ฮาเรื่องไร้สาระบ้าง ฮาเรื่องมีสาระบ้าง กับนักการเมืองและบุคคลสาธารณะ / ใหม่เมืองเอก (akecity)
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ควรจะเชื่ออาจารย์เจษฏา เพื่อสนับสนุนพืชจีเอ็มโอ GMOs ดีไหม
นั่งดูอาจารย์เจษฎา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้โด่งดังมาจากเครื่องGT200 ผู้สนับสนุนพืช GMOs (พืชตัดแต่งยีนพันธุ์กรรม) ได้มาเถียงกับคุณวิฑูรย์ ผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี (BIO THAI) ผู้คัดค้านพืชGMOs มาหลายวัน
ผมดูมาตั้งแต่ในรายการเถียงให้รู้เรื่อง มาจนถึงเจาะข่าวเด่นกับสรยุทธ ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลหลักฐานตัวเลขมาอ้างอิงกันยกใหญ่
ซึ่งคนดูก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า ข้อมูลของใครจริงของใครเท็จ แต่ที่แน่ ๆ เป็นข้อมูลที่อ้างตัวเลขมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น
ฝ่ายอาจารย์เจษฏา ก็ยกเหตผุลว่า ถ้าเราไม่วิจัยเรื่องGMOs เราจะล้าหลังในเรื่องนี้เพราะทั่วโลกเขาวิจัยกันทั้งนั้น
ส่วนฝ่ายคุณวิฑูรย์ ก็บอกว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในโลกกำลังต่อต้านพืช GMOs กันมากขึ้นแล้ว
อาจารย์เจษฏา ก็ยกตัวอย่างว่า พืช GMOs มันดีอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะช่วยให้ผลผลิตมากขึ้น จะช่วยลดการใช้ยาฆ่าแมลงในพืชลง
(แต่ในความจริง พืช GMOs ของบริษัทมอนซานโต้ สหรัฐอเมริกา ได้ปลูกในหลายประเทศ แม้จะได้ผลผลิตมากขึ้นก็จริง แต่พืชกลับต้องใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงมากขึ้น ซึ่งเข้าทางมอนซานโต้เลย)
ส่วนคุณวิฑูรย์ ก็บอกว่า ทุกวันนี้เกษตรอินทรีย์ก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ก็มีผลผลิตดีกว่าพืชที่ปลูกแบบใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงอยู่แล้ว แถมพืชอินทรีย์ยังปลอดภัยต่อมนุษย์แน่นอน 100 %
ในขณะที่อาจารย์เจษฎา ก็บอกว่า พืช GMOs ก็ปลอดภัย แต่มีคนสร้างกระแสให้คนในโลกหวาดกลัวพืช GMOs เกินเหตุ แล้วฝ่ายอาจารย์เจษฎา ก็อ้างว่า ไม่ได้ต่อต้านเกษตรอินทรีย์ ก็ควรทำต่อไป แต่ไม่ควรมาขัดขวางการทดลองวิจัยในเรื่องพืช GMOs เพราะถ้าไทยเราไม่ทดลองเรื่องนี้ ไทยเราจะล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม พม่า จีน และอีกมากมายที่เขาปลูกกันแล้ว
ในขณะที่คุณวิฑูรย์ ก็บอกว่า หากปลูกพืชGMOs อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนเข้ามาในพืชทั่วไป จนกลายเป็นพืชGMOs ไปจนหมด แล้วเราจะหาพืชธรรมชาติล้วน ๆ อีกไม่ได้
แต่อาจารย์เจษฎา แย้งว่า ในการทดลองสามารถควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนออกมาภายนอกได้แน่นอน !!
ในขณะที่คุณวิฑูรย์ก็บอกว่า แม้จะอ้างว่าควบคุมได้ แต่ก็เคยมีการหลุดออกมาปนเปื้อนแล้ว แถมกว่าจะแก้ไขได้ก็เสียหายและเสียงบประมาณมาก และในวันนี้กระแสโลกกำลังต้องการเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช่ GMOs หากการเกษตรของไทยมีการปนเปื้อน GMOs จะเป็นการทำลายตลาดการเกษตรของไทยเอง เพราะต่างชาติจะไม่เชื่อถือและไม่ยอมรับผลผลิตการเกษตรของไทย
ในขณะที่ฝ่ายอาจารย์เจษฎาบอกว่า ถ้ารอบประเทศเราเขาปลูกGMOs สุดท้ายมันก็มาปนเปื้อนไทยเราอยู่ดี แล้วเราจะรอให้ประเทศอื่นก้าวหน้าใปเหรอ
-----------------------
ที่ผมเกริ่นคร่าว ๆ มา ถ้าคุณผู้อ่าน อ่านดี ๆ ฝ่ายอาจารย์เจษฎาจะเป็นการโต้แบบหักล้างแบบการโต้วาที พูดดูสวยหรูว่า GMOs ไม่อันตรายอะไร ไทยเราควรปลูกเพื่อทดลองศึกษา อย่างเช่น ที่บอกว่าควบคุมการปนเปื้อนของGMOs ต่อพืชในธรรมชาติได้
แต่พอเจออีกประเด็น ฝ่ายอาจารย์เจษฎาก็กลับหักล้างว่า ถ้าต่อไปประเทศเพื่อนบ้านเขาปลูกรอบบ้านเรา มันก็ต้องข้ามมาปนเปื้อนได้อยู่ดี
(อ้าว ? ตกลงที่เถียงกันอยู่คือเรื่องการทดลอง หรือการปลูกในสภาพแวดล้อมตามปกติกันแน่ครับอาจารย๋ ? อาจารย์กำลังข้ามไปเรื่องเพื่อนบ้านปลูกในสภาวะปกติแล้วนะครับ)
แล้วไหน อ.เจษฎา บอกว่า ในการทดลองมันสามารถควบคุมไม่ให้ออกมาปนเปื้อนได้ไม่ใช่เหรอ ??
แล้วถ้าไม่เพาะปลูกในระบบโรงเรือนปิด 100 % ผมก็นึกไม่ออกว่าจะป้องกันการแพร่กระจายออกไปสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างไร แล้วมันมีพืชสักกี่ชนิดกันที่เติบโตได้ดีในระบบปิด
ที่มันเป็นปัญหาเพราะไปทดลองกันในที่แจ้งนี่แหละ แค่ผึ้งบินตามตอมเกสรพืช GMOs แล้วบินไปตอมพืชที่ไม่ใช่ GMOs มันก็แพร่ขจายพันธุ์ได้ง่าย ๆ แล้ว
และที่ อ.เจษฎา อ้าง คือการอ้างแบบเข้าข้างตัวเองว่า ประเทศเพื่อนบ้านรอบบ้านเราจะปลูกพืชจีเอ็มโอเพื่อการพาณิชย์ หมายถึง การปลูกจริง ๆ จัง ๆ ในสภาพแวดล้อมปกติ ไม่ใช่ในการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งแบบนั้นย่อมปนเปื้อนข้ามประเทศได้แน่นอน
ซึ่งผมเชื่อว่า ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เขาคงไม่เห็นแก่เงินมากเท่าคนไทยบางคนที่ยอมเป็นเครื่องมือให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ เพราะเพื่อนบ้านเราเขาดูความล้มเหลวของไทยเพื่อไว้เยี่ยงอย่างจะได้ไม่ลอกเลียนแบบ
--------------------
นี่ไง ข่าวมะละกอจีเอ็มโอจากการทดลองจีเอ็มโอหลุดรอดออกมาภายนอก
ไหนใครบอกว่า ในการทดลองสามารถควบคุมการปนเปื้อนออกมาภายนอกได้ ??
http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=3471
เป็นไงล่ะ ปนเปื้อนหลุดออกมาแล้วจากการทดลอง แต่ไม่สามารถเอาผิดใครได้ เพราะยังไม่มีกฎหมายเอาผิดและบทลงโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้
แม้กรณีนี้จะเป็นการที่ผู้ส่งออกไม่ระบุให้ชัดเจนว่า มะละกอที่ส่งจากไทยไปเป็นมะละกอที่มีจีเอ็มโออยู่ก็ตาม (ก็เพราะไม่รู้ไง) เนื่องจากทางการญี่ปุ่นไม่ได้ห้ามนำเข้าพืชจีเอ็มโอ แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่า เป็นพืชจีเอ็มโอหรือไม่
แต่จากข่าวนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า การป้องกันไม่ให้เกิดการปนเปื้อนจีเอ็มโอในพืชพันธุ์ โดยเฉพาะในไทย เลยนั้นทำได้ยาก
http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/23470/
------------------
เถียงให้ตายในวันนี้ก็ไม่มีฝ่ายชนะหรอกครับ เชื่อผม แต่ผมจะยกตัวอย่างให้คุณผู้อ่านคิดตามผมแล้วกันว่า ควรเชื่อฝ่ายไหนดีกว่า
เช่นประเด็นที่ชอบอ้างว่า ถ้าไม่ทำ ไม่ทดลอง แล้วไทยเราจะล้าหลังประเทศอื่น
ประเด็นนี้ผมขอตอบว่า ในเรื่องเทคโนโลยีไทยเราน่ะล้าหลังเขาทั้งนั้นแหละครับ ทุกวันนี้ไทยเรายังผลิตเครื่องยนต์เองไม่ได้เลย แล้วถ้ามันจะล้าหลังเรื่อง GMOs อีกสักเรื่อง ไทยเราจะเดือดร้อนสักแค่ไหนเชียว (แต่ผมว่าไทยเราไม่เดือดร้อนเรื่องนี้หรอก ลองอ่านเหตุผลของผมต่อไป)
อย่าลืมว่า ประเทศไทยเราไม่ใช่ประเทศที่ขาดแคลนอาหาร ไทยเราผลิตอาหารมากเกินความต้องการด้วยซ้ำ ไทยเราถือเป็นผู้ส่งออกอาหารายใหญ่ของโลก ซึ่งพอผลผลิตเกษตรออกมาคราวเดียวกันมาก ๆ แล้วเป็นไงล่ะ ราคาก็ตก เกษตรกรก็ขาดทุน จนต้องออกมาประท้วงเรียกร้องความช่วยเหลือทั้งปีทั้งชาติใช่ไหม ?
ประเด็นต่อมา เรื่อง จีเอ็มโอ ช่วยให้ใช้เรื่องยาฆ่าแมลงลดลง
ประเด็นเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเรื่องปฏิวัติสีเขียว ก็คือ การที่สหรัฐอเมริกา และธนาคารโลก มาสนับสนุนส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนาในเอเซีย เช่นประเทศไทยปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือปลูกพืชชนิดเดียวทีละมาก ๆ ในพื้นที่ขนาดใหญ่ ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรและการใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อการค้าการส่งออก แล้วชาวนาไทยจะรวย
ซึ่งรัฐบาลไทยในปี พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ก็เลยออกแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 สอนให้เกษตรกรไทยหันมาใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้พันธุ์พืชที่ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต เพื่อเน้นการส่งออกเอาเงินตราเข้าประเทศ
และนับตั้งแต่นั้นมา ชาวนาไทยก็เปลี่ยนแปลงการปลูกพืชแบบดั้งเดิม จนตกเป็นขี้ข้าปุ๋ย ขี้ข้ายาปราบศัตรูพืช ขี้ข้ารถไถ และก็จนหนักเป็นหนี้มาจนปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้การปลูกข้าวแบบดั้งเดิม ชาวนายังมีที่ดินเป็นของตัวเอง ยังเลี้ยงลูกได้เป็นโขยง และไม่มีหนี้สิน
แต่พอเกษตรกรไทยเชื่อเกษตรแนวใหม่ตามที่รัฐบาลไทยในตอนนั้นแนะนำ หรือการปฏิวัติสีเขียวของอเมริกาเป็นต้นมา เกษตรกรไทยโดยเฉพาะชาวนาก็ยากจนลงขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เพราะหลงเชื่อว่า ปลูกพืชตามแนวฝรั่งบอกมา จะรวยนี่แหละครับ
สุดท้ายผลจากการปฏิวัติสีเขียว คนที่รวยคือนายทุนการเกษตร ส่วนเกษตรกรไทยที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวจนยิ่งหนักกว่าเดิม
แนะนำอ่าน ความล้มเหลวของชาาวนาไทยจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1
ทุกวันนี้แม้แต่ชาวนาอินเดีย ออกมาต่อต้านบริษัทมอนซานโต ของอเมริกา ที่ทำลายวิถีการเกษตรดั้งเดิมของอินเดีย ทำให้เกษตรกรต้องไปซื้อกระทั่งเมล็ดพันธุ์พืชจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้มาปลูก ตกเป็นเบี้ยล่าง หรือแปลให้ตรงคือ คนอินเดียตกเป็นทาสผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตรของบริษัทการเกษตรจากต่างชาติไปแล้ว
แนะนำอ่าน ทำไมชาวนาอินเดียถึงยากจนเหมือนชาวนาไทย
------------------------
ที่ผมยกตัวอย่างเรื่อง ปฏิวัติสีเขียว ที่ทำให้เกษตรกรไทยยากจน หันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยว หันมาใช้ปุ๋ย ใช้ยาฆ่าแมลงกันมาก จนหลงลืมวิถีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมที่เคยทำให้เกษตรกรไทยอยู่ได้ไม่ยากจนเหมือนในยุคปัจจุบัน นั่นคือ เกษตรสวนผสม เกษตรอินทรีย์
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 50 กว่าปีก่อนที่มีการปฏิวัติสีเขียวเกิดขึ้น พวกบริษัทเกษตรของฝรั่งก็อาศัยนักวิชาการแบบอาจารย์เจษฏานี่แหละครับ ออกมายกวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี งานวิจัย มาโน้มน้าวรัฐบาลไทย มาโน้มน้าวเกษตรกรไทยมากมาย เพื่อให้หลงเชื่อว่า ทำการเกษตรแบบปฏิวัติสีเขียวสิดี ผลผลิตจะได้เยอะ จะได้ส่งออกไปขาย จะได้รวย
แต่พอต้องใช้ปุ๋ยเคมี ก็ยกงานวิจัยมากมายว่า ปุ๋ยเคมีดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีอันตรายกับคนและสิ่งแวดล้อมหรอก ขนาดประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปเขาก็ทำใช้กันแล้ว ถ้าปุ๋ยเคมีไม่ดี ประเทศเจริญแล้วเหล่านี้ เขาคงไม่ใช้กันหรอก
หรือจะยาปราบศัตรูพืช ก็ใช้ไปเถอะ ถ้าใช้ในปริมาณที่กำหนดไว้ ไม่เป็นอันตรายแก่คน สัตว์และสิ่งแวดล้อมหรอก
ซึ่งกว่าไทยเราจะรู้ตัวว่า โดนหลอกให้เป็นทาสปุ๋ย ทาสยา ทาสเมล็ดพันธุ์พืช ของบริษัทการเกษตรทั้งของเจี่ยไต๋ และบริษัทยักษ์การเกษตรต่างชาติ ก็เวลาล่วงเลยมาร่วม 50 ปี ทำให้ตอนนี้เราจะปรับเปลี่ยนให้เกษตรกรไทยกลับไปใช้วิถีเกษตรอินทรีย์อีกครั้ง ก็ยากเย็นเข็ญใจ
ก็อย่างที่ผมเขียนในบทความ ทีวีถูกลง ข้าวเปลือกแพงขึ้น แต่ชาวนาไทยยังจนกรอบเหมือนเดิม นั่นแหละครับ คือ ตัวอย่างที่ดีว่า ทำไมข้าวเปลือกแพงขึ้น ๆ ทีวีสียิ่งถูกลง ๆ แต่ประเทศที่ผลิตทีวีสียังรวยเหมือนเดิม และชาวนาไทยก็ยังจนเหมือนเดิม
ผมมองว่า เรื่องพืช GMOs ก็คือ การปฏิวัติสีเขียวยุคใหม่นั่นแหละ ประเทศที่เขาขาดแคลนอาหาร เขาอาจต้องการพืชแบบนี้ไปปลูก เพราะมันอาจช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารในประเทศของเขาได้
แต่ผลกระทบจากพืช GMOs นั้น มันต้องดูกันยาว ๆ ว่า ถ้าคนเราบริโภคอาหารที่เป็น GMOs กันอย่างจริงจังจริง ๆ สัก 30 ปีขึ้นไป จะมีผลกระทบอะไรต่อชีวิตมนุษยชาติบ้าง หมายถึง ถ้าคนเรากินอาหารทุกชนิดในแต่ละวันจากพืช GMO จริง ๆ จะผลดีหรือผลร้าย ก็ต้องดูกันในระยะยาวมากกว่า 30 ปีเป็นอย่างน้อย
เหมือนที่ปฏิวัติสีเขียวครั้งแรก กว่าคนไทยและคนในยุโรปและอเมริกาจะเริ่มฉลาดว่า การใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลงมันไม่ดีเหมือนที่เชื่อเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ก็ทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปมากแค่ไหน ?
คนในโลกป่วยเป็นมะเร็งและโรคอื่น ๆ มากขึ้นแค่ไหน ? จนตอนนี้ต้องเริ่มหันกลับมาสนับสนุนส่งเสริมให้เป็นเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์กันอีกครั้ง
ให้คนประเทศอื่นเขาทดลองกินพืช GMOs ไปเถอะ เราคนไทยไม่ต้องเสร่อไปแย่งกินพืช GMOs กับเขาหรอก
ผมอยากจะบอกว่า การเกษตรวิถีธรรมชาติ หรือพืชพรรณธรรมชาติแท้ ๆ เลี้ยงดูสรรพชีวิตในโลกนี้มาตั้งเริ่มกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก พืชธรรมชาติแท้ ๆ เลี้ยงดูมนุษยชาติมานับแสนปีมาแล้ว เกษตรอินทรีย์เป็นสิ่งที่เหมาะกับมนุษย์แน่นอน
แต่พืช GMOs นั้น จะดีจริงหรือเปล่า ไม่มีใครยืนยันได้ 100 % ในวันนี้หรอกครับ มันต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกนาน ต้องดูกันยาว ๆ ซึ่งถ้าเกิดรัฐบาลไทยเกิดเชื่ออาจารย์เจษฏา หันสนับสนุนให้มีการทดลองเรื่องพืช GMOs ในไทย แล้วก็ยอมให้มีการขายอาหาร GMOs ได้อย่างเสรี
ถ้าผ่านไปอีก 30 ปี แล้วเพิ่งจะรู้ว่า พืช GMOs เป็นหายนะ ถามว่า ตอนนั้นเราจะเอาผิดใครได้ครับ ?
สมมุติเช่น ถ้าอีก 30 ปีข้างหน้า เกิดค้นพบว่า การกินพืชGMOs ต่อไปนานๆ อาจทำให้อายุขัยมนุษย์สั้นลง ๆ เรื่อย ๆ หรือ กินพืช GMOs แล้ว หน้าตามนุษย์เริ่มเหมือนมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือเกิดเป็นมนุษย์กลายพันธุ์มากขึ้นล่ะ
รูปตัวอย่าง เมื่ออาจารย์เจษ เริ่มกลายพันธุ์จากการกินอาหารจีเอ็มโอ
"ถ้าอาหารจีเอ็มโอไม่ได้ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยตามอ้าง แต่อาจทำให้มนุษย์กลายพันธุ์เป็นพวก X Men ในวันข้างหน้าล่ะ ? แต่ X men ในอนาคตจริง ๆ อาจไม่ได้เก่งเหมือนในหนังไซไฟ แต่กลายพันธุ์เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งมนุษย์ล่ะ? ใครจะรับผิดชอบ ฝากให้คิด "
ถามว่า ถึงตอนนั้นจะเอาผิดอาจารย์เจษฎา ตอนนั้นได้ไหม ?
ก็ไม่น่าได้ !!
แม้อาจารย์เจษฎาอาจยังไม่ตายในอีก 30 - 40 ปีข้างหน้า แต่ถามว่า ถึงวันนั้นมันจะคุ้มกับที่คนไทยอาจต้องเสียสุขภาพไปเพราะพืช GMOs หรือไม่ ?
เอาอาจารย์เจษฏา ทั้งครอบครัวลูกหลานไปประหารชีวิตยังไม่คุ้มเลย
เหมือนในวันนี้ การเกษตรไทยเดินทางผิดมา 50 ปี จะไปเอาผิดรัฐบาลปี 2504 หรือเอาผิดนักวิชาการไทยที่จบจากเมืองนอกเมืองนาที่สนับสนุนให้รัฐบาลไทยเขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ก็เอาผิดไม่ได้เลย จริงไหม ??
โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่า ถ้าประเทศไทยไม่ศึกษาพืช GMOs จะล้าหลังเรื่องพืช GMOs ก็ไม่เห็นเป็นไร เอาสมองไปพัฒนาเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อไทยมากกว่านี้ดีกว่า เพราะถ้าประเทศไทยเน้นเรื่องเกษตรวิถีธรรมชาติได้ทั่วประเทศจริง ๆ ดิน น้ำ เราจะกลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต ปลูกอะไรก็งาม ก็ดีทั้งนั้นแหละ
ถ้าต่อไปเกษตรกรไทยหันมาปลูกพืช GMOs กัน เดี๋ยวก็ต้องตกเป็นทาสเมล็ดพันธุ์พืชกับบริษัทการเกษตรยักษ์ใหญ่ซ้ำรอยเดิมอีก แล้วต่อไปพืชพันธุ์ธรรมชาติแท้ ๆ ของไทยก็อาจสูญสิ้น
ผมสงสัยว่า ที่ อ.เจษฎา ออกมาสนับสนุนGMOs น่ะ เป็นการพูดเพื่อช่วยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตร ที่กำลังอยากจะทดลองเรื่องนี้ในไทยรึเปล่า ?
พืช GMOs อาจเหมาะกับประเทศที่แห้งแล้ง มีภูมิประเทศไม่เหมาะสมกับการเพาะปลูก จึงทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร เขาถึงต้องดิ้นรนหาทางค้นคว้าวิจัยพืช GMOs เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนอาหารของเขา เพื่อจะได้ไม่ต้องมาซื้ออาหารราคาแพงจากต่างประเทศ เช่นประเทศไทย ไง
ถ้าทั้งโลกปลูกพืช GMOs กันหมด มันก็เท่ากับเหมือนกันหมด ก็ไม่แตกต่าง ซึ่งถ้ามีเหมือนกันหมด ราคามันก็ถูกลงน่ะสิครับ
แต่ถ้าไทยเราไม่เหมือนประเทศอื่นยืนหยัดยืนยันไม่ใช้ GMOs เลย เมื่อไทยเราแตกต่าง เราก็จะเป็นส่วนน้อย เมื่อเป็นส่วนน้อยหายาก ย่อมมีค่ามากกว่าจริงไหม ?
เขาเรียกว่าผลิตอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดี ย่อมขายได้ราคาดีกว่าอาหารทั่วไป อย่าตามตูดฝรั่งมันไปทุกเรื่องเลย หัดฉีกแนวเป็นของตัวเองเสียบ้าง
ดูอย่างประเทศภูฏาน เขาไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงในการเพาะปลูก เพราะเขาถือว่า ฆ่าแมลงก็ผิดศีล และเขาไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูกด้วย เขาก็ไม่เห็นบ่นว่า ตัวเองล้าหลังอะไร แม้อาจดูว่าเขาล้าหลังในสายตาของเราก็ตาม แต่ผมว่า ถ้าดูดี ๆ ภูฏานเขาเจริญกว่าไทยเราเยอะครับ เพราะเขาไม่ตกเป็นทาสปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแแมลงเลย เขาก็อยู่ได้ จริงไหม ?
ผมชอบคำว่า "ป้องกัน ดีกว่าแก้ไข"
พืชเกษตรอินทรียน่ะปลอดภัยต่อสรรพชีวิตแน่นอน แต่พืช GMOs ปลอดภัยแน่จริงหรือ ?
ถามว่า มีใครกล้าเอาหัวและชีวิต 7 ชั่วโคตรในตระกูลมารับประกันความปลอดภัยพืช GMOs ไหม ถ้าในอีก 30 ปีพบว่ามันไม่ปลอดภัยจริง ? (ถามเล่น ๆ แต่เน้นความหมาย)
แต่ถึงพืช GMOs จะปลอดภัยจริง ผมก็ว่า ไทยเราก็ไม่เดือดร้อน ถ้าจะโง่ในเรื่องนี้อีกสักเรื่อง ไทยเราก็พัฒนาพันธุ์พืชตามแนวเทคโนโลยีอิงธรรมชาติต่อไป จริงไหม
รัฐบาลไทยควรมุ่งพัฒนาเกษตรอินทรีย์ให้จริงจัง เพราะที่ผ่านมานักการเมืองกับนายทุนการเกษตรมันพวกเดียวกัน เอื้อประโยชน์ให้กัน เลยทำให้การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร และไม่ทั่วถึง
เราไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ควรเลือกใช้เทคโนโลยีให้ฉลาดกว่าในอดีต เลิอกในสิ่งที่เหมาะกับบ้านเมืองเรามากที่สุด
----------------------
ประเด็นที่อาจารย์เจษฏาแพ้ ในการถกเรื่อง GMOs
หลังจากวันนี้ 3 ต.ต. 57 ผมได้ดูการถกเรื่อง GMOs ในเจาะข่าวเด่นตอนที่ 3 แล้ว
ผมพอสรุปได้เลยว่า ฝ่ายอาจารย์เจษฎาแพ้ชัดเจนในตอนจบนี่แหละ
เพราะฝ่ายคุณวิฑูรย์ ได้เสนอว่า ไม่ได้คัดค้านการทดลองวิจัย GMOs แต่ขอให้ทำในระบบปิดเพื่อป้องกันไม่ให้พืช GMOs เกิดการกระจายปนเปื้อนออกไปในสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและแก้ไขได้ยาก
ที่สำคัญควรมีกฎหมายที่ควบคุมเรื่อง GMOs ให้ชัดเจนในเรื่องนี้ก่อน ไม่เช่นนั้น หากเกิดปัญหามีพืช GMOs หลุดออกไปปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมภายนอกแล้ว เราจะเอาผิดและหาคนรับผิดชอบในค่าเสียหายเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะยังไม่มีกฎหมายและบทลงโทษเรื่องนี้
และถ้าจะทดลองวิจัยเรื่องพืช GMOs ในไทย ควรทดลองกับพืชที่ไม่ใช่พืชที่มาเป็นอาหารของสัตว์และมนุษย์ เช่น ควรไปทดลองในพืชที่นำไปผลิตเป็นพลังงานเป็นต้น
แต่พอคุณวิฑูรย์ เสนอแบบนี้ ฝ่ายอาจารย์เจษฎากลับให้คำตอบเรื่องนี้ไม่ชัดเจน ดูเหมือนอาจารย์เจษฎาคิดจะปกป้องพวกที่อยากทดลอง มากกว่าจะปกป้องประเทศชาติ เพราะแกจะให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มการทดลองก่อนมีกฎหมายควบคุม ซึ่งก็มีหลายมหาวิทยาลัยทดลองไปแล้วด้วย
มีข่าวลือว่า พวกบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งไม่อยากทดลอง GMOs ในประเทศตัวเองอีกแล้ว เลยกำลังหาประเทศโง่ ๆ เพื่อมาทดลองต่อ จริงหรือไม่ อ.เจษฎา ว่าไง ??
(สรยุทธ งก !! ต้องไปดูคลิปบนยูทูปครับ)
ฝากให้คิด
"คุณผู้อ่านเชื่อผมไหม ไอ้พวกปากบอกสนับสนุนพืชจีเอ็มโอ แต่ถ้ามันไปซื้ออาหารสำเร็จรูปกิน แล้วมีป้ายข้างผลิตภัณฑ์เขียนว่า ผลิตภัณฑ์นี้ผลิตจากพืชจีเอ็มโอ ไอ้พวกปากดีที่สนับสนุนพืชจีเอ็มโอ มันก็จะไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีจีเอ็มโอกินอยู่ดี"
ที่จริงผม ใหม่เมืองเอก ไม่ได้คัดค้านเรื่องพืชจีเอ็มโอแบบหัวชนฝานะครับ เช่น ถ้าเป็นพืชที่สัตว์และมนุษย์ไม่ได้กิน เช่น พืชที่ให้ผลผลิตเพื่ออุตสาหกรรม เช่น ไม้ก่อสร้าง ยางพารา หรือ พืชน้ำมันบางชนิดเพื่อผลิตพลังงานทดแทน
ถ้าพืชจำพวกนี้ ผมไม่คัดค้านเลยถ้าจะเป็นพืชจีเอ็มโอ
อีกทั้งวันนี้กฎหมายไทยยังไม่มีการควบคุมเรื่องจีเอ็มโอโดยตรง เช่น ถ้าบ้านผมปลูกพืชไม่ใช่จีเอ็มโอ แต่เพื่อนบ้านปลูกพืชจีเอ็มโอ แล้วต่อมาพืชของเพื่อนบ้านเกิดเข้ามาปนเปื้อนในไร่ของผม ผมควรจะฟ้องร้องเอาผิดและเรียกร้องค่าเสียหายจากเพื่อนบ้านได้ เป็นต้น
ในการเถียงของคุณวิฑูรย์ กับ อาจารย์เจษฎา
คุณวิฑูรย์ ย้ำว่า ไม่ได้คัดค้านการทดลอง หากไทยเรามีกฎหมายควบคุมเรื่องนี้ และมีบทลงโทษออกมาแล้ว
แต่ที่เป็นอยู่ในวันนี้คือ บ.มอนซานโต้ เขามาวิจัยเรื่องจีเอ็มโอในไทยมาหลายปีแล้ว และมีการหลุดรอดออกมาปนเปื้อนจนเป็นข่าว แต่ไม่มีกฎหมายไทยไปเอาผิด มอนซานโต้ กับ คณะวิจัยได้เลย เพราะไม่มีกฎหมายเฉพาะ และไม่มีบทลงโทษและการกำหนดเรื่องชดใช้ค่าเสียหายครับ
ผมจึงเห็นด้วยกับคุณวิฑูรย์ ว่า ต้องมีกฎหมายก่อน ถึงอนุญาตให้วิจัยได้ แต่ทุกวันนี้ไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุม แต่ได้ทำการวิจัยจีเอ็มโอไปก่อนแล้ว นี่แหละผมถึงบอกว่า อาจารย์เจษฎา แกแพ้ประเด็นนี้ไปแล้ว
แต่จากข้อมูลของไบโอไทย คือ ร่างกฎหมายใหม่ที่ผลักดันโดย มอนซานโต้ กลับไม่มีการระบุการชดใช้ค่าเสียหาย หากมีพืชจีเอ็มโอหลุดจากการทดลองหลุดออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก
นี่แหละครับ ประเด็นสำคัญคือ ตรงนี้ ที่ไบโอไทยและชีววิถีเขากำลังต่อสู้
อ่านได้ตามลิงค์นี้ http://www.biothai.net/node/28655
คลิกอ่าน แตกประเด็นต่อจากอาจารย์เจษฎา กรณีมะละกอไทยถูกญี่ปุ่นตีกลับ
คลิกอ่าน นักศึกษาปริญญาเอกด้านวิจัยพันธุ์ข้าวโพดในแคนาดา เตือนสติไทยเรื่องพืชจีเอ็มโอ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น