วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กรณีธนาคารญี่ปุ่น ทักษิณไม่ได้โง่กว่ากรณ์ หรอก







เมื่อทักษิณโพส facebook ส่วนตัว เรื่องค่าเงินบาทแข็ง โดยยกตัวอย่างเศรษฐกิจญี่ปุ่นและธนาคารกลางญี่ปุ่น ดังนี้

"เมื่อวานนี้ ญี่ปุ่นประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาสที่1ของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) ว่า GDP โตถึง 3.5% นับเป็นการโตที่มากสำหรับญี่ปุ่น เพราะเศรษฐกิจแย่มานาน ค่อนข้างชัดว่า ผลการเติบโตส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนโยบายของท่านนายกฯ อาเบะ ที่ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงกว่า 20% รวมทั้งพิมพ์ธนบัตรออกใช้มากขึ้นมาก

ที่เขาทำได้ก็เพราะธนาคารกลาง(หรือแบงค์ชาติ)ของญี่ปุ่นขึ้นตรงกับรัฐบาล เขาจึงสามารถทำยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม (Holistic Approach) โดยประธานนโยบายการเงิน (Monetary Policy) กับนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนครับญี่ปุ่นยังต้องมีอีกหลายมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งกว่านี้

ที่สำคัญโครงสร้างการบริหารประเทศของญี่ปุ่นเขาเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เขาถือว่าประชาชนมีอำนาจสูงสุด เมื่อประชาชนเลือกใครเข้ามาก็ให้โอกาสทำงานเต็มฝีมือ ถ้าทำไม่ดีประชาชนก็ไม่เลือกกลับมาอีก แต่ของเรายังเป็นประชาธิปไตยแบบแค่นๆ คือไม่เต็มใจให้เป็น จึงเกิดความหวาดระแวงตัวแทนอำนาจประชาชน โดยใช้วิธีแยกอำนาจออกเป็นส่วนๆแทนจนคุยกันไม่ได้ วางยุทธศาสตร์ร่วมกันไม่ได้ ซึ่งผลเสียก็ตกกับประเทศชาติและประชาชน

อย่างกรณีธนาคารแห่งประเทศไทยของเราก็มีกฎหมายของรัฐบาลช่วงรัฐประหารแยกตัวเองออกมา จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งทำให้ดูน่าวิตกเพราะต่างคนต่างใช้นโยบายของตน มีความเชื่อของตน ตอนนี้เงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทยอย่างมากจนน่าวิตก มูลค่าทางตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์รวมกันโตกว่า GDP ประเทศ จึงมีคำถามว่าเกิด Asset Pricing Bubble หรือไม่ แล้วเราจะมีมาตรการอะไรร่วมกันไหมระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย ผมเป็นห่วงครับ ถ้ามองแค่ปัจจุบันกับอนาคตสั้นๆภายในปีเดียว ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าคิดยาวคิดไปล่วงหน้า 2-3 ปี อันตรายครับ

สิ่งที่กังวลก็คือ เรามีคนดี คนมีความรู้และการศึกษาสูงมาก แต่เป็นพวกมี Knowledge แต่มี Wisdom ไม่พอ จะรู้ไม่เท่าทันโลกทุนนิยม ที่หนักกว่านั้นคือ พวก Wisdom ไม่พอดันขยันพูดอีกต่างหาก

ประเทศไทยเรา GDP ส่วนใหญ่มาจาก Export (ส่งออก) ซึ่งมีทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร บาทแข็งขึ้น 1 บาท GDP จะหายไปประมาณ 0.7% รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินลงสู่รากหญ้า และเพิ่มงบลงทุนของรัฐบาล เช่น โครงการ 2 ล้านล้าน ถ้านโยบายการคลังถูกใช้เยอะเกินไปก็อันตราย เพราะฉะนั้นนโยบายการเงินต้องช่วยไม่ใช่เป็นภาระแบบนี้

ตอนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 2537-2538 ผมก็เห็นสัญญาณไม่ดีหลายอย่าง เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นกรรมการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยตำแหน่งร่วมกับรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐมนตรีคลัง

ผมได้เตือนธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลังทุกครั้งในที่ประชุมแต่ก็ได้รับการชี้แจงแก้ตัวตลอดเวลา จนมาถึงเศรษฐกิจพังตอนปี 2540 ผมเป็นคนชอบดูดัชนีต่างๆและชอบตกใจล่วงหน้า เหมือนที่ผู้ก่อตั้งบริษัท Intel คือนาย Andrew Grove พูดว่า

During the crisis only the paranoid survive ครับ"

Thaksin Shinawatra


-------------------

ต่อมานายกรณ์ จาติกวณิช โพสเพื่อหักล้างทักษิณ ตามนี้

"ปัญญาที่แท้จริงคือการรู้ว่าเราไม่รู้อะไรเลย" โซคราตีส
'The only true wisdom is knowing you know nothing' Socrates

คุณทักษิณเขียน FB อ้างกรณีญี่ปุ่น คิดอยากยกเลิกหลักความเป็นอิสระของแบงก์ชาติไทย แถมอ้างว่าที่เป็นอิสระนี้เป็นเพียงเพราะกฎหมายร่างในสมัยรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ

ความคิดและตรรกะที่คุณทักษิณอ้างว่าสะท้อน "wisdom" หรือ "ปัญญา" นั้นทั้งผิดทั้งอันตราย

ก่อนอื่นญี่ปุ่นนั้นมีการปฏิรูปกฎหมายของธนาคารกลางของเขา (BoJ) เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระจากรัฐบาลในปี 2540 ให้มีคณะกรรมการนโยบายการเงิน 9 ท่าน ตอนประชุมทางรัฐบาลส่งคนไปสังเกตการณ์ได้แต่ลงคะแนนไม่ได้ ถึงแม้ความเป็นอิสระของ BoJ ยังน้อยกว่าธนาคารกลางที่ยุโรป แต่ก็ไม่ได้ถึงกับ "ขึ้นกับรัฐบาล"

ประเด็นที่สำคัญคือ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่นต่างกันฟ้ากับดิน เพราะก่อนหน้านั้นคนญี่ปุ่นไม่ยอมใช้เงิน ทาง BoJ จึงมีนโยบายพิมพ์เงินเพิ่ม เพื่อทำให้คนใช้เงิน และทำให้ค่าเงินลดลง BoJ ต้องเปลี่ยนนโยบายเพราะได้ลดดอกเบี้ยลงมาเหลือ 0% แล้วแต่ก็ไม่มีผล และราคาสินทรัพย์ประเภทต่างๆก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ส่วนบ้านเราต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนใช้เงินเยอะมาก สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นกว่า 10% หลายปีติดต่อกัน หนี้ครัวเรือนก็เพิ่ม ส่วนราคาสินทรัพย์ทุกประเภทขึ้นหมด คุณทักษิณก็พูดเองว่าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจนกลัวว่าจะเป็น "ฟองสบู่" ดังนั้นจะให้แบงค์ชาติใช้นโยบายเหมือน BoJ ในการทำให้มีการใช้เงินเยอะขึ้นทำไม

ปัญหาคือคุณทักษิณไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ดีพอ ที่บอกว่า GDP ไทยส่วนใหญ่มาจากการส่งออกนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะการเอามูลค่าการส่งออกมาคำนวณ GDP นั้นต้องหักมูลค่าการนำเข้าออกก่อน และองค์ประกอบที่เป็น 'ส่วนใหญ่' ของ GDP ของประเทศไทยนั้น คือการบริโภคภายในประเทศเราเอง (ประมาณ 52% ของ GDP)

และถ้าเรามีนโยบายแบบญี่ปุ่น หนึ่งในผลที่จะตามมาคือกำลังซื้อของคนไทยที่หายไปจากค่าเงินที่ลดลง ถ้าเงินบาทอ่อนลงประมาณเท่ากับญี่ปุ่น สมมุติจาก 29 บาทเป็น 40 บาทต่อดอลลาร์ ราคานํ้ามันก็จะเพิ่มจาก 29 บาทเป็น 40 บาทต่อลิตรทันที ผู้ส่งออกอาจจะชอบ แต่พี่น้องคนไทยตายหมด

ส่วนแบงก์ชาติเรานั้น การแก้กฎหมายในปี 2551 ความจริงได้นำไปสู่การลดอำนาจของผู้ว่าฯ เพราะได้กำหนดให้มีคณะกรรมการขึ้นมากำกับอีกชั้นหนึ่ง และมีประธานซึ่งรัฐบาลมีอิทธิพลในการแต่งตั้งสูงมาก จนเป็นเหตุให้หม่อมเต่าหลุดไป และเราได้ ดร.โกร่งมาแทน

นอกจากนั้น การแก้ครั้งนั้นก็ทำให้บทบาทของรัฐบาลในการร่วมกำหนดนโยบายการเงินมีความชัดเจนขึ้น คือทุกปีรัฐบาลจะเป็นผู้เห็นชอบการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อที่แบงก์ชาติเป็นผู้เสนอ แบงก์ชาติมีเพียงความเป็นอิสระในการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามเป้านั้น ดังนั้นเมื่อครม.อนุมัติเองแล้ว จะมาว่าอะไรเขาอีก

ที่ผมว่าคุณทักษิณเป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุดน่าจะเป็นเพราะกฎหมายทำให้ปลดผู้ว่าฯ ตามไม่ได้...

สุดท้ายผมอยากจะบอกว่า นอกจากขาดความเข้าใจในหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ความเข้าใจในหลักประชาธิปไตยของคุณทักษิณยิ่งน่าเป็นห่วง คุณทักษิณมองการถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าเป็น "ประชาธิปไตยแบบ แค่นๆ" และอยากจะให้รัฐบาลมีอำนาจเด็ดขาดในทุกเรื่อง และให้วัดกันที่การเลือกตั้งทุกสี่ปีเท่านั้น

ไหนบอกชอบรัฐธรรมนูญ" 40 ไงครับ รัฐธรรมนูญฉบับนี้แหละครับคือ ต้นกำเนิดขององค์กรอิสระทั้งหลาย"

Korn Chatikavanij


---------------------

โดยสรุป

จากที่นำสิ่งที่ทักษิณเขียน และนายกรณ์ เขียนมาให้ดูนั้น พวกฟายแดงย่อมไม่มีทางเชื่อนายกรณ์แน่นอน เพราะพวกฟายแดงมันโง่และหลงเชื่อทักษิณจนหัวปักหัวปำ

สมัยเมื่อทักษิณ ยุบสภาในปี 2549 เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ และได้กลายเป็นเลือกตั้งอัปยศนั้น ทักษิณได้ใช้ตรรกะเดิม ๆ เหมือนที่โพสเฟซบุ้คที่ว่า ถ้ารัฐบาลญี่ปุ่นไม่ดี ไว้ 4 ปี ประชาชนก็ไม่ต้องเลือกกลับมาอีก

นั่นคือ ทักษิณไม่ยอมรับการตรวจสอบของรัฐสภา ทักษิณมักอ้างการเลือกตั้งบังหน้าเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง

อย่างเมื่อตอนที่รัฐสภาต้องการตรวจสอบการขายหุ้นชินคอร์ปของทักษิณ ทักษิณเลือกที่จะยุบสภาเพื่อหนีการตรวจสอบ

โดยทักษิณอ้างว่า ถ้าผมทำผิด หรือทุจริต เลือกตั้งคราวหน้า พี่น้องประชาชนก็อย่าเลือกพรรคไทยรักไทยก็แล้วกัน

นี่คือการไม่ยอมรับระบบสภาของทักษิณ ทักษิณเลือกที่จะใช้การเลือกตั้งตัดสินความชอบธรรมของตัวเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมทักษิณจึงปฏิเสธระบบยุติธรรมที่ไม่เอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง

ที่ผมบอกว่า ทักษิณไม่ได้โง่กว่ากรณ์หรอก เพราะทักษิณก็รู้ว่า บริบทเศรษฐกิจญี่ปุ่นกับไทยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนญี่ปุ่นชอบออมเงิน ส่วนคนไทยชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

แต่ที่ทักษิณต้องโพสแบบนั้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น เพราะทักษิณเป็นประเภทพูดความจริงครึ่งเดียว เหมือนที่เขียนสคริปต์ให้ยิ่งลักษณ์อ่านที่มองโกเลียนั่นแหละครับ

ก็เหมือนอย่างที่นายเสนาะ เทียนทอง เคยแฉไว้ว่า คนไทยเจ๊งทั้งประเทศ แต่ทักษิณรวยจากการลอยตัวค่าเงินบาท เพราะทักษิณนำนายทนง พิทยะ คนของตัวเองมานั่งรมว.คลัง ก่อนการลอยตัวค่าเงินเมื่อปี40

ดังนั้น ทักษิณไม่ได้โง่กว่ากรณ์ แต่ทักษิณมันเลวที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทยนั่นเอง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น