วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2







ขอตอกย้ำเลยว่า ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 .ในพ.ศ.2556 อีกแล้ว?

เพราะศาลโลกแทงกั๊ก ใช้คำตัดสินเดิมปี 2505 เป็นหลักนี่แหละที่ว่าต้องเป็นปัญหาต่อไป เพราะคำตัดสินเดิมก็กำกวม แต่คราวนี้ศาลโลกก็ยังเอียงไปทางกัมพูชามากกว่าเหมือนเดิม

และสื่อต่างประเทศทุกสื่อ ก็ลงข่าวในแนวทางเดียวกันคือ กัมพูชาชนะไทย





ซึ่งผมต่อไปนี้ ผมจะอธิบายโดยใช้คำแปลจากคำตัดสินจากเว็บมติชนเป็นหลัก และใช้คำตัดสินที่เว็บผู้จัดการแปลเป็นส่วนเสริม

เพราะผมคิดว่า มติชนเป็นพวกรัฐบาล แต่เมื่อผมอ่านคำแปลของมติชนแล้ว ผมกลับมองว่า ไทยก็ยังแพ้คดีเหมือนเดิม

------------------------

ประเด็นแรก การล้อมรั้วตามมติครม. 2505 กลายเป็นโมฆะ

จากคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2505 ไทยเราตีความว่า เฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาเท่านั้น จึงได้มีมติครม. 2505 ล้อมรั้วตัวปราสาทไว้

แต่ศาลโลกในปี 2556 นี้ ได้ตัดสินชัดเจนว่า เส้นเขตแดนไม่ได้เป็นไปตามมติ ครม.2505 ของไทย

เพราะศาลโลกระบุว่า มติครม.2505 ของไทยเป็นการตีความที่ผิด เป็นการกำหนดเองของไทยฝ่ายเดียว และไม่ได้ตีพิมพ์เอกสารเผยแพร่ ในขณะที่ศาลโลกบอกว่า กัมพูชาเคยทำหนังสือส่งมาที่ศาลโลกว่า ไม่เห็นด้วยกับการล้อมรั้วลวดหนามของไทย

ฉะนั้น ตรงนี้ไทยเราต้องเสียดินแดนเพิ่มจากมติครม.2505 แน่นอน เท่ากับประเด็นแรกไทยแพ้ครับ

---------------------

ประเด็นที่ 2 ภูมะเขือเป็นของไทยหรือกัมพูชา ?

ศาลโลกตัดสินว่า ในคำตัดสินเดิมนั้นไม่มีภูมะเขือมาเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ศาลจึงไม่เหตุอันใดต้องมาตัดสินชี้ชัดในเรื่องภูมะเขือ

สรุปง่าย ๆ ว่า ศาลโลกไม่ได้บอกว่า ตกลงภูมะเขือเป็นของไทยหรือกัมพูชากันแน่ เหตุเพราะคำพิพากษาเดิมไม่เอ่ยถึง (ใครสงสัยไปอ่านคำแปลที่มติชนได้ คลิก)

แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ภูมะเขือ ทหารกัมพูชายึดครองมานานแล้วครับ การที่ศาลโลกบอกว่า คำตัดสินเดิมไม่มีเรื่องภูมะเขือ นั่นแสดงว่า ไทยกับกัมพูชาก็ไปเจรจาตกลงกันเองเรื่องภูมะเขือ

แล้วคุณคิดว่า กัมพูชาจะยอมถอนทหารออกจากภูมะเขือเหรอครับ ?

สรุปง่าย ๆ ว่า ไทยไม่ได้ภูมะเขือกลับมาแน่นอน 100 %

------------------

ประเด็นที่ 3 เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ศาลว่าไง ?

ถ้าได้อ่านคำตัดสินของศาลโลกในประเด็นแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนโดยละเอียด จะเห็นว่า ศาลโลกไม่ได้ปฏิเสธแผนที่ฉบับนี้

แถมยังย้ำอีกครั้งด้วยว่า การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนเขาพระวิหาร ก็เท่ากับแสดงว่าไทยยอมรับทางอ้อมว่าไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว

ดังส่วนหนึ่งของคำตัดสินของศาลโลกในปี 2556 ตามนี้

" แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเหตุผลหลักในการพิพากษา เมื่อได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของคดี และพิจารณาผลความเกี่ยวเนื่องกับสนธิสัญญา ศาลเห็นว่า ประเด็นหลักคือคู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดนอันเป็นผลของคณะกรรมการปักปันเขตแดน บริเวณปราสาทพระวิหาร และมีผลผูกพันหรือไม่ ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความในการเข้าไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้การต้อนรับ ศาลเห็นว่า เหมือนเป็นการยอมรับโดยทางอ้อมของสยามในอธิปไตยของปราสาทพระวิหาร รวมทั้งพฤติกรรมอื่นๆ ของไทยในเวลาต่อมา ถือว่าเป็นการยืนยันของไทยในการยอมรับเส้นแบ่งเขตแดน ในภาคผนวก 1

โดยไทยในปี 1908 (พ.ศ.2451) และ1909 (พ.ศ.2452) ได้ยอมรับว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นผลของคณะกรรมการปักปัน และยอมรับว่าเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่นำไปสู่การวินิจฉัยว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชา การยอมรับของคู่ความสองฝ่าย ทำให้แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา จึงเห็นได้ว่า การตีความสนธิสัญญาจะต้องชี้ขาดว่า แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นแผนที่ในพื้นที่ขัดแย้ง"

ที่ยกมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ศาลโลกได้ยืนยันอีกครั้งว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปแล้ว แถมบอกด้วยว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา

เพียงแต่ในกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ศาลพิจารณาแค่ที่มีในคำตัดสินพ.ศ.2505 เท่านั้น คือบริเวณปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น ศาลไม่มีอำนาจชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศจากประเด็นเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน

สรุปง่าย ๆ ว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาก็ยังต้องหลอนไทยต่อไป ทีนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของกัมพูชากับไทยแล้วล่ะ ว่าจะเอายังไง

แต่ผมว่า กัมพูชาเขาก็ยังจะยึดแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนต่อไปแน่นอน ก็เพราะศาลโลกได้ตัดสินแล้วนี่ว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนในกรณีเขาพระวิหารไปแล้ว

--------------------------

ประเด็นพื้นที่ 4.6 ตร.กม.

ศาลโลกตัดสินว่า ในคำตัดสินเดิมไม่มีเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ดังนั้นศาลจึงไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้เพราะมันอยู่นอกเหนือคำตัดสินเดิม

นั่นแปลว่า บริเวณพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ศาลโลกก็เลยไม่ตัดสินชี้ชัดว่าเป็นของไทย หรือของกัมพูชากันแน่เหมือมเดิม

แต่ที่แน่ ๆ กัมพูชาเขาย่อมตีความว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชาแน่นอน ตามแผนที่ภาคผนวก 1 (หรือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน)

การที่ท่านทูตวีระชีย บอกว่า กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไป จึงเป็นการคิดเองของไทยฝ่ายเดียวครับ เพราะศาลโลกไม่ได้ตัดสินในประเด็นนี้

เท่ากับว่า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องต่างตีความกันเองต่อไป หรือไปเจรจากันเองแล้วกัน

--------------------

ประเด็น พื้นที่รอบเขาพระวิหารคือแค่ไหนกันแน่ ?

ศาลโลกตัดสินว่า ในคำพิพากษาเดิมปี 2505 ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า พื้นที่รอบเขาพระวิหารมีแค่ไหน เพราะคำตัดสินเขียนไว้คร่าว ๆ ว่าบริเวณปราสาทพระวิหารและบริเวณใกล้เคียง แต่ที่แน่ ๆ พื้นที่ต้องมีมากกว่ามติครม.2505 เพราะรวมไปถึงชะง่อนผา

ศาลโลกจึงแนะนำให้ไทยกับกัมพูชาไปเจรจากันเอง โดยเน้นว่า ให้ยึดเรื่องมรดกโลกเป็นสำคัญ และให้ฟังคำแนะนำจากยูเนสโกไว้เป็นสำคัญ

นี่เท่ากับเข้าทางกัมพูชาอีกแล้วครับ เพราะกัมพูชาเขาตีความมาตลอดว่า บริเวณรอบเขาพระวิหารคือพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของกัมพูชา เช่น รวมพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันกับปราสาทเขาพระวิหารไปด้วย เช่น สระตราว สถูปคู่ และเผลอ ๆ มีผามออีแดงพ่วงไปด้วย

การที่ศาลโลกแนะนำว่า ให้ไทยกับกัมพูชาบริหารจัดการบริเวณรอบเขาพระวิหารร่วมกัน นั่นเท่ากับว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.จะไม่เป็นอำนาจอธิปไตยของไทยฝ่ายเดียวอีกต่อไป เพราะจะต้องมีคณะกรรมการร่วมอีก 7 ชาติ รวมกับไทยและกัมพูชาเป็น 9 ชาติ ร่วมกันบริหารจัดการพื้นที่นี้ตามระเบียบของคณะกรรมการมรดกโลก

แต่ !! มรดกโลกเขาพระวิหารยังเป็นสิทธิของกัมพูชาฝ่ายเดียว แต่ไทยต้องยอมเสียพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารซึ่งจะอาจมากถึง 4.6ตร.กม.จริงหรือไม่ ? ก็ยังไม่ชัดเจน เพราะต้องเจรจากันต่อไป

แต่ที่แน่ ๆ คณะกรรมการมรดกโลกจาก 7 ชาติเขาเข้าข้างกัมพูชาแน่นอน

สรุปไทยมีแต่เสียดินแดนเพิ่มแน่นอน แต่รัฐบาลไทยจะหลอกคนไทยว่า ไม่ได้เสียดินแดน แค่เข้าไปจัดการพื้นที่ร่วมกันเท่านั้น (นั่นแหละคือเสียอธิปไตยบนดินแดนไปแล้ว)

-------------------------------

ประเด็นทหารไทยต้องถอนทหารออกจากบริเวณรอบปราสาทแคไหน

ก็เพราะศาลไม่ชี้ชัดว่า บริเวณรอบปราสาทคือแค่ไหนกันแน่เหมือนเดิม แต่มีมากกว่าตามมติครม.2505 แน่นอน เพราะให้รวมไปถึงทางขึ้นตัวปราสาทด้วยให้ตกเป็นของกัมพูชาเป็นอย่างน้อย

ดังนั้นคำว่าบริเวณรอบปราสาท ก็ยังขึ้นอยู่กับการตีความของไทยและกัมพูชาเหมือนเดิม ซึ่งก็ต้องเป็นปัญหาต่อไปแน่นอน

ซึ่งถ้ากัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลกร่วมอีก 7ชาติ เขาเกิดระบุว่า บริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารคือพื้นที่ใน4.6 ตร.กม.ล่ะ เช่นต้องมี สระตราว สถูปคู่ และผามออีแดงด้วยล่ะ ไทยเราจะยอมถอนทหารออกจากพื้นที่เหล่านี้หรือไม่ ?

สรุปว่า ไทยมีแต่เสียดินแดนเพิ่มขึ้นแน่นอน อย่างเช่นในคำตัดสินศาลโลกคราวนี้ได้ระบุว่า

"ศาลได้เน้นย้ำบริเวณปราสาทว่า ปราสาทตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เห็นได้ชัดเจนมาก ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น คือทางตะวันออกเฉียงใต้และทางตะวันตกเฉียงใต้ของหน้าผาฝั่งกัมพูชา และด้านเหนือกับตะวันตกเฉียงเหนือเป็นที่ที่อยู่ในเทือกเขาดงรัก หุบเขาทั้งสองนี้ เป็นช่องทางที่กัมพูชาสามารถเข้าถึงปราสาทพระวิหารได้เพราะฉะนั้นตามความเข้าใจเบื้องต้นบริเวณปราสาทพระวิหาร ศาลเห็นว่า เขตแดนของกัมพูชาทางเหนือนั้น ไม่เกินเส้นแบ่งของแผนที่ภาคผนวก 1 ศาสตราจารย์ฟรีดริช แอคเคอร์มานน์ ไม่ได้ให้ระบุระยะทางที่ชัดเจน แต่ตามพยานหลักฐานมีความชัดเจนว่าด่านตำรวจอยู่ในระยะที่ไม่ไกลมากทางใต้และอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นที่ภาคผนวก 1"

ตรงที่ศาลตัดสินว่า เขตแดนของกัมพูชาทางเหนือนั้น ไม่เกินเส้นแบ่งของแผนที่ภาคผนวก1 (1 ต่อ 2 แสน) ก็เท่ากับว่า กัมพูชาสามารถตีความได้เลยว่า ทางทิศเหนือของปราสาทเขาพระวิหาร กัมพูชายึดพื้นที่ได้ตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เพราะคำว่าไม่เกิน ก็แปลว่า พอดีก็ได้ 



หน้าผาของตัวปราสาทเขาพระวิหารยื่นลงไปทางทิศใต้สู่กัมพูชา ส่วนทิศเหนือก็คือตามแนวเส้นประหรือตามแนวแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน

สรุปว่า กัมพูชาจะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นทางเหนือไปจรดถึงแนวเส้นประตามแผนที่ 1ต่อ 2 แสนแน่นอน เท่ากับไทยเสียดินแดนเพิ่มครับ

------------------

ประเด็น พื้นที่เล็ก ๆ คือแค่ไหน ?

ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่า คำว่าพื้นที่เล็กๆ ที่ศาลเอ่ยถึงคือแค่ไหน ฉะนั้นอย่าหลงดีใจกับคำว่า พื้นที่เล็ก ๆ ครับ

-----------------

มาตรา 190 ฉบับใหม่ ทำไทยเสียดินแดนแน่ ๆ

การที่นายนพดล ไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมยกตัวปราสาทให้กัมพูชาฝ่ายเดียวไปขึ้นทะเบียน โดยไม่ผ่านมาตรา 190 เดิม เจตนาคืออะไร ?

ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์กระสันจะแก้มาตรา190 ?

ถ้ามาตรา 190 ฉบับใหม่ผ่านออกไปได้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จะมีสิทธิยกดินแดนรอบเขาพระวิหารโดยไม่ต้องผ่านสภา ซึ่งยังไม่อาจระบุแน่ชัดได้ว่า จะต้องเสียดินแดนรอบเขาพระวิหารมากขนาดไหน ไปให้กัมพูชาใช้เป็นพื้นที่ร่วมกันบริหารจัดการตามมติคณะกรรมการร่วมมรดกโลกแน่นอน

คลิกอ่าน นพดล ปัทมะ คือคนยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรไปตลอดกาล

------------------

คำแก้ตัวของท่านทูตวีระชัย

ท่านทูตวีระชับบอกว่า กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. 

ท่านพูดถูกแค่ครึ่งเดียวครับ เพราะศาลไม่ได้ตัดสินประเด็นนี้ จึงทำให้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. จะยังคงเป็นปัญหาการตีความที่แตกต่างกันต่อไปของไทยกับกัมพูชา

ท่านทูตวีระชัยบอกว่า กัมพูชาไม่ได้ภูมะเขือ 

ท่านก็พูดถูกแค่ครึ่งเดียวครับ ศาลตัดสินว่า ภูมะเขือไม่ได้อยู่ในคำตัดสินเดิม แต่ศาลก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ภูมะเขือเป็นของชาติไหน

แต่ที่แน่ ๆ กัมพูชายึดครองภูมะเขือไปแล้ว

ท่านทูตวีระชัยบอกว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไม่ได้รวมอยู่ในคำตัดสิน 2505

ผมว่าท่านไปอ่านอีกรอบนะครับ ศาลบอกเองว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนคือสนธิสัญญาที่ไทยได้ยอมรับโดยอ้อมไปแล้ว

ท่านทูตวีระชัยบอกว่า ศาลโลก แนะนำให้ทั้ง 2 ประเทศ ร่วมมือกันดูแล เขาพระวิหาร ในฐานะที่เป็นมรดกโลก

นั่นก็คือเข้าทางกัมพูชา กัมพูชาจะได้พื้นที่รอบปราสาทเพิ่มเพื่อบริหารจัดการตามระเบียบของคณะกรรมการร่วมมรดกโลกอีก 7 ชาติ ซึ่งไทยก็แค่เป็น 1 ในคณะกรรมการร่วมเท่านั้น แต่มรดกโลกยังเป็นสิทธิของกัมพูชาฝ่ายเดียว

แล้วเวลาออกเสียงอะไร ไทยก็แค่เสียงเดียว ส่วนชาติอื่น ๆ เขาเข้าข้างกัมพูชาแน่นอน เพราะชาติเหล่านั้นได้เข้าไปเตรียมการหาผลประโยชน์ในกัมพูชาไว้แล้ว

-----------------

เชื่อผมรึยังว่า ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 ไปแล้วครับ

ฉะนั้น ไม่ควรเลยที่ไทยโดยนายนพดล ไปเซ็นยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว จนเกิดปัญหาบานปลายในวันนี้

สุดท้ายนี้ผมขอบอกว่า ตอนนี้ ฮุนเซ็น และ ฮอนัมฮง ได้ประกาศว่า ศาลโลกได้รับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาแล้ว ต่อไปหลายจังหวัดทางอีสานใต้ ก็จะเป็นปัญหาพิพาทต่อไป



คลิกอ่าน นพดล ปัทมะ คือคนยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรไปตลอดกาล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น