วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ฟายแดงตู่อลีนา มีรอง เป็นคนของทักษิณ,ยิ่งลักษณ์สมอยาก !







ก่อนคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกจะเริ่มขึ้น นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เคยพูดไว้เมื่อวันที่ 14 เมษายน 56 ว่า

"เรื่องนี้เป็นวาระของชาติ ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาและที่ปรึกษาต่างๆ ใช้ทีมงานเดิมที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้งไว้ทั้งสิ้น โดยขอให้เชื่อใจบริษัทที่ปรึกษา และทีมงานที่จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่"

ส่วนนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ได้พูดทำนองเดียวกันว่า

"ถ้าเกิดความเสียหาย รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรัฐบาลนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวทนายเลยใช้ทีมเดิมทั้งหมด

ทางพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลมีความวิตกกังวลอยู่ด้วยหากผลการตัดสินใจช่วงปลายปีแล้วพบว่าไทยแพ้คดี มั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีการขยายผลเรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องออกมารับผิดชอบซึ่งเป็นเรื่องถนัดของฝ่ายนั้นอยู่แล้ว ตนเห็นว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยกัน เนื่องจากทีมทนายความเป็นชุดเดียวกับรัฐบาลขณะนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวแม้แต่คนเดียว"

จากคำพูดของนายกฯยิ่งลักษณ์ และนายจารุพงศ์ หน.เพื่อไทย พูดไปนั้น ก็ถือเป็นหลักฐานชัดเจนแล้วว่า ทีมทนายความที่นำโดยท่านทูตวีรชัย มีที่มาจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งขึ้นมา

นั่นคือ คำพูดของนายกฯ และรมว.มหาดไทย พูดไว้ก่อนที่คดีจะเริ่มขึ้น คงเพราะกลัวว่าจะแพ้ แล้วจะหาแพะรับบาปไม่ทัน เลยพูดดักทางไว้ก่อนว่า ถ้าแพ้ก็คิดจะโยนความผิดให้พรรคประชาธิปัตย์รับไปเต็ม ๆ ในฐานะตั้งทีมทนายชุดนี้ขึ้น

----------------------

ควายแดง รีบฉวยโอกาสดึงคุณอลีนา มีรอง เป็นคนของทักษิณ




เฮ่อ.. พวกฟายแดงนี่มันหน้าด้านได้ใจจริง ๆ พอเห็นทีมทนายไทยทำได้ดีเกินคาด เป็นที่ประทับใจคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคุณอลีนา มีรอง สุดสวยแสนฉลาด ที่โต้แย้งประเด็นแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชา ได้เข้าตาคนไทยทั้งประเทศ

ไอ้พวกฟายแดงรีบออกมาโมเมเอาว่า คุณอลีนา มีรอง เป็นคนที่ทักษิณเพิ่งจะจ้างมาช่วยว่าความ โดยมียิ่งลักษณ์คอยประสานงานให้ เพราะค่าจ้างแพง ทักษิณเลยขอออกเงินให้แทน

เอ้า!! ดูซะ ข่าวมติชนออนไลน์ลง เงินค่าจ้างทีมทนายมาจากไหน ?




เฮ่อ.. ไอ้พวกฟายแดงนี่มันหน้าด้านจริง ๆ เรื่องคดีของประเทศ ทีมทนายจ้างโดยภาษีชาติไทยแท้ ๆ ไอ้พวกฟายแดงรีบขี้ตู่ว่าทักษิณจ่าย !!!

เหตุที่ไอ้พวกฟายแดงรีบตู่เอาคุณอลีนา มาเป็นพวก ก็เพราะคุณอลีนาได้ตอบคำถามนักข่าวไว้ว่า เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าจะได้ขึ้นว่าความเมื่อเดือนกันยายน255 ที่ผ่านมานี่เอง

แต่ในความเป็นจริง คุณอลีนา มีรอง ได้ทำคดีนี้มากว่า 3 ปีแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ขึ้นว่าความต่อหน้าศาลโลกด้วยตัวเอง

ดังนั้นเมื่อคุณอลีนา ศึกษาคดีนี้โดยเฉพาะในเรื่องแผนที่มากว่า 3 ปี นั่นแสดงว่า เธอทำงานมาตั้ังแต่ปี 2553 หรืออาจจะปลาย2552 ซึ่งตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นรัฐบาลอยู่

เฮ่อ.. น่าสมเพชควายแดงจริง ๆ


--------------------


ศาสตราจารย์ แปลเล่ย์ จูบยิ่งลักษณ์

การเป็นนักกฎหมายระดับโลก ต้องอ่านเกมฝ่ายตรงข้ามให้ขาดจึงจะมีชัย ซึ่งศาสตราจารย์แปลเล่ย์ ก็อ่านใจยิ่งลักษณ์ขาดเช่นกัน ว่ายิ่งลักษณ์ชอบอะไร 555

ด้วยการที่ศาสตราจารย์แปลเล่ย์เป็นฝรั่ง ย่อมสามารถใชัหลักกฎหมายปิดปากยิ่งลักษณ์ด้วยเหตุผลที่ว่า ธรรมเนียมทักทายแบบฝรั่ง 555




ใช่แล้ว ถ้าทักษิณมันเป็นคนจ้างทีมทนาย มันก็ต้องจ้างโดยใช้ตัวน้องสาวของมันนี่แหละแทนค่าจ้าง เหมือนที่มันเคยประเคนน้องสาวให้รสช. เพื่อแลกสัมปทาน555






วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

ผลการประชุม JBC ตอกย้ำไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2แสน






หลังจากท่านทูตวีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเนเธอร์แลนด์ กล่าวสรุปในศาลโลกไปเมื่อวันที่ 19 เมษายน 56 ที่ผ่านมา ท่านสรุปทุกอย่างชัดเจนดีหมด

โดยเฉพาะประเด็นที่ ปัญหาเขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียว แต่แอบสอดไส้พ่วงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเข้าไปในการขอขึ้นทะเบียนด้วย เพื่อหวังเอาพื้นที่รอบตัวปราสาท เช่น ผามออีแดง สระตราว สถูปคู่ ส่วนที่อยู่ในแผ่นดินไทยไปรวมอยู่ด้วย

ตรงนี้จึงชัดเจนว่า สิ่งที่นายนพดล ปัทมะ พยายามโกหกมาตลอดในการไปเซ็นยินยอมให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวนั้น ที่ว่า เขมรขอขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น จึงเป็นคำโกหก !!

แถมนายนพดลยังโอ้อวดอีกว่า ตนเองเป็นผู้ปกป้องแผ่นดินไม่ให้เขมรขึ้นทะเบียนพวงใหญ่ (รวมพื้นที่รอบปราสาท4.6ตร.กม.) ได้สำเร็จ แถมตนเองยังได้ทำให้เขมรขึ้นทะเบียนเฉพาะพวงเล็ก (ตัวปราสาท)เท่านั้น จึงเป็นคำโกหกตอแหล แต่กลับตั้งใจยกแผ่นดินให้เขมรชัดเจน

ซึ่งในเรื่องคำโกหกของนายนพดล ปัทมะ ผมแนะนำให้ไปอ่านที่บทความเรื่อง จับผิดคำพูดนพดล นพเหล่


แต่สิ่งที่ท่านทูตวีระชัย กล่าวสรุปอีกประเด็นคือ เรียกร้องให้ เขมรทำตาม MOU43 นั้น ซึ่งผมว่ามันก็จะเป็นปัญหาไม่รู้จบอีก เพราะใน MOU43 ได้ยอมให้เขมรนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเข้ามาร่วมเจรจาได้

ทั้ง ๆ ที่แนวเทือกเขาพนมดงรักนั้น ไทยเรายึดตามเส้นสันปันน้ำเท่านั้น แต่เขมรยึดแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และพยายามให้ศาลโลกรับรองแผนที่นี้อีกครั้ง

ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมรัฐบาลชวนถึงไปเปิดช่องให้พวกขี้โกงอย่างเขมรมีช่องเข้ามาโกงอย่างหน้าด้าน ๆ

และไม่ใช่เฉพาะ MOU43 ที่ไปเปิดโอกาสให้เขมรนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเข้ามา ตามเอกสารใน ข้อ1ค. ตามที่ผมนำเสนอในบทความที่แล้วเท่านั้น

แม้แต่ในการเจรจาคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2543 รัฐบาลชวน ก็ยังไปยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน อย่างชัดเจนหนักแน่นซ้ำเข้าไปอีก !!

ปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพุชา คงไม่จบลงง่าย ๆ หรอกครับ เผลอๆ อาจจบที่สงครามด้วยซ้ำ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

ยกเว้นเพียงรัฐบาลเพื่อไทยจะยอมขายชาติเท่านั้น สงครามก็อาจไม่เกิด

ลองดูสิครับ เห็นเส้นสีแดงไหม นั่นแหละ แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ทีทำให้เขมรมันได้ใจได้คืบจะเอาศอก !!










เห็นอะไรไหมครับ ลงนามโดยนายชวน หลีกภัย !!


คลิกอ่าน MOU43 ต้นตอเขมรรุกรานไทยโดยสะดวก

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

MOU43 ต้นตอเขมรรุกรานไทยโดยสะดวก







เมื่อทหารเขมรเริ่มรุกรานชายแดนไทย จนเกิดปะทะกันหลายครั้ง ในสมัยรัฐบาลชวน จึงไปชวนเขมรมาทำ MOU43 บันทึกความเข้าใจเรื่องปกปักปันเขตแดน

ซึ่งใน MOU43 ข้อที่ไปยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนคือ ข้อ1 ค.

ข้อ 1

จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้

(ก) อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพื่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ปี ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่นๆ ฉบับลงนาม ณ. กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ปี ค.ศ. 1904)

(ข) สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) และ

(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระห่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส

------------------

ในข้อ 1 ค.  ก็คือ แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำฝ่ายเดียว ซึ่งทำเสร็จสิ้นในค.ศ. 1908 โดยทางสยามไม่เคยเซ็นยอมรับแผนที่ฉบับนี้ และไม่เคยมีรัฐบาลไทยสมัยไหนยอมรับแผนที่นี้

และนี่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ  2 แสนเข้ามาร่วมเจรจาใน MOU43 เฉยเลย

-------------

เมื่อทำ MOU43 แล้ว ใน MOU43 ข้อตกลงข้อที่ 5 ได้กำหนดว่า

ข้อ 5
เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผลหน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

นี่จึงเป็นเหตุที่ ทหารไทยต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่ทับซ้อนกันในแผนที่ที่ทั้งสองฝ่ายเสนอ จึงทำให้ ทหารไทยต้องถอนกำลังออกจากเขาพระวิหารด้วย รวมทั้งคนไทยที่เคยทำมาหากินก็ต้องออกจากพื้นที่นั้นด้วย

แต่กลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้ทหารเขมรรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่แทน แถมพาประชาชนเขมรเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่เขาพระวิหารได้

เพราะทหารเขมรไม่ทำตามข้อตกลงใน MOU43 ข้อ 5

ส่วนฝ่ายไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้แต่ทำการประท้วงไป เพราะไม่สามารถใช้กองกำลังทหารขับไล่ผู้รุกรานได้ เพราะติดข้อตกลงในMOU43 ข้อ 8 คือ

ข้อ 8
ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากการตีความหรือบังคับใช้ความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาและการเจรจา

---------------------

มันตลกไหมครับคุณผู้อ่าน ไทยเรามั่นใจมาตลอดว่า พื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารเป็นแผ่นดินของไทย แต่แล้วจู่ๆ ดันไปชวนกัมพูชามาทำ MOU43 ทำให้แผ่นดินที่เป็นของไทย 100% กลายเป็นพื้นที่ ๆ ที่ยังไม่รู้เป็นของใครกันแน่ เพราะต้องมาปักปันเขตแดนกันใหม่

ส่วนกัมพูชามันรีบทึกทักทันทีว่า นั่นคือแผ่นดินของกัมพูชาไปแล้ว ตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เพราะกัมพูชาเชื่อว่า ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วว่า ไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนตามหลักกฎหมายปิดปาก

แถมกัมพูชายังร้องเรียนไทยต่อนานาชาติ กล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน ละเมิดเงื่อนไขMOU43 นี้ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้โต้แย้งหลายครั้ง




แล้วฝ่ายรัฐบาลไทยกับกองทัพไทยโง่ไหมครับ ที่พยายามรักษาข้อตกลงไม่ยอมละเมิดข้อตกลง MOU43 แต่เขมรกลับละเมิดได้ จนเป็นปัญหาบานปลายในตอนนี้

โดยเฉพาะในศาลโลก เดือนเมษายน ล่าสุดเขมรเอ่ยหลายครั้งว่า คนเขมรตั้งชุมชนในพื้นที่รอบปราสาท ทำไมทางไทยไม่เคยคัดค้าน ?

ความจริงกระทรวงการต่างประเทศไทยได้ทำหนังสือคัดค้านไปหลายครั้ง  สงสัยเขมรมันคงแกล้งทำเป็นไม่ได้รับหนังสือคัดค้านของไทย

ทีมทนายเขมรมันถึงได้กล้าอ้างแบบนี้หลายครั้งในศาลโลกอย่างหน้าด้าน ๆ

และที่สำคัญที่สุด ที่รัฐบาลนายชวนพลาดคือ ดันไปยอมรับแผนที่ที่ขัดกับรัฐธรรมนูญเขมร เพราะแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ขัดกับรัฐธรรมนูญกัมพูชา มาตรา 2 ที่กำหนดว่าราชอาณาจักรกัมพูชากำหนดอาณาเขตโดย แผนที่ 1 ต่อ 1 แสน

แต่นั่นเป็นเรื่องกฎหมายภายในประเทศของเขา ซึ่งต่อมาเขมรก็ไปออกพระราชกฤษฎีกาเฉพาะกิจประกอบการทำ MOU43 ว่า บริเวณเขาพระวิหาร อนุญาตให้ใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเป็นการเฉพาะได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

เป็นไงล่ะ ?

และที่เด็ดสุดคือ เขมรมันแถลงในศาลโลกว่า ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ  2 แสน ซึ่งมีความสำคัญเทียบเท่าสนธิสัญญา และขอให้ไทยทำตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนนี้ใน MOU43 ด้วย



--------------------------

หากไม่มี MOU43 ทหารไทยก็ไม่ต้องถอนกำลังออกจากแผ่นดินไทย และก็คงไม่มีพวกเขมรกล้าเข้ามาสร้างชุมชนจนยึดพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารไว้ได้

แผ่นดินของไทยแท้ ๆ คนไทยเคยทำมาหากินในพื้นที่ได้ ก็ทำมาหากินต่อไม่ได้ ก็เพราะ MOU43 นี่แหละ




MOU43 มันจะมีประโยชน์กับมิตรประเทศที่ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน แต่มันใช้ไม่ได้กับประเทศที่พร้อมจะแทงข้างหลังไทย ลอบกัดไทยเสมอ อย่างลูกหลานพระยาละแวก เช่นกัมพูชา !!

ตามหลักการที่ถูกต้อง ในเมื่อเขมรละเมิดข้อตกลงใน MOU43 มันก็สมควรเป็นโมฆะ !! เพื่อที่ทหารไทยจะได้มีสิทธิทำหน้าที่ในการผลักดันผู้รุกรานออกไป

แต่นี่กลับปล่อยเขมรละเมิด ส่วนไทยก็กอดMOU43 ไว้อย่างเหนียวแน่น แล้วปล่อยให้เขมรมันอ้างMOU43 ว่าไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว

นายฮอร์นัมฮง เคยแถลงในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธุ์ 2554 ซึ่งส่วนหนึ่งในคำแถลงของฮอร์นัมฮง คือ

"ในเดือนมิถุนายน ๒๐๐๐ กัมพูชาและประเทศไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของราชอาณาจักรกัมพูชาและรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยในการสำรวจและจัดทำหลักเขตทางบก ซึ่งได้ยอมรับ “แผนที่ดงรัก” ซึ่งอ้างถึงโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศสำหรับคำตัดสินในปี ๑๙๖๒ ว่าแผนที่ “ผนวก ๑” พร้อมด้วยเอกสารที่ชอบด้วยกฎหมายอื่น เป็นฐานทางกฎหมายสำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย"


------------------

ก่อนจบขอฝากว่า

เมื่อรั้วบ้านเราพัง เราก็ต้องซ่อมรั้วของเราเองได้ แต่นี่เราดันออกจากบ้านเราเอง แล้วรอให้คนอื่นมาช่วยกำหนดว่า บริเวณรั้วบ้านเราควรอยู่ตรงไหน?!


คลิกอ่าน แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ขัดรัฐธรรมนูญกัมพูชา


วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

แผนที่ 1 ต่อ 2แสน ของกัมพูชา ต้องเป็นโมฆะ







ปัญหาคดีเขาพระวิหาร มันเกิดจากฝ่ายไทยและกัมพูชา ถือแผนที่อ้างอิงคนละฉบับ โดยฝ่ายไทยใช้แผนที่ 1 ต่อ 50,000 และยึดถือเส้นสันปันน้ำเป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลปฏิบัติ

ในขณะที่ทางกัมพูชากลับไปอ้างอิงแผนที่ 1ต่อ 200,00 ระวางดงรัก ที่ฝรั่งเศสเขียนขึ้นแบบโกงๆ โดยที่ฝ่ายไทยก็ไม่เคยยอมรับ เพราะเป็นการบิดเบือนความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์

แต่อาจเพราะช่วงนั้น ฝรั่งเศสมีอิทธิพลกร่างในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์มาก ทำให้ฝ่ายไทยเลยไม่ได้ออกมาคัดค้านอย่างเป็นทางการ จนทำให้เกิดกรณีกฎหมายปิดปากที่ศาลโลกเมื่อปี พ.ศ.2505 ใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาไป

ปัญหาคดีเขาพระวิหารกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้งเมื่อ รัฐบาลนายชวนไปชวนกัมพูชามาลงนามข้อตกลง MOU43 ซึ่งเปิดโอกาสให้กัมพูชานำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเข้ามาใส่ในMOU43 ได้อีกครั้ง

ซึ่งจุดเริ่มต้นตรงนี้ ทำให้ฝ่ายกัมพูชาจึงได้ใจรุกคืบพยายามกินอาณาเขตของไทยมาตลอด ด้วยข้ออ้างที่ว่า ฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาแล้ว

จนกระทั่งเมื่อกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ซึ่งทางการไทยคัดค้านการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวของกัมพูชามาโดยตลอด

เพราะการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น กัมพูชาคิดจะพ่วงเอาผามออีแดง สระตราว และสถูปคู่ ในฝั่งไทยไปด้วย

ซึ่งจนสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่มีนายนพดล ปัทมะ เป็นรมว.ต่างประเทศ ก็ได้ทำการยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกได้เพียงฝ่ายเดียว โดยนายนพดลอ้างเองคนเดียวว่า กัมพูชาขอขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

ซึ่งถ้าขึ้นเฉพาะตัวปราสาทก็ไม่จำเป็นต้องมาขอให้ไทยเซ็นยินยอมหรอก เพราะตัวปราสาทเป็นของกัมพูชาอยู่แล้ว

แต่ในความเป็นจริง พอรัฐบาลสมัคร และนายนพดลไปเซ็นยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารฝ่ายเดียวแล้วน้้น

ฝ่ายกัมพูชาได้นำเอกสารยินยอมของรัฐบาลไทยไปใช้เป็นเอกสารในการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร แต่!! ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า กัมพูชาได้พ่วงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนซึ่งรวมเอาผามออีแดง สระตราว และสถูปคู่ ที่อยู่ในฝั่งไทยไปรวมด้วยเป็นพื้นที่โดยรอบของมรดกโลก

อธิบายง่ายๆ ก็คือ กัมพูชาใช้เอกสารยินยอมของนายนพดล แต่กลับไม่ใช้แผนที่ที่นายนพดลกล่าวอ้าง ว่าจะขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

ซึ่งต่อมาศาลโลกได้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อเดือนพ.ค.2554 โดยให้ทหารไทย และกัมพูชา ถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาท 17.6 ตร.กม. (พื้นที่โดยรอบปราสาทที่กัมพูชานำไปขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย)

ซึ่งทำให้ตอนนี้แม้แต่ผามออีแดง ที่คนไทยเคยขึ้นไปเที่ยวได้อย่างสบาย ก็ขึ้นไปเที่ยวอีกไม่ได้ พ่อค้าแม่ค้าไทยที่เคยขายของที่ระลึกบนผามออีแดงก็ขึ้นไปขายเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะทหารไทยได้ถอนกำลังออกจากผามออีแดง ลงมาคุมเชิงด้านล่างแทนตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก

ทั้งหมดทั้งปวงมันเป็นเพราะปัญหาแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามหลักสากลปฏิบัติแท้ๆ

แต่ในความเป็นจริงแล้วแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชา ควรจะเป็นโมฆะ ไม่อาจนำมาอ้างอิงได้อีก ซึ่งถ้าทางไทยนำประเด็นนี้มาใช้ก็อาจจะทำให้คดีเขาพระวิหารของไทยชนะก็เป็นได้ครับ นั่นเพราะ

แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ของกัมพูชา ขัดกับรัฐธรรมนูญกัมพูชาเอง 

เพราะในมาตรา2 ของรัฐธรรมนูญกัมพูชา ได้ระบุว่า อาณาเขตของกัมพูชาต้องอ้างอิงตามแผนที่ 1 ต่อ 1 แสนเท่านั้น






---------------

คดีเขาพระวิหารได้ขึ้นศาลโลกครั้งแรกนั้น ซึ่งศาลโลกได้ตัดสินเมื่อพ.ศ.2505 หรือ ค.ศ.1962 นั้น ได้ตัดสินเฉพาะตัวปราสาท เพราะศาลโลกไม่มีอำนาจตัดสินเกี่ยวกับเขตแดน

ดังนั้นเมื่อมาถึงวันนี้ การที่กัมพูชาพยายามจะนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาใช้อีกครั้งในศาลโลก เพื่อให้ศาลโลกตีความเรื่องเขตแดนตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน จึงเป็นการขัดรัฐธรรมนูญของกัมพูชาเอง เพราะในรัฐธรรมนูญของกัมพูชาฉบับปัจจุบันได้ระบุชัดเจนในมาตรา2 ว่า

มาตรา2 ราชอาณาจักรกัมพูชามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและไม่สามารถละเมิดได้ ตามอาณาเขตที่อ้างอิงตามแผนที่อัตราส่วน 1/100,000 ที่จัดทำในปี ค.ศ.1933-1953 และได้รับการรับรองจากนานาชาติในปี ค.ศ.1963-1969 


ดังนั้น การที่กัมพูชาได้นำแผนที่ 1 ต่อ 2แสน เข้ามาใน MOU43 ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัยของไทยนั้น จึงเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญของกัมพูชาเอง ยิ่งถ้านำไปใช้ในศาลโลกอีก เพื่อหวังได้เขตแดนมากขึ้น ก็ยิ่งนำไปใช้ไม่ได้เช่นกัน

เพราะอาณาเขตของกัมพูชา ต้องอ้างอิงตามแผนที่ 1 ต่อ 1 แสนเท่านั้น ตามรัฐธรรมนูญกัมพูชา


คลิกอ่าน ผลคดีเขาพระวิหาร ประชาธิปัตย์มีแต่เสียกับเสีย


คลิกอ่าน เอาชนะกัมพูชาในคดีเขาพระวิหาร ด้วยกฎหมายปิดปากคืน


วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ชนะในสงคราม แต่พ่ายแพ้ในเกม







ในช่วงที่ผมยังเด็ก ประมาณ ป.5 ก็มีข่าวดังระดับโลก อังกฤษทำสงครามชิงเกาะฟอร์กแลนด์คืนจากอาร์เจนติน่า โดยในสมัยนั้นอังกฤษมีนางมากาเร็ต แธตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งในตอนเด็กๆ ผมก็หลงเชียร์อังกฤษ เพราะเราเสพข่าวด้านเดียวจากสื่อตะวันตก

เพราะสหรัฐอเมริกา ก็เป็นชาติพันธมิตรที่ดีของอังกฤษ ข่าวผ่านดาวเทียมจากฝั่งอเมริกา และยุโรป ก็เลยทำให้เรามองอังกฤษเป็นพระเอก ส่วนอาร์เจนตินาดูเป็นผู้ร้าย

ทั้งๆ ที่ หมู่เกาะฟอร์กแลนด์ มันอยู่ทางซีกโลกใต้ อยู่ใกล้กับอาร์เจนติน่ามากกว่าอังกฤษ โดยหมู่เกาะฟอร์กแลนด์อยู่ห่างจากอังกฤษถึง 12,800 กม. แต่อยู่ห่างจากอาร์เจนติน่าแค่ 500 กม. เท่านั้น



และในสงครามครั้งนั้น อังกฤษก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ กองทัพอาร์เจนติน่าต้องถอนทหารออกจากเกาะไป

ชัยชนะของสงครามเกาะฟอร์กแลนด์ครั้งนั้น ทำให้นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ได้รับฉายาว่า The Iron lady หรือ หญิงเหล็ก ซึ่งทำให้คะแนนนิยมในตัวเธอจากที่กำลังดิ่งตกเหวจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราการว่างงานของอังกฤษต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี คะแนนดีดกลับมาดีอีกครั้งจนเธอได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ 2

นี่ขนาดเกาะฟอร์กแลนด์ เป็นเกาะที่ห่างจากอังกฤษ นับหมื่นกิโล แต่อังกฤษก็ไม่ยอมเสียไปง่ายๆ พร้อมทำสงครามทันที!! เพื่อปกป้องดินแดนในอาณานิคม

ซึ่งต่างจากพวกชิงหมาเกิดในไทยบางตัว ที่ชอบด่าคนอื่นว่าคลั่งชาติในการปกป้องแผ่นดิน แต่ตัวเองกลับปอดแหกและพร้อมยกแผ่นดินให้เขมร เพียงเพราะอ้างว่า กูไม่คลั่งชาติแต่กูคลั่งไอ้แม้ว 555


-----------

หมายเหตุ ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งสหราชอาณาจักรยืนยันระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์บีบีซีในวันอาทิตย์(6)ว่ารัฐบาลอังกฤษพร้อมใช้กำลังทางทหารจัดการกับอาร์เจนตินา เพื่อปกป้องหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ หากมีความจำเป็น

ท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีคาเมรอน มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่นางกริสตินา เฟร์นันเดซ เด เคิร์ชเนอร์ ประธานาธิบดีหญิงแห่งอาร์เจนตินาออกมากล่าวโจมตีอังกฤษ พร้อมเรียกร้องให้มีการส่งมอบหมู่เกาะฟอล์กแลนด์คืนให้กับอาร์เจนตินา เนื่องจากรัฐบาลบวยโนส ไอเรส (บูเอโนสไอเรส) ถือว่าหมู่เกาะแห่งนี้ซึ่งมีชื่อในภาษาสเปนว่า “อิสลาส มัลบินัส” นั้น เป็นเขตอธิปไตยของตนมาช้านาน



--------------------

อังกฤษชนะสงครามต่ออาร์เจนติน่า แต่กลับแพ้หมดรูปในเกมฟุตบอลโลก

อังกฤษมีชัยชนะในสงครามชิงเกาะฟอร์กแลนด์ใน ค.ศ.1985 แต่แล้วคนอังกฤษก็ถูกเสือเตี้ยดีเอโก้ มาราโดน่า ได้แก้แค้นอังกฤษแทนชาวอาร์เจนไตน์จนสำเร็จในศึกฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ด้วยการยิงคนเดียว 2 ประตู

ลูกแรกคือพระหัตถ์แห่งพระเจ้าของมาราโดน่า และลูกที่2 คือการลากเลี้ยงเดี่ยวจากครึ่งสนามไปยิงอังกฤษของเจ้าเสือเตี้ย เอาชนะทีมชาติอังกฤษในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ด้วยสกอร์ 2:1

สร้างความขายขี้หน้าและอับอายให้แก่แฟนบอลชาวอังกฤษทั่วโลกอย่างย่อยยับ เพราะแต่ละลูกของมาราโดน่า ถือเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ดั่งพระเจ้าประทาน จนทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษแห่งอาร์เจนติน่าก็ไม่ปานมาจนวันนี้

เพราะนอกจากแก้แค้นอังกฤษเจ้าตำรับการคิดค้นการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่แท้ๆ ด้วยเกมฟุตบอลสำเร็จแล้ว มาราโดน่ายังพาทีมอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลกในปีนั้นได้อีกด้วย (แต่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ของอาร์เจนติน่า)




วันหัตถ์แห่งพระเจ้า - วันได้ชูถ้วยบอลโลก


ดูชัดชัดจะจะ 2 ประตูของมาราโดน่าแก้แค้นอังกฤษให้ชาวอาร์เจนไตน์ทั้งประเทศ




การที่ทีมชาติอาร์เจนติน่าเอาชนะทีมชาติอังกฤษได้ ชาวอาร์เจนไตน์ทั้งประเทศถือว่า พวกเขาได้แก้แค้นอังกฤษสำเร็จ แทนการพ่ายแพ้ในสงครามเกาะฟอร์กแลนด์ เพราะฟุตบอลคือกีฬาที่เป็นชีวิตจิตใจของชาวอาร์เจนไตน์ทั้งประเทศ แถมได้ชนะเหนือต้นตำรับฟุตบอลสมัยใหม่อย่างอังกฤษอีกด้วย

องค์ประกอบ 2 ประการที่ทำให้มาราโดน่า ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่านักฟุตบอลอาร์เจนติน่าคนใดก็คือ

1. แก้แค้นอังกฤษสำเร็จด้วยสงครามลูกหนัง ภายหลังอาร์เจนติน่าแพ้สงครามฟอร์กแลนด์เพียง 1 ปี

2. พาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ได้สำเร็จ

3. มาราโดน่าพาทีมอาร์เจนติน่าเข้าชิงฟุตบอลโลกได้ 2 สมัยติดต่อกัน คือปี 1986 และ 1990

--------------------------


ส่วนนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ภายหลังจากที่เธอเสียชีวิตลง เธอก็ได้รับเกียรติสูงสุดจาก สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ และพระสวามีในการจะเสด็จมาในงานพิธีศพของเธอ

เพราะปกติแล้ว สมเด็จพระราชินี ไม่เคยเสด็จไปร่วมงานศพของสามัญชนคนไหนเลย นี่จึงเป็นครั้งแรก


-------------------

ปิดท้ายด้วย

นายกหญิงคนแรกของอังกฤษ vs นายกหญิงคนแรกของไทย

The Iron Lady vs The Idiot Lady
นายกหญิงเหล็ก vs นายกหญิงหลุด !!




คำคมคนดัง โดย เมอรีล สตรีฟ ผู้รับบทนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ใน The Iron Lady

"แธตเชอร์ ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพราะเป็นมรดกที่เธอได้มาในฐานะลูกสาวของบุคคลยิ่งใหญ่ หรือภรรยาม่ายบุคคลสำคัญ แต่เกิดขึ้นด้วยความพยายามของเธอเอง"

(ซึ่งต่างกับนายกหญิงของประเทศที่กำลังล้าหลังบางประเทศ) /@akecity






คลิกอ่าน ก็..สายตายิ่งลักษณ์มันฟ้องน่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

ก็ สายตาของยิ่งลักษณ์มันส่อ ?







ขณะที่เขียนบทความนี้ ในวันนี้ ปปช. จะสรุปว่ายิ่งลักษณ์จะมีความผิดเรื่องรายงานบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จในเรื่องปล่อยเงินกู้ให้บริษัทของผัวที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของเธอ หรือไม่ ?

ก็อย่างว่าล่ะนะ ผู้หญิงอย่างยิ่งลักษณ์ไม่ยอมจดทะเบียนกับผัว ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะถ้ายิ่งลักษณ์จดทะเบียนไปแล้ว ดันมาส่งสายตายั่วยวนผู้ชายเป็นว่าเล่นแบบนี้ ผู้ชายคนไหนเป็นสามีในทะเบียนสมรสคงเครียดน่าดู ที่มีเมียแบบยิ่งลักษณ์

แต่เธอก็มีฟายแดงหลงใหล ต่อให้ยิ่งลักษณ์ โง่ เซ่อ ชั่ว หน้าด้าน ร่าน ตอแหลเพื่อพี่ชายมากแค่ไหน

ฟายแดงก็ย่อมมองเห็นกงจักรเป็นดอกบัวร่ำไป นั่นเพราะ ฟายแดงมันเหมือนโดนมนต์สะกดให้เชื่องไปแล้ว 5555

บทความวันนี้ไม่มีอะไรมาก ก็แค่แวะมาแปะรูปนายกหญิงที่ฟายแดงภูมิใจนักหนาให้ได้ดูขำๆ กัน

รูปต้นฉบับ ยิ่งลักษณ์อยากกลืนกินโอบามา คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

http://imgur.com/NmJNq8m,jdypj3F,oJYTehb,bmiRd48,9OyjRlZ#1



Yingluck vs Messi คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!







ยิ่งลักษณ์ ปะทะ คิมจองอึน !! คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!




--------------------------

อัพเดท ผลการพิจารณาคดีปูปล่อยกู้บริษัทผัวนอกสมรส

สรุปว่า ยิ่งลักษณ์รอด ก็อย่างว่าล่ะนะ ก็มีผัวที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วย ถ้าตามกฎหมายมันก็แค่คนอื่น ที่เธอนอนร่วมเตียงเป็นประจำด้วยเท่านั้น ไม่ได้มีภาระผูกพันธุ์ใด ๆ

ขอแสดงความเสียใจกับนายกยิ่งลักษณ์ ด้วย ที่ไม่โดนฟัน !!
ขอแสดงความยินดีกับ ปปช. ด้วยที่ไม่อยากฟันยิ่งลักษณ์

โดยส่วนตัว ผมว่า ให้ปูเป็นนายกโง่ๆ ฮาแม้วแตกแม้วแตน ต่อไป ก็ยังดีกว่า เอา อีเจ๊ซาลาเปาพุงปลิ้นเพราะแดกข้าวจำนำเยอะ มาเป็นนายกนะ

เพราะถ้าเอาอีเจ๊ ด. มาเป็นนายก แม่งไม่ฮาว่ะ เพราะมันมีแต่ความทุเรศ ทุรัง หยะแหยง !! อี๊ !!





-------------