บ่อยครั้งที่ผมออกจากบ้าน เมื่อผมเห็นดวงอาทิตย์ ผมจะยกมือไหว้ดวงอาทิตย์ เพราะดวงอาทิตย์เป็นต้นกำเนิดแหล่งพลังงานมหาศาล ในการสร้างสิ่งมีชีวิตบนโลก ดวงอาทิตย์จึงเป็นผูัมีพระคุณสูงสุดต่อสรรพชีวิต
เพราะดวงอาทิตย์มีพลังแห่งชีวิต ซึ่งทั้งในอินเดีย และจีน ก็เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าจะต้นไม้ สรรพสัตว์ รวมทั้งมนุษย์ หากไม่ได้รับพลังจากแสงอาทิตย์บ้างเลย ก็จะล้มป่วย ร่างกายก็จะอ่อนแอ
และผมก็ไหว้ แผ่นดิน หรือไหว้โลก เพราะผมถือว่า โลกคือมารดาแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้ โลกจึงเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดอันดับแรก
และบ่อยครั้งที่ผมไหว้ดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเต็มดวงหรือไม่ก็ตาม เพราะดวงจันทร์ มีอิทธิพลต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเช่นกัน ยิ่งตอนคืนวันพระใหญ่ เช่นวันวิสาขบูชา และวันสำคัญทางศาสนาอื่น ๆ ผมจะยิ่งต้องไหว้ดวงจันทร์เช่นกัน เพราะเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกับที่พระพุทธองค์ ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดวงจันทร์จึงเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดรองลงมาจากโลกและพระอาทิตย์
หากให้ผมเปรียบ ผมว่า โลกเปรียบเสมือนแม่ ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนพ่อ ดวงจันทร์เปรียบเสมือนน้ำคร่ำและสายสะดือแห่งครรภ์มารดา
ส่วนพระพุทธเจ้า คือ ครูแห่งสรรพสัตว์ และบิดามารดาของเรา คือพระอรหันต์ของลูก
พระราหู คืออะไร ?
คำตอบก็คือ เงาของโลกที่ไปบังดวงจันทร์ในกรณีจันทรคาส หรือดวงจันทร์ทั้งดวงมาบังดวงอาทิตย์ ในกรณีสุริยคราส
ในโบราณกาล คนโบราณเชื่อว่า โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล แม้แต่พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่น ๆ เป็นเพียงบริวารของโลก
การที่คนโบราณตกใจเห็นดวงจันทร์มืดมิด ก็เพราะคนโบราณไม่รู้ว่า นั่นคือเงาของโลกมาบดบัง
หรือเห็นพระอาทิตย์มืด ก็ไม่รู้ว่านั้นคือการเดินทางของดวงจันทร์มาบดบังดวงอาทิตย์ ตามหลักการโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ที่โลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โคจรมาทับซ้อนในแนวเดียวกัน
แล้วตกลงพระราหูคือเงาของโลก แล้วราหูก็เป็นดวงจันทร์ด้วยอย่างนั้นหรือ ?
แบบนี้ยิ่งถือว่า ไหว้มั่ว !!
ผมน่ะไหว้โลก ไหว้พระจันทร์ และไหว้พระอาทิตย์ เพราะทั้ง 3 สิ่งนี้ ทำให้มีพวกเราบนโลกแห่งนี้ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ เช่น หากไม่มีดวงจันทร์ ก็ไม่เกิดสภาวะที่เหมาะสมเพียงพอต่อการมีสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้เช่นกัน (นี่คือตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าไว้)
ส่วนดวงจันทร์นั้นเกิดจากการพุ่งชนของอุกาบาตขนาดใหญ่ประมาณดาวอังคารที่มาชนโลก ทำให้เปลือกของโลกเกิดการระเบิดและกระจายออกสู่ห้วงอวกาศ
ซึ่งหลังจากการพุ่งชนเพียง 1 ปี เปลือกของโลกที่แตกกระจายนั้น ก็ได้ค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นดวงจันทร์ เมื่อประมาณ 3,000 ล้านปีที่แล้วครับ
ส่วนในประเทศไทยมีลัทธิบูชาราหู ลัทธิหาเงิน ขายของบูชา ขายวัตถุมงคล ที่เกี่ยวกับพระราหู ?
เพราะราหูก็คือเงาของโลก แทนที่จะมาไหว้โลก ดันไปไหว้เงาของโลกแทน ผมว่า ลัทธิไหว้ราหูนี้เกิดจากการนำความโลภของคนเรามาหลอกล่อ ให้คนศรัทธาอีกที
คนที่หวังรวย หวังลาภ จึงไปหลงเชื่อเรื่องงมงายเหล่านี้โดยง่าย ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิไหว้พระราหู ก็ยังไม่เท่าไหร่
แต่บังเอิญมีพระในพระพุทธศาสนานำเรื่องพระราหูมาหากิน หลอกให้ชาวพุทธไปหลงศรัทธานอกเรื่องในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอน อันนี้ผมถือว่า พระรูปนั้นไม่ใช่พระครับ
โดยพระที่ชอบสนอให้คนไหว้พระราหูมักจะอ้างว่า พระราหูมีอยู่ในพระสูตรในพุทธศาสนา และพระราหูเคยพบพระุทธเจ้า และมีคาถาขับไล่พระราหู
ซึ่งถ้าเรายอมรับว่า พระราหูคือเทวดาที่มายึดพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ ก็เท่ากับว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสได้ค้านกับหลักวิทยาศาสตร์
ทั้ง ๆ ที่เรารู้กันดีว่า ราหูก็คือ เงาของโลกที่บดบังดวงจันทร์ หรือบางครั้ง ราหูก็คือ ดวงจันทร์ที่โคจรมาบดบังแสงอาทิตย์
แม้พระราหู หรือ อสุรินทราหู จะเป็นพระโพธิสัตว์ และจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปเดียวกับพระศรีอาริยเมตไตรย ก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงพ้องชื่อเท่านั้น หาใช้พระราหูแบบที่พวกโหราศาสตร์หรือศาสนาฮินดูเชื่อ
ในเรื่องราหูในพุทธศาสนา ผมแนะนำให้อ่านบทวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เรื่อง '“ราหูอมจันทร์” ในพระไตรปิฎกควรตีความอย่างไร ?'' คลิกอ่านที่นี่
ที่ผมเล่ามาว่า ผมไหว้ดวงจันทร์ ไหว้ดวงอาทิตย์ และไหว้โลก มันเป็นหลักการของผมเอง ไม่เกี่ยวกับศาสนาและลัทธิความเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะผมเห็นว่าทั้ง 3 สิ่งคือโลก พระอาทิตย์ พระจันทร์ คือจุดกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น ผมจึงไหว้ทั้ง 3 เปรียบเสมือนไหว้ผู้มีพระคุณครับ
เห็นผมไหว้ 3 สิ่งนี้ แต่ผมไม่ได้ไหว้ พระศิวะ พระพรหม หรือพระนารายณ์ นะครับ เพราะผมนับถือพระพุทธศาสนา ผมจึงไม่ไหว้พระเจ้า ทั้ง 3 เหล่านี้ เพราะผมเชื่อว่า ไม่มีจริง แต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ความศักดิ์สิทธิ์ในรูปปั้นเหล่านี้
เพราะในสมัยพุทธกาลมีแต่ศาสนาพราหมณ์เท่านั้น ซึ่งมีพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวคือ พระพรหม
ต่อมา ฤาษีในศาสนาพรหมณ์ ยุคต่อๆ มาอีกหลายคนหลายร้อยปี ก็แต่งคัมภีร์เพิ่มเติม จนกำเนิดพระศิวะ พระนารายณ์ และเทพองค์อื่น ๆ ตามกันอีกเพียบ แล้วลดบทบาทพระพรหมลง ต่อมาศาสนาพราหมณ์ก็กลายเป็นศาสนาฮินดู ในที่สุด
แถมศาสนาฮินดู ยังแบ่งเป็นลัทธิย่อย ๆ อีกมากมาย นับถือ เคารพเทพแตกต่างกันไป เช่นบางลัทธิเน้นนับถือพระพิฆเนศ บางลิทธิก็นับถือหนุมาน ฯลฯ
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงไม่ปฏิเสธพระพรหมซะทีเดียว แต่พระพรหมของพุทธศาสนา ก็คือ พรหมโลก 16 ชั้น ใช้คำ ๆ เดียวกันกับศาสนาฮินดู ซึ่งถ้าใครได้ไปเสวยสุขในชั้นพรหมโลก ก็ถือเป็น พระพรหมทั้งสิ้น และเหนือกว่าพรหมโลก ก็คือ อรูปพรหม
ส่วนในพระไตรปิฎกของเถรวาท จะไม่มีการกล่าวถึง พระศิวะ พระนารายณ์ เลย เพราะพระศิวะ พระนายรายณ์เป็นการแต่งเพิ่มเติมทีหลัง
ส่วนความเชื่อส่วนตัวของผมเชื่อว่า รูปปั้นใดที่คนไปไหว้เคารพกันมาก ก็มักจะมีเทพเทวดามาจุติ และพลังจากความศรัทธาของคนจำนวนมาก ก่อเกิดพลังอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเองได้ โดยไม่จำเป็นว่า ต้องเทพเจ้าเหล่านั้นจริง ๆ มาอยู่ในรูปปั้น
เช่น รูปปั้นพระพิฆเนศ ตามสถาบันช่าง หรือสถาบันสอนศิลปะต่าง ๆ ที่นักศึกษาสายนี้เขาไหว้เคารพกัน รูปปั้นพระพิฆเนศจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ อาจเพราะวิญญาณครูบาอาจารย์สายช่างที่ได้ไปเป็นเทพเทวดาไปแล้ว อาจจะมาสถิตในรูปปั้น เพื่อให้ความสิริมงคลต่อลูกศิษย์ต่อ ๆ ไป
แต่ไม่ใช่พระพิฆเนศมาสถิตแน่นอน เพราะพระพิฆเนศหรือจะเป็นเทพเจ้าพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ ของศาสนาฮินดูไม่ได้มีจริงตามหลักพุทธศาสนา
แต่ผมไหว้พระเยซู ครับ เพราะผมถือว่า พระเยซูเป็นคนดี เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ผมจึงไม่ได้ไหว้พระเยซู เพราะผมนับถือคริสต์แต่อย่างใด
หากชาวมุสลิมมาชวนผมไหว้เคารพ ศาสดาของเขา เช่นในพิธีละหมาด ผมก็สามารถทำได้ครับ เพราะผมถือว่า ผมไหว้คนดี ไหว้ศาสดาของศาสนาอิสลาม
แม้แต่รูปพระพุทธเจ้าที่ผมวาดเป็นแบบการ์ตูน ผมก็ไหว้ครับ เมื่อตอนผมไปอยู่ต่างจังหวัด ผมไม่ได้นำพระพุทธรูปติดไปด้วย ผมเลยวาดรูปพระพุทธรูปปางสมาธิขึ้นมาเอง แล้วก็ติดที่หัวนอน ไว้ไหว้บูชาแทนพระพุทธรูปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น