลยทำให้ผู้ช่วยโค้ช โชคทวี เกิดอาการน้อยใจขึ้นมา

นี่แหละครับ ต้นตอของปัญหาความแตกแยก


รูปจาก คมชัดลึก

ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ  โค้ขซิโก้  คือ หัวหน้าทีมผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย

โค้ชโชคทวี คือ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน (หรือแปลว่า เป็นผู้ช่วยของโค้ชซิโก้นั่นเอง)

คลิกอ่านข่าว สภากรรมการสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทย มีมติให้เกียรศักดิ์ เสนาเมือง คุมทีมชาติไทยทุกชุด

-----------------

ที่จริงผู้ช่วยโค้ช โชคทวี จะต้องไม่ลืมว่า การที่ทีมชาติไทยเกิดการปฏิรูปทั้งรูปแบบการเล่น ทั้งรูปแบบแนวคิดหรือทีมสปิริตต่างไปจากทีมชาติไทยในอดีตได้นั้น นั่นเพราะฝีมือของโค้ชซิโก้แท้ ๆ

และที่สำคัญคือ โค้ชซิโก้ มีเป้าหมายที่จะรับคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่และชุดซีเกมส์ รวมถึงชุดคัดโอลิมปิกด้วยตนเอง หากไม่ติดภารกิจซ้ำซ้อนในการคาบเกี่ยวเรื่องช่วงเวลาแข่งขันของแต่ละชุด

ผู้ช่วยโค้ช โชคทวี เป็นเพียงผู้ช่วยของโค้ชซิโก้เท่านั้น  และการได้รับหน้าที่คุมทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ สาเหตุเพราะ ทีมชาติชุดใหญ่ และทีมชาติชุดซีเกมส์มีแมทช์การแข่งขันที่คาบเกี่ยวเวลากัน

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ ผู้ช่วยโค้ชโชคทวี คิดจะยึดการคุมทีมชาติไทยชุดคัดเลือกโอลิมปิกมาดูแลเองคนเดียว ซึ่งมันผิดหลักการที่โค้ชซิโก้ตั้งใจไว้แต่แรก

เพราะโค้ชซิโก้ มีเป้าหมายจะคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่และทีมชาติไทยชุดเล็กเองทั้งหมด โดยมีผู้ช่วยโค้ช โชคทวี เป็นผู้ช่วยในการทำทีม

จำไว้นะครับ ทั้งชุดฟุตบอลโลก และชุดคัดเลือกโอลิมปิก รวมถึงชุดซีเกมส์ ชุดเอเชียนเกมส์ นั้น เป็นหน้าที่หลักในการคุมทีมของโค้ชซิโก้ทั้งสิ้น เพราะทุกชุดโค้ชซิโก้จะเป็นคนเลือกนักเตะทุกคนด้วยตนเอง

และนักเตะทุกคนในทีมชุดเล็ก ต้องสามารถปรับเปลี่ยนขึ้นมาเล่นในทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้ทุกคน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่โค้ชซิโก้ ต้องลงไปควบคุมในทีมชาติไทยทุกชุดด้วยตนเอง เว้นแต่จะติดภารกิจอื่น ๆ ก็จะมอบหมายให้ผู้ช่วยโค้ชรับหน้าที่แทนเท่านั้น

ส่วน โชคทวี พรหมรัตน์ คุณเป็นเพียงผู้ช่วยผู้ฝึกสอน หรือเป็นแค่ผู้ช่วยของโค้ชซิโก้เท่านั้น

เป้าหมายหลักของทีมชาติไทยตอนนี้คือ ต้องการให้ทีมชาติไทยทุกชุดมีรูปการเล่นแบบเดียวกัน มีทีมสปิริตแบบเดียวกัน  ภายใต้การนำของเฮดโค้ชซิโก้

หากแต่ละคนคิดจะแยกไปคุมทีมชุดโน้นชุดนี้ เพราะอยากดังเดี่ยว เพราะเริ่มหลงอีโก้ตัวเอง ก็อาจทำให้ฟุตบอลไทยไม่เป็นไปตามแผนงานที่โค้ชซิโก้วางแผนระยะยาวเอาไว้

สุดท้ายทีมชาติไทยก็จะสะเปะสะปะเหมือนเดิม

ผมขอแนะนำว่า ผู้ช่วยโค้ชโชคทวี จงยอมรับว่า คุณเป็นแค่ผู้ช่วยของโค้ชซิโก้ อย่าหลงอีโก้ จนทำให้เกิดความแตกแยกกันในหมู่ผู้ฝึกสอน เพราะหน้าที่ของคุณคือ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนอันดับ1 จะเป็นรองก็แค่โค้ชซิโก้ เท่านั้น (ซึ่งน่าภูมิใจ)

เปรียบเสมือน โชคทวี ก็เป็น โยฮัน เลิฟ ส่วนโค้ชซิโก้ ก็คือ เจอร์เก้น คลินส์มันน์

เพราะการปูพื้นฐาน และรูปแบบการเล่นแนวใหม่ของทีมชาติไทย เกิดจากการนำทีมของโค้ชซิโก้ เขาคือ ผู้นำการปฏิรูปทีมชาติไทยครั้งใหญ่ เหมือนที่เจอร์เก้น คลินส์มันน์ นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่ทีมชาติเยอรมัน โดยมีผู้ช่วยของเขา โยฮัน เลิฟ คอยเกื้อหนุน แบบไม่คิดอยากเอาหน้า ชิงดีชิงเด่นกับเฮดโค้ช เสียเอง

หน้าที่สำคัญของโค้ชซิโก้ในวันนี้ คือ ปฏิรูปการทำทีมและวางรากฐานแนวคิดของทีมฟุตบอลทีมชาติไทยใหม่ เพื่อต่อยอดความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ซึ่งบางทีความสำเร็จที่สุดยอดของทีมชาติไทย อาจเกิดขึ้นในยุคที่โชคทวี ขึ้นเป็นเฮดโค้ชใหญ่แล้วก็ได้


งรู้จักหน้าที่ เพื่อความสำเร็จของส่วนรวม ดีกว่า หลงอีโก้ ตั้งแต่ยังไม่ทันจะประสบผลสำเร็จในระดับคัดฟุตบอลโลก หรือคัดโอลิมปิกเลย

และอยากบอกผู้ช่วยโค้ชในทีมของโค้ชซิโก้ทุกคนว่า จงทำตามหน้าที่ตามแต่ที่เฮดโค้ชซิโก้จะสั่งการมา ว่าอยากจะให้คุณไปคุมทีมชุดไหนแทนเป็นการเฉพาะกิจ ไม่ใช่ จู่ ๆ เกิดหลงอีโก้เหมือนโชคทวี ที่คิดกระด้างกระเดื่องในวันนี้ซะแล้ว

ก็ไม่รู้สินะ แต่ผมว่า ตอนนี้แก้วมันร้าวแล้วล่ะ ในทีมสต้าฟโค้ชทั้งหมดของโค้ชซิโก้

เว้นแต่ โชคทวี จะเข้าใจคำว่า หน้าที่ และ ทำเพื่อชาติต้องมาก่อน ได้อย่างถ่องแท้แล้วนั่นแหละ ทุกอย่างก็จะกลับมาหลอมรวมใหม่เป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้ง




คลิกอ่าน แนวคิดผิดก่อนแข่ง เหตุฟุตบอลหญิงไทยตกรอบปรีโอลิมปิก