วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ถอดผ้าเหลืองธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดปากน้ำต้องแสดงความรับผิดชอบ







ตงฟางปุกป้าย แห่งลัทธิจานบิน

วานนี้ 18 ก.พ. 2558 คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ได้เชิญผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาชี้แจง ประกอบหลักฐานต่างๆ จำนวนมาก

ในที่สุดที่ประชุมมีมติชี้ว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม

ต่อมาในวันเดียวกัน รายการ ตอบโจทย์ ทางไทยพีบีเอส ก็ได้เชิญนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธาน กมธ.ศาสนา.สปช. และนายสันติสุข โสภณศิริ กรรมการที่ปรึกษามูลนิธืเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป มาร่วมรายการเพื่อพูดถึงการปาราชิกของธัมมชโย

ซึ่งผมจะขอสรุปความเห็นของผู้ร่วมรายการทั้งสองท่านให้คุณผู้อ่านได้เห็นคร่าว ๆ แต่ที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษคือความเห็นของคุณสันติสุข โสภณศิริ ที่มีข้อน่าสนใจอย่างมาก

ก่อนอื่นขอสรุปความเห็น คุณไพบูลย์ นิติตะวันก่อน


http://imgur.com/tbrRwuQ,taacYXK,V7vhi3P,KqwQ5SS#0
คุณไพบูลย์ จะพูดถึงพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีทั้งหมด 5 ฉบับที่เกี่ยวกับการปาราชิกของธัมมชโย

โดยใน 2 ฉบับแรกเป็นพระลิขิตที่ไม่เป็นทางการ แต่อีก 3 ฉบับต่อมาเป็นพระลิขิตที่เป็นทางการ ซึ่งมหาเถระสมาคมก็มีมติรับรองพระลิขิตทั้ง 3 ฉบับของสมเด็จพระสังฆราชว่า เป็นจริง และถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามกฎมหาเถรสมาคม และถูกต้องตามพระธรรมวินัยแล้ว

ซึ่งคุณไพบูลย์ ได้อธิบายว่า การปาราชิกของธัมมชโยในตอนนั้น มีทั้งสิ้น 2 เรื่องคือ

1. เรื่องบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยก เข้าข่ายอนันตริยกรรมมีความผิดขั้นปาราชิก

2. เรื่องยักยอกที่ดินของวัดมาเป็นของตน จึงเป็นเหตุให้ปาราชิก แม้ภายหลังธัมมชโยจะนำที่ดินคืนวัดแล้วก็ตาม แต่ไม่อาจลบล้างความผิดฐานปาราชิกได้ เพราะกฎหมายทางโลกกับพระธรรมวินัย เป็นคนละส่วนกัน

ส่วนร่วมฟอกเงินหรือยักยอกเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ก็เป็นความผิดหลังปาราชิกไปแล้ว

คุณไพบูลย์ เน้นว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2542 ว่า ธัมมชโยได้ปาราชิกขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่กลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ จากมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาในการไปถอดผ้าเหลืองธัมมชโยออกเลย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ที่วงการสงฆ์ไทยไม่กล้าไปเอาผิดโทษปาราชิกกับธัมมชโย

ซึ่งตอนนี้ทาง คณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็รอว่า ทางมหาเถรสมาคมและสำนักพระพุทธศาสนาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งถ้าถอดผ้าเหลืองธัมมชโยไม่ได้ สงสัยคงต้องถึงขั้นปฏิรูปมหาเถรสมาคมและสำนักพระพุทธศานาครั้งใหญ่ไปด้วย

------------------------

ความเห็นของคุณ สันติสุข โสภณศิริ ซึ่งน่าสนใจมาก



คุณสันติสุข โสภณศิริ กรรมการที่ปรึกษามูลนิธืเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ผู้ร่วมรายการอีกท่าน ได้แสดงความเห็นอย่างน่าสนใจมาก โดยคุณสันติได้ยกกฎหมายตรา 3 ดวง ในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรากฎหมายตรา 3 ดวงที่ทรงนำแบบอย่างมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา มาใช้เพื่อปกป้องและบำรุงกิจแห่งพระพุทธศาสนาไม่ให้เสื่อมถอย

สมดั่งโคลงกลอนขององค์ปฐมกษัตริย์ตั้งแต่เริ่มตั้งราชธานี คือ "ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา..."

ซึ่งคุณสันติ เล่าว่า สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ต้องปาราชิก มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

คลิกที่รูปเพื่อขยาย


ซึ่งมีกรณีตัวอย่างของ สมีรัก หรืออดีตพระรัก วัดบางหว้าใหญ่ ที่คล้ายกับกรณีของธัมมชโย

คือพระรักได้รับของมีค่าจากผู้หญิง แล้วนำไปเก็บไว้เป็นของตน แต่ภายหลังโดนจับได้ พระรักจึงรีบคืน แล้วอ้างว่า ตนไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อคืนไปแล้วก็แค่อาบัติปาจิตตีย์เท่านั้น แต่ทางการและกฎหมายบ้านเมืองตัดสินว่า ไม่ใช่แค่อาบัติปาจิตตีย์ แต่เป็นอาบัติปาราชิก

เพราะการที่พระยึดเอาของมีค่าเกิน 5 มาสก ไว้กับตนเองเกิน 10 วัน แล้วไม่คืนให้แก่วัดและส่วนกลาง ย่อมถือเป็นอาบัติปาราชิก (ส่วนธัมมชโยยึดที่ดินเป็นของตนเองร่วม 10 ปี)

แต่เนื่องด้วยเพิ่งตั้งราชธานีใหม่ ๆ  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจึงทรงละเว้นโทษประหารชีวิตให้สมีรัก แต่ให้สมีรักออกจากความเป็นพระแล้วถูกเฆี่ยนตามกฎหมาย และถูกสักที่หน้าว่าปาราชิก จะได้ไม่ไปบวชที่ใดได้อีก

คุณสันติ ยังเล่าอีกว่า สมัยรัชกาลที่ 1 แม้พระจะอาบัติปาจิตตีย์เล็กน้อย แต่ถ้ากระทำผิดเป็นประจำ ก็จับสึกได้เช่นกัน ซึ่งก็คงเหมือนในสมัยนี้ที่ถ้าเจอพระดื่มเหล้า ซึ่งอาบัติปาจิตตีย์เท่านั้น ก็จะถูกจับสึกเลย

แต่บางคนได้อาบัติปาราชิกในยุคนี้แล้ว แต่กลับไม่มีใครไปจับถอดผ้าเหลือง ??

ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจที่สุดที่คุณสันติ เล่าไว้ก็คือ คณะกรรมการมหาเถรสมาคมเป็นพระระดับพระราชาคณะ ต่างมีอาวุโสทั้งสิ้น ไม่เคยรู้เลยหรือว่าธัมมชโยปาราชิกนานแล้ว แต่กลับร่วมกันปกปิดไม่กระทำการใด ๆ ซึ่งถือว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถ้าเป็นในสมัยรัชกาลที่ 1 พระที่เป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคมก็จะถือว่ามีความผิดร่วมกันด้วย

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 3 เน้นเรื่องพระอุปัชฌาย์ที่อุปสมบทให้แก่ศิษย์ แต่กลับปล่อยปละละเลยให้ศิษย์ไปกระทำผิด ก็เข้าข่ายละเว้นหน้าที่ ถือว่ามีความผิดร่วมกัน

ในเรื่องอวดอุตริมนุสธรรมนั้น สำหรับสมีธัมมชโย ก็เคยโอ้อวดคุณธรรมวิเศษเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่มีการเอาผิด

---------------------

สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากนำ มีความผิดร่วมกันกับธัมมชโยหรือไม่ ?

แล้วสมเด็จเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นประธานมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง และเข้าเป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคมมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 เท่ากับว่า สมเด็จเจ้าอาวาสวัดปากน้ำได้รู้เห็นในพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช มาตั้งแต่ต้น

แล้วแบบนี้ สมเด็จมหารัชมังคลาจารย์สมควรมีความผิดร่วมกับธัมมชโยหรือไม่ ?

จากกฎพระสงฆ์ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2326 ด้วยเหตุที่ สมเด็จเจ้าอาวาสวัดปากน้ำเป็นพระอุปัชฌาย์ของธัมมชโย แถมยังเคยมอบพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ให้ธัมมชโย จากพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ขึ้นเป็นพระเทพญาณมหามุนี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 จึงเท่ากับสมรู้ร่วมคิดให้ท้ายธัมมชโยด้วยหรือไม่ ?


วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่พระเทพญาณมหามุนี

ทั้ง ๆ ที่ ธัมมชโยได้ปาราชิกไปตั้งแต่พ.ศ. 2542 แล้ว แต่ พ.ศ.2554 กลับยังได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์อีก เท่ากับเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่ ??

หากการเลื่อนสมณศักดิ์ของธัมมชโย สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ถามว่า สมเด็จเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ยังสมควรปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชอยู่ต่อไปหรือครับ ?

ไม่ละอายใจบ้างหรือครับ ??? 
เพราะถ้าเป็นสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คงโดนจับสึกไปด้วย

แม้ยุคปัจจุบันนี้จะไม่ได้ใช้กฎหมายตราสามดวงแล้ว แต่คนเราน่ะถ้าได้สนับสนุนคนผิดให้อยู่ในเพศสมณะต่อไป ก็ควรมีความละอายใจบ้าง

ความจริงสมเด็จเกี่ยว แห่งวัดสระเกศ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลทักษิณให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ก็ถือว่า มีความผิดเช่นกัน เพราะรับผิดชอบเรื่องนี้เป็นคนแรก แต่กลับไม่ทำหน้าที่ แต่ตอนนี้สมเด็จเกี่ยวก็ได้มรณภาพไปแล้ว

ส่วนการปฏิรูปแนวทางพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาของ สปช. นั้น แนะนำว่า สมควรนำกฎหมายตราสามดวงมาใช้ประกอบการปฏิรูปก็น่าจะดี เพราะที่ผ่านมาพระที่กระทำผิด ทำลายพระพุทธศาสนา ก็จะมีโทษแค่จับสึกเท่านั้น จึงไม่เข็ดหลาบ

-----------------

แถมกฎพระสงฆ์ สมัยรัชกาลที่ 1 เรื่องห้ามถวายเงิน ทอง แก่สมณะ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


นอกจากได้ปาราชิกแล้ว สมีธัมมชโยยังสมควรโดนข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์อีกกระทงด้วย เพราะได้แต่งกายเลียนแบบพระ หากินด้วยการหลอกคนมาทำบุญมากว่า 15 ปีแล้ว นับตั้งแต่ปาราชิกโดยพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช ในปี 2542

--------------

คลิปรายการตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส ตอน ปริศนาพระลิขิต ปาราชิกธัมมชโย


ถ้าท่านใดมีเวลาสักครึ่งชั่วโมง ก็อยากแนะนำให้ชมคลิปรายการตอบโจทย์ ในเรื่องนี้ครับ ได้ประโยชน์และสาระมากมายจริง ๆ



ตัวอย่างเปรียบเทียบ เรื่อง นาย ก. ขโมยไก่

นาย ก. ไปขโมยไก่ที่บ้านนาย ข. แต่นาย ข จับได้ จึงแจ้งตำรวจมาจับนาย ก.

แต่ นาย ก. บอกว่า ไม่ได้ขโมย เพราะพอนาย ข. หาเจอ ก็ได้ส่งไก่คืนให้นาย ข. ทันที จึงไม่ได้ขโมย เพราะไก่ก็ยังอยู่กับนาย ข.

แต่ตำรวจบอกว่า การกระทำผิดฐานขโมยได้เกิดขึ้นแล้ว แม้นาย ก. จะรีบคืนไก่ให้นาย ข. ก็ตาม แต่คดีอาญายอมความไม่ได้ สุดท้ายตำรวจจึงจับนาย ก. ไปดำเนินคดี

--------------------

ส่วนคดีสมีธัมมชโยได้ยักยอกที่ดินวัดนั้น แม้คดียักยอกจะเป็นคดีอาญาที่สามารถยอมความกันหากนำทรัพย์มาคืน

แต่ความผิดจากการยักยอกทรัพย์ ในด้านพระธรรมวินัยถือว่าผิดถึงขั้นปาราชิกไปแล้ว ย้อนกลับมาให้บริสุทธิ์ดังเดิมไม่ได้


http://imgur.com/QF6ISxl

คลิกอ่าน พ.ศ.2558 ถึงเวลายุคเสื่อมของมหาเถรสมาคม กรณีสมีธัมมชโย

คลิกอ่าน สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วย่านคลองหลวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น