คำว่าช่องฟรีทีวี หมายถึง คนดูได้ดูทีวีช่องนั้น ๆ ฟรี โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มจากการดู แต่ความจริงแล้วสำหรับวงการธุรกิจ ไม่มีอะไรฟรีจริงในโลกนี้
เพราะดูฟรีทีวี ก็ต้องมีโฆษณามาคั่นระหว่างรายการ เช่นฟรีทีวีระบบอนาล็อก สามารถมีโฆษณาได้ชั่วโมงละ 12 นาที
สิ่งที่ฟรีทีวีอย่างช่อง 3 ช่อง 7 เป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดในวงการทีวีบ้านเรา ก็เพราะรวยจากจำนวนคนดูที่มีมากกว่าช่องใด ๆ แล้วเพราะจำนวนคนดูนี่เองที่ทำให้ อัตราค่าโฆษณาที่มาลงใน 2 ช่องนี้ แพงที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์ หรือช่วงเวลาหลัง 2 ทุ่มนั่นเอง
โดยที่เวลาหลัง 20.15 น. หรือช่วงเวลาละครหลังข่าว ช่อง 7 มีอัตราค่าโฆษณานาทีละ 5 แสนบาท ส่วนช่อง 3 นาทีละ 4.8 แสนบาท
แต่เมื่อเข้าสู่ทีวีดิจิตอล ซึ่งจะทำให้ทะเลแห่งการแข่งขันของฟรีทีวีที่เดิมมีแค่ 3 5 7 9 (ไม่นับช่อง11 และไทยพีบีเอส) ที่มีกันแค่ 4 ช่องเท่านั้น กับผลประโยชน์โฆษณาตลาดรวม 7 หมื่นถึง 8 หมื่นล้านบาทต่อปี
แต่เมื่อเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล ก็จะทำให้ฟรีทีวีมีมากถึง 36 ช่อง กลายเป็นมหาสมุทรแห่งการแข่งขัน หมายถึง มีคู่แข่งมากขึ้น 8 เท่า แต่จำนวนคนดูในประเทศไทยแทบไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ฉะนั้น มันก็ทำให้การแย่งชิงโฆษณาของฟรีทีวีในยุคทีวีดิจิตอลต้องแข่งขันกันดุเดือดเพื่อความอยู่รอด
แต่กฎระเบียบของ กสท. กำหนดว่า ทั้งทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวีจะมีการโฆษณาได้ชั่วโมงละ 6 นาที
นี่แหละคือประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ช่อง 3 ไม่ยอมนำช่อง 3 อนาล็อกไปออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอล เพราะช่อง 3 อนาล็อกได้ขายโฆษณาล่วงหน้าไปแล้ว แถมขายในอัตราเวลาโฆษณา 12 นาทีต่อชั่วโมงเต็มพิกัดเหมือนเดิม ที่สามารถออกอากาศทั้งหนวดกุ้ง และทีวีดาวเทียมเคเบิลทีวี
สาเหตุที่แท้จริงที่ทางช่อง 3 ยังไม่ออกอากาศคู่ขนานในระบบดิจิตอลนั้น เป็นเพราะช่อง 3 เชื่อมั่นว่า ตนเองมีฐานจำนวนผู้ชมสูงกว่าช่องอื่น ๆ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปแข่งขันกับช่องดิจิตอลอื่น ๆ สู้ยอมเอากำไรบางส่วนจากช่อง 3 อนาล็อกมาอุดหนุนช่องดิจิตอล 3 ช่องที่ยังไม่ได้ลงทุนเต็มที่ไปก่อน เม็ดเงินโฆษณาที่เข้ามาตอนนี้ ก็ไม่ต้องไปแข่งกับทีวีดิจิตอลอื่น ๆ
---------------
เข้าสู่ยุคดิจิตอล ช่อง 7 ปรับตัวลดค่าโฆษณา
แม้การโฆษณาบนทีวีดิจิตอล จะยังสามารถโฆษณาได้ 12 นาทีต่อชั่วโมงเหมือนเดิม แต่สนามการแข่งขันรุนแรงมาก เพราะมีคู่แข่งเพิ่มเป็น 36 ช่อง
เมื่อช่อง 7 ได้ประมูลช่องดิจิตอลมาได้แค่ช่องเดียวก็ตาม (ทั้ง ๆ ที่ต้องการ 2 ช่อง) แต่ช่อง 7 ก็ยอมที่จะนำช่อง 7 ออริจินอล ไปออกคู่ขนานบนทีวีดิจิตอลของตัวเองด้วย
โดยช่อง 7 ใช้โปรโมชั่นค่าโฆษณาซื้อ 1 แถม 1 เช่นช่วงเวลาไพร์มไทม์ ยังมีราคานาทีละ 5 แสนบาทเหมือนเดิม แต่ซื้อ 1 แถม 1 คือ ซื้อโฆษณาช่อง 7 อนาล๊อกแต่ได้แถมโฆษณาบนช่อง 7HD พร้อมกันด้วย
หรืออย่างช่อง 9 พอเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล จากค่าโฆษณาช่วงไพรม์ไทม์ 4 - 4.5 แสนบาทต่อนาที ช่อง 9 ก็ลดราคาลงเหลือประมาณ 2.2-3.8 แสนบาทต่อนาทีเท่านั้น
นี่คือการปรับตัวเข้าสู่ทีวีดิจิตอลของทีวีที่มีคนดูอันดับ 1 และอันดับ 3 ของฟรีทีวีไทยอย่างช่อง 7 และ ช่อง 9
----------------
ช่อง 3 ขึ้นค่าโฆษณารายการเรื่องเล่าเช้านี้ อีก 10 %
ช่อง 3 ออริจินอลเป็นฟรีทีวีแต่มีรายได้จากค่าโฆษณามากที่สุดในประเทศ แม้มีจำนวนคนดูน้อยกว่าช่อง 7 อยู่เล็กน้อยก็ตาม เหตุเพราะเอเยนซี่และสินค้าต่าง ๆ สนใจลงโฆษณากับช่อง 3 มาก เพราะคนกรุงเทพฯ และคนในตัวเมืองส่วนใหญ่ชอบดูช่อง 3
เพราะช่อง 3 สนใจว่า จำนวนคนดูทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีที่นำช่อง 3 อนาล็อกไปออกนั้น มีจำนวนผู้ชมมากถึง 70 % แล้วคนดูที่ยังใช้หนวดกุ้งอยู่มีอีก 30 % ส่วนทีวีดิจิตอลนั้นยังมีคนดูน้อยมาก
ถ้าตราบใดช่องดาวเทียมและเคเบิลทีวี ที่มีคนดูจำนวน 70 % ของประเทศยังนำช่อง 3 ออริจินอลไปออกได้เหมือนเดิม ช่อง 3 ก็ไม่สนใจว่าจะต้องไปออกคู่ขนานบนทีวีดิจิตอล
ดังนั้นปี 2557 ในช่วงไพรม์ไทม์ช่อง 3 ออริจินอลยังคงราคาที่ 4.5แสนบาทต่อนาทีเหมือนเดิม
และช่อง 3 ออริจินอลเพิ่มค่าโฆษณาอีก 10 % ในรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ และเรื่องเด่นเย็นนี้ ที่มีการปรับราคาโฆษณาขึ้น 10% จากเดิมนาทีละ2 แสนบาท เป็น 2.2 แสนบาท
----------------
ยกตัวอย่างรายได้ที่หายไปแค่ช่วงไพรม์ไทม์ ของช่อง 3
อย่างละครหลังข่าวของช่อง 3 ออริจินอล ออกอากาศตั้งแต่ 20.15 - 22.45 น. เป็นเวลามากถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง ตามกฎของฟรีทีวีเดิมที่ออกอากาศได้ชั่วโมงละ 12 นาที
ช่อง 3 ก็จะสามารถโฆษณาในช่วงเวลาละครหลังข่าวได้มากถึง 30 นาที
30 นาที คูณด้วย 4.8 แสนบาท = 14,400,000 บาท
นั่นคือ ช่วงละครหลังข่าวของช่อง 3 ออริจินอล มีเงินจากค่าโฆษณาวันละ 14,400,000 บาท
ถ้า 1 เดือน ละครหลังสองทุ่มช่อง 3 จะได้ค่าโฆษณามากถึง 432 ล้านบาท !!
ถ้าช่อง 3 ไปอยู่บนทีวีดิจิตอล ก็เท่ากับลงในสมรภูมิมหาสมุทรแห่งการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ค่าโฆษณาแพงแบบเดิมไม่ได้
แต่ถ้าช่อง 3 ยังอยากออกอากาศดาวเทียมและเคเบิลทีวีด่อไป โดยไม่ไปออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอล ช่อง 3 ก็ต้องไปขอใบอนุญาตใหม่เป็นทีวีดาวเทียมอีกประเภท แต่ก็จะโฆษณาได้แค่ 6 นาทีต่อ ชัวโมงเท่านั้น
------------
รายได้จากโฆษณาเรื่องเล่าเช้านี้
รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ออกอากาศตั้งแต่ 06.00 - 09.35 น. เท่ากับ 3 ชั่วโมงครึ่ง สามารถโฆษณาได้ 42 นาที (อัตราเดิม 12 นาที/ชม.)
42 นาที คูณ 2.2 แสนบาท = 9,240,000 บาท (เก้าล้านสองแสนสี่หมื่นบาท)
ซึ่งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ สรยุทธ ใช้วิธีแบ่งสรรผลประโยชน์กับช่อง 3 ในอัตราเท่าไหร่อันนี้ผมไม่รู้
ถ้าสมมุติ ช่อง 3 กับ สรยุทธ แบ่งผลประโยชน์กันที่ 70:30 ก็เท่ากับสรยุทธได้เนื้อๆ เน็ต ๆ วันละ 2,772.000 บาทต่อวัน (สองล้านเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นสองพันบาท)
ถ้าต้องลดเวลาโฆษณาเหลือแค่ 6 นาทีต่อชั่วโมงเมื่อช่อง 3 ขอเป็นทีวีดาวเทียม ก็เท่ากับรายได้จากเรื่องเล่าเช้านี้หายไปถึง 4,690,000 บาทต่อวันเลยทีเดียว
-------------
ล่าสุด ช่อง 3 ออริจินอลเตรียมคืนเงิน 70 % ให้เอเยนซี่ หากช่อง 3 จอดำ
ช่อง 3 ออริจินอล กำลังจะยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อประธาน กสทช. เพื่อให้คุ้มครองไม่ให้คำสั่งห้ามทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีนำช่อง 3 อนาล็อกไปออกอากาศ
ซึ่งช่อง 3 ออริจินอลก็ได้เตรียมการไว้ว่า ถ้าทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีต้องจอดำสำหรับช่อง 3 ออริจินอลขึ้นมาจริง ๆ ช่อง 3 ก็จะคืนเงิน 70 % ให้ผู้ที่มาซื้อเวลาโฆษณาล่วงหน้ากับช่อง 3 ไว้แล้ว ตามรายงานข่าวจากเรื่องเล่าเช่านี้ 10 ก.ย. 2557
--------------------
สรุปบทความ
มันเป็นเรื่อง อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ช้างเลยจะยื้อไม่ให้อ้อยต้องหลุดจากปาก
เพราะช่อง 3 ขายโฆษณา 12 นาทีต่อชั่วโมงล่วงหน้าไปแล้ว ดังนั้นเงินได้มาแล้ว ก็ต้องหาทางให้เงินนั้นจากไปให้น้อยที่สุด จึงต้องยื้อให้นานที่สุด เช่นถ้ายื้อได้ 1 วัน ก็สามารถเซฟเงินคืนค่าโฆษณาได้ร่วม 100 ล้านแล้ว
ช่อง 3 สามารถประมูลช่องทีวีดิจิตอลได้มากถึง 3 ช่อง คือ ช่อง 3 HD ช่อง 3 SD และช่อง 3 FAMILY
ดังนั้นช่อง 3 จึงมีช่องทั้งหมด 4 ช่องที่แตกต่างกัน คือช่อง3 ออริจินอล ช่อง 3 HD ช่อง 3 SD และช่อง 3 FAMILY
แต่เพราะคนดูในประเทศไทยส่วนใหญ่ดูทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี มากถึง 70 % ซึ่งผู้ชมส่วนนี้ก็จะไม่สนใจติดทีวีดิจิตอลเท่าไหร่นัก เพราะที้งทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีก็นำทีวีดิจิตอลไปออกอากาศอยู่แล้ว
จึงทำให้ช่อง 3 คิดกำไร 2 ต่อ เรื่องอะไรจะต้องสูญเสียช่องดิจิตอลที่อุตส่าห์ประมูลมาได้ตั้ง 3 ช่องไปฟรี ๆ 1 ช่อง หากต้องออกคู่ขนาน สู้ขายโฆษณาทั้ง 4 ช่องที่แตกต่างกันไปเลยดีกว่า
ซึ่งต่างจากช่อง 7 ซึ่งถือเป็นคู่แข่งหลักของช่อง 3 คือ ช่อง 7 นำช่องออริจินอลไปออกคู่ขนานบนช่อง 7HD ก็เท่ากับ ช่อง 7 มีแค่ช่องเดียวเหมือนเดิม รับโฆษณาได้เงินเท่าเดิม แต่ต้องนำไปออกทั้งอนาล็อกและดิจิตอลคู่ขนานกัน
ส่วนช่อง 3 ออริจินอลเชื่อมั่นว่า ตัวเองมีคนดูมาก และมากที่สุดในหลายช่วงเวลาเช่น ช่วงข่าว ช่วงละคร และอีกหลายช่วง เรื่องอะไรจะต้องสูญเสียค่าโฆษณาไปตั้ง 6 นาทีต่อชั่วโมง แถมเสียช่องดิจิตอลไปฟรี ๆ อีกหนึ่งช่องเหมือนที่ช่อง 7 ทำ สู้เก็บค่าโฆษณาในช่องที่แตกต่าง 4 ช่องไม่ดีกว่าเหรอ
เพราะช่อง 3 หวังใช้เรื่องคนดูส่วนใหญ่ 70 % ของประเทศเป็นตัวประกัน ทั้ง ๆ ที่การที่ทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวี นำช่อง 3 ออริจินอลไปออกอากาศก็เท่ากับมีเวลาโฆษณาเกิน 6 นาทีต่อชั่วโมง ตามข้อกำหนดของ กสทช. ที่กำหนดให้ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี และทีวีดจิตอล กำหนดให้โฆษณาได้ไม่เกิน 6นาที/ชม.
ช่อง 3 คุ้มค่าทุก 12 นาที กำไรเนื้อ ๆ ของช่อง 3 และสรยุทธ
คลิกอ่าน สรยุทธหน้าด้าน แถยึดประกาศ คสช. แล้วจับคนดูดาวเทียมและเคเบิลทีวีเป็นตัวประกัน
คลิกอ่าน สุภิญญา กลางณรงค์ เปรียบเทียบช่อง 3 ช่อง 7 ใครเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่ากัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น