วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

เรามาไหว้ โลก พระอาทิตย์และพระจันทร์ แต่ไม่ไหว้ราหูกันเถอะ









บ่อยครั้งที่ผมออกจากบ้าน เมื่อผมเห็นดวงอาทิตย์ ผมจะยกมือไหว้ดวงอาทิตย์ เพราะดวงอาทิตย์เป็นต้นกำเนิดแหล่งพลังงานมหาศาล ในการสร้างสิ่งมีชีวิตบนโลก ดวงอาทิตย์จึงเป็นผูัมีพระคุณสูงสุดต่อสรรพชีวิต

เพราะดวงอาทิตย์มีพลังแห่งชีวิต ซึ่งทั้งในอินเดีย และจีน ก็เชื่อเช่นนั้น ไม่ว่าจะต้นไม้ สรรพสัตว์ รวมทั้งมนุษย์ หากไม่ได้รับพลังจากแสงอาทิตย์บ้างเลย ก็จะล้มป่วย ร่างกายก็จะอ่อนแอ

และผมก็ไหว้ แผ่นดิน หรือไหว้โลก เพราะผมถือว่า โลกคือมารดาแห่งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้ โลกจึงเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดอันดับแรก

และบ่อยครั้งที่ผมไหว้ดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเต็มดวงหรือไม่ก็ตาม เพราะดวงจันทร์ มีอิทธิพลต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเช่นกัน ยิ่งตอนคืนวันพระใหญ่ เช่นวันวิสาขบูชา และวันสำคัญทางศาสนาอื่น ๆ ผมจะยิ่งต้องไหว้ดวงจันทร์เช่นกัน เพราะเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกับที่พระพุทธองค์ ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดวงจันทร์จึงเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดรองลงมาจากโลกและพระอาทิตย์


หากให้ผมเปรียบ ผมว่า โลกเปรียบเสมือนแม่ ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนพ่อ ดวงจันทร์เปรียบเสมือนน้ำคร่ำและสายสะดือแห่งครรภ์มารดา

ส่วนพระพุทธเจ้า คือ ครูแห่งสรรพสัตว์ และบิดามารดาของเรา คือพระอรหันต์ของลูก





พระราหู คืออะไร ?

คำตอบก็คือ เงาของโลกที่ไปบังดวงจันทร์ในกรณีจันทรคาส หรือดวงจันทร์ทั้งดวงมาบังดวงอาทิตย์ ในกรณีสุริยคราส

ในโบราณกาล คนโบราณเชื่อว่า โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล แม้แต่พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่น ๆ เป็นเพียงบริวารของโลก

การที่คนโบราณตกใจเห็นดวงจันทร์มืดมิด ก็เพราะคนโบราณไม่รู้ว่า นั่นคือเงาของโลกมาบดบัง

หรือเห็นพระอาทิตย์มืด ก็ไม่รู้ว่านั้นคือการเดินทางของดวงจันทร์มาบดบังดวงอาทิตย์ ตามหลักการโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ที่โลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โคจรมาทับซ้อนในแนวเดียวกัน

แล้วตกลงพระราหูคือเงาของโลก แล้วราหูก็เป็นดวงจันทร์ด้วยอย่างนั้นหรือ ? 
แบบนี้ยิ่งถือว่า ไหว้มั่ว !!

ผมน่ะไหว้โลก ไหว้พระจันทร์ และไหว้พระอาทิตย์ เพราะทั้ง 3 สิ่งนี้ ทำให้มีพวกเราบนโลกแห่งนี้ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ เช่น หากไม่มีดวงจันทร์ ก็ไม่เกิดสภาวะที่เหมาะสมเพียงพอต่อการมีสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้เช่นกัน (นี่คือตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าไว้)

ส่วนดวงจันทร์นั้นเกิดจากการพุ่งชนของอุกาบาตขนาดใหญ่ประมาณดาวอังคารที่มาชนโลก ทำให้เปลือกของโลกเกิดการระเบิดและกระจายออกสู่ห้วงอวกาศ

ซึ่งหลังจากการพุ่งชนเพียง 1 ปี เปลือกของโลกที่แตกกระจายนั้น ก็ได้ค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นดวงจันทร์ เมื่อประมาณ 3,000 ล้านปีที่แล้วครับ

ส่วนในประเทศไทยมีลัทธิบูชาราหู ลัทธิหาเงิน ขายของบูชา ขายวัตถุมงคล ที่เกี่ยวกับพระราหู ?

เพราะราหูก็คือเงาของโลก แทนที่จะมาไหว้โลก ดันไปไหว้เงาของโลกแทน ผมว่า ลัทธิไหว้ราหูนี้เกิดจากการนำความโลภของคนเรามาหลอกล่อ ให้คนศรัทธาอีกที

คนที่หวังรวย หวังลาภ จึงไปหลงเชื่อเรื่องงมงายเหล่านี้โดยง่าย ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิไหว้พระราหู ก็ยังไม่เท่าไหร่

แต่บังเอิญมีพระในพระพุทธศาสนานำเรื่องพระราหูมาหากิน หลอกให้ชาวพุทธไปหลงศรัทธานอกเรื่องในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอน อันนี้ผมถือว่า พระรูปนั้นไม่ใช่พระครับ

โดยพระที่ชอบสนอให้คนไหว้พระราหูมักจะอ้างว่า พระราหูมีอยู่ในพระสูตรในพุทธศาสนา และพระราหูเคยพบพระุทธเจ้า และมีคาถาขับไล่พระราหู

ซึ่งถ้าเรายอมรับว่า พระราหูคือเทวดาที่มายึดพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ ก็เท่ากับว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสได้ค้านกับหลักวิทยาศาสตร์

ทั้ง ๆ ที่เรารู้กันดีว่า ราหูก็คือ เงาของโลกที่บดบังดวงจันทร์ หรือบางครั้ง ราหูก็คือ ดวงจันทร์ที่โคจรมาบดบังแสงอาทิตย์


แม้พระราหู หรือ อสุรินทราหู จะเป็นพระโพธิสัตว์ และจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปเดียวกับพระศรีอาริยเมตไตรย ก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงพ้องชื่อเท่านั้น หาใช้พระราหูแบบที่พวกโหราศาสตร์หรือศาสนาฮินดูเชื่อ

ในเรื่องราหูในพุทธศาสนา ผมแนะนำให้อ่านบทวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เรื่อง '“ราหูอมจันทร์” ในพระไตรปิฎกควรตีความอย่างไร ?'' คลิกอ่านที่นี่




ที่ผมเล่ามาว่า ผมไหว้ดวงจันทร์ ไหว้ดวงอาทิตย์ และไหว้โลก มันเป็นหลักการของผมเอง ไม่เกี่ยวกับศาสนาและลัทธิความเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะผมเห็นว่าทั้ง 3 สิ่งคือโลก พระอาทิตย์ พระจันทร์ คือจุดกำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น ผมจึงไหว้ทั้ง 3 เปรียบเสมือนไหว้ผู้มีพระคุณครับ

เห็นผมไหว้ 3 สิ่งนี้ แต่ผมไม่ได้ไหว้ พระศิวะ พระพรหม หรือพระนารายณ์ นะครับ เพราะผมนับถือพระพุทธศาสนา ผมจึงไม่ไหว้พระเจ้า ทั้ง 3 เหล่านี้ เพราะผมเชื่อว่า ไม่มีจริง แต่ผมก็ไม่ได้ลบหลู่ความศักดิ์สิทธิ์ในรูปปั้นเหล่านี้ 


เพราะในสมัยพุทธกาลมีแต่ศาสนาพราหมณ์เท่านั้น ซึ่งมีพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวคือ พระพรหม

ต่อมา ฤาษีในศาสนาพรหมณ์ ยุคต่อๆ มาอีกหลายคนหลายร้อยปี ก็แต่งคัมภีร์เพิ่มเติม จนกำเนิดพระศิวะ พระนารายณ์ และเทพองค์อื่น ๆ ตามกันอีกเพียบ แล้วลดบทบาทพระพรหมลง ต่อมาศาสนาพราหมณ์ก็กลายเป็นศาสนาฮินดู ในที่สุด

แถมศาสนาฮินดู ยังแบ่งเป็นลัทธิย่อย ๆ อีกมากมาย นับถือ เคารพเทพแตกต่างกันไป เช่นบางลัทธิเน้นนับถือพระพิฆเนศ บางลิทธิก็นับถือหนุมาน ฯลฯ

ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงไม่ปฏิเสธพระพรหมซะทีเดียว แต่พระพรหมของพุทธศาสนา ก็คือ พรหมโลก 16 ชั้น ใช้คำ ๆ เดียวกันกับศาสนาฮินดู ซึ่งถ้าใครได้ไปเสวยสุขในชั้นพรหมโลก ก็ถือเป็น พระพรหมทั้งสิ้น และเหนือกว่าพรหมโลก ก็คือ อรูปพรหม 

ส่วนในพระไตรปิฎกของเถรวาท จะไม่มีการกล่าวถึง พระศิวะ พระนารายณ์ เลย เพราะพระศิวะ พระนายรายณ์เป็นการแต่งเพิ่มเติมทีหลัง

ส่วนความเชื่อส่วนตัวของผมเชื่อว่า รูปปั้นใดที่คนไปไหว้เคารพกันมาก ก็มักจะมีเทพเทวดามาจุติ และพลังจากความศรัทธาของคนจำนวนมาก ก่อเกิดพลังอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเองได้ โดยไม่จำเป็นว่า ต้องเทพเจ้าเหล่านั้นจริง ๆ มาอยู่ในรูปปั้น

เช่น รูปปั้นพระพิฆเนศ ตามสถาบันช่าง หรือสถาบันสอนศิลปะต่าง ๆ  ที่นักศึกษาสายนี้เขาไหว้เคารพกัน รูปปั้นพระพิฆเนศจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ อาจเพราะวิญญาณครูบาอาจารย์สายช่างที่ได้ไปเป็นเทพเทวดาไปแล้ว อาจจะมาสถิตในรูปปั้น เพื่อให้ความสิริมงคลต่อลูกศิษย์ต่อ ๆ ไป

แต่ไม่ใช่พระพิฆเนศมาสถิตแน่นอน เพราะพระพิฆเนศหรือจะเป็นเทพเจ้าพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ ของศาสนาฮินดูไม่ได้มีจริงตามหลักพุทธศาสนา


แต่ผมไหว้พระเยซู ครับ เพราะผมถือว่า พระเยซูเป็นคนดี เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ผมจึงไม่ได้ไหว้พระเยซู เพราะผมนับถือคริสต์แต่อย่างใด

หากชาวมุสลิมมาชวนผมไหว้เคารพ ศาสดาของเขา เช่นในพิธีละหมาด ผมก็สามารถทำได้ครับ เพราะผมถือว่า ผมไหว้คนดี ไหว้ศาสดาของศาสนาอิสลาม

แม้แต่รูปพระพุทธเจ้าที่ผมวาดเป็นแบบการ์ตูน ผมก็ไหว้ครับ เมื่อตอนผมไปอยู่ต่างจังหวัด ผมไม่ได้นำพระพุทธรูปติดไปด้วย ผมเลยวาดรูปพระพุทธรูปปางสมาธิขึ้นมาเอง แล้วก็ติดที่หัวนอน ไว้ไหว้บูชาแทนพระพุทธรูปครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น