วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูประเบียบการขอพระราชทานอภัยโทษ และอย่ายินดีในการประหาร






จากเหตุการณ์ฆาตกรรมข่มขืนเด็กอายุ 13 ปี บนรถไฟและโยนศพทิ้ง อย่างเลือดเย็นนั้น

ทำให้เกิดกระแสสังคมออกมาเรียกร้องว่า ควรประหารคดีฆ่าข่มขืน ซึ่งความจริงนั้น คดีฆาตกรรมทุกประเภทก็มีโทษสูงสุด คือประหารชีวิตอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า พอจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็จะเมตตาลดโทษลงให้กึ่งหนึ่ง คงเลือกจำคุกตลอดชีวิต

ต่อมาหากนักโทษคดีฆาตกรรมทุกคดี ประพฤติตัวดีในคุก และมีทีท่าว่า ได้สำนึกผิดในการกระทำของตัวเองแล้ว ก็มักจะได้รับการเสนอชื่อจากเรือนจำ ผ่านไปยังกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรับการพระราชทานอภัยโทษได้อีก ซึ่งสุดท้ายนักโทษคดีฆาตกรรมก็มักจะติดคุกไม่เกิน 20 ปี

อย่างคดีฆ่าหั่นศพ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2541 ของนายเสริม อดีตนักศึกษาแพทย์ ที่ฆ่าหั่นศพแฟนสาวที่เป็นนักศึกษาแพทย์เหมือนกัน ตอนแรกนายเสริมก็โดนโทษสูงสุดคือ โทษประหาร ต่อมาก็ได้ลดโทษลงกึ่งหนึ่งคงเหลือประหารชีวิต และต่อมาก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ อีกหลายหน

สุดท้ายแล้ว นายเสริม ก็ติดคุกจริงเพียง 10 ปีเท่านั้น เพราะนายเสริม ติดคุกตั้งแต่ 2541 และได้ออกจากคุกในวันที่ 16 ธันวาคม 2551 แถมยังพ่วงปริญญาบัตรนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อีกด้วย

ทราบมาว่า นายเสริม ตอนนี้ได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ และได้ไปเปิดร้านขายยาที่ฝั่งลาวแล้ว

ถ้านายเสริม ได้สำนึกผิดในความผิดของเขาและกลับตัวเป็นคนดีแล้ว ผมก็ขอยินดีกับเขาด้วย

-----------

คดีฆาตกรรมข่มขืน

ด้วยเหตุที่ประเทศไทยชอบอ้างว่า ไทยเราเป็นเมืองพุทธ แต่สถิติอาชญากรรมกลับสูงติดในอันดับต้น ๆ ของโลก ก็มักจะมีการเมตตาผู้กระทำผิดในชั้นต้นที่ยอมรับสารภาพ ด้วยการลดโทษกึ่งหนึงโดยศาล อย่างเช่น โทษประหาร ก็ลดโทษคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต และไป ๆมา ๆ เดี๋ยวก็ได้ออกจากคุกในเวลาไม่กี่ปี ตามที่ผมยกตัวอย่างไปแล้ว

ทีนี้ในคดีข่มขืนฆ่า ที่มีการเรียกร้องให้ประหารชีวิตสถานเดียวนั้น คงหมายถึง ไม่ต้องการให้มีการลดโทษลงจากศาล และไม่ให้นักโทษคดีนี้มีสิทธิขอรับพระราชทานอภัยโทษอีก

สำหรับผม ผมไม่ได้คัดค้านกระแสนี้  แต่คดีบางคดีที่เป็นคดีที่โหดเหี้ยมมาก อย่างเช่น คดีข่มขืนแล้วฆ่า  ในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมานี้ ยังไม่เคยมีการประหารจริง ๆ ในคดีนี้เลยครับ สรุปคือ นักโทษคดีข่มขืนฆ่ารอดการประหารหมดทุกคน

ที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมไทยก็จะเมตตาไปหมดแทบทุกคดี จึงทำให้แทบไม่มีการประหารจริงในคดีฆาตกรรมทุกคดีเลย

แต่ที่เห็นว่ายังพอมีการประหารอยู่บ้างก็คือ คดีค้ายาเสพติดนับแสนๆ เม็ด ก็เพิ่งจะมีการประหารรายล่าสุด ก็เมื่อ ปี พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา และไม่เห็นว่าจะมีการประหารชีวิตนักโทษหลังจากนั้นอีกเลย (ถ้าใครมีข้อมูลว่า ยังมีการประหารหลังจากนั้นอีก ก็ช่วยแจ้งมาด้วย)

อ้อ เกือบลืม

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่กฎหมายเปิดช่องให้คดีข่มขืนสามารถยอมความกันได้ !!

-----------------

การคอร์รัปชันไทยเฟื่องฟู เพราะมือปืนรับจ้าง

อย่างเช่น เคยมีรายการทีวีบางรายการเคยตามไปสัมภาษณ์อดีตมือปืนรับจ้าง คนนึงที่เคยรับจ้างฆ่าคนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ศพ ซึ่งเขาได้ออกจากคุกและไปประกอบอาชีพขายไก่ทอดในตลาดนัดแห่งหนึ่ง ซึ่งโอเค ดูเขาสำนึกผิดและดูเป็นคนดีในสังคมไปแล้ว

แต่ถามว่า มันยุติธรรมกับผู้เสียชีวิตทั้งหลายสิบคนหรือไม่ ?

แล้วจะมีมือปืนรับจ้างสักกี่เปอร์เซนต์ที่ออกจากคุกมาแล้ว จะสำนึกผิดกลับตัวเป็นคนดีได้จริง ๆ ?

อย่างคดีนักศึกษาจ้างวานคนมาฆ่าพ่อแม่และพี่ชายที่เป็นตำรวจ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ มือปืนคนก่อเหตุก็เพิ่งออกจากคุกในคดีฆ่าคนตายมาไม่นานนี่เอง

การที่กฎหมายไทยไม่เข้มแข็งจริง ๆ ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ มีการจ้างวานฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นมายมาย

ซึ่งถ้ามองในวงกว้างขึ้นไปอีก ก็ทำให้คนไทยอีกจำนวนมาก ไม่กล้าเป็นคนดี ออกมาขัดขวางกลุ่มอิทธิพลชั่ว ๆ เพราะถ้าคุณเป็นคนดี หรือเป็นข้าราชการที่ดี สุดท้ายพวกชั่วก็ไปจ้างวานมือปืนมายิงคุณตายง่าย ๆ  แล้วคุณว่ามันคุ้มไหมที่เสี่ยงเป็นคนดีต่อต้านคนชั่ว หรือเป็นข้าราชการที่ดีต่อต้านขบวนการคอร์รัปชัน

นี่แหละครับ ที่ปัญหาคอร์รัปชันไทยที่แก้ยาก สาเหตุหนึ่ง ก็เพราะการจ้างมือปืนมายิงคนดีทิ้งง่าย ๆ นี่แหละ เพราะอาชีพมือปืนรับจ้างในไทยยังเฟื่องฟู

แล้วใครล่ะครับ อยากจะเสี่ยงกล้าเป็นคนดีออกมาปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ก็มีคดียิงแกนนำคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งคนดีตายฟรีแบบนี้เสมอ

คนดีโดนยิงตายง่ายๆ  แต่พวกคอร์รัปชั่นกลับไม่ตาย เพราะคดีคอร์รัปชั่นไม่มีโทษประหารชีวิต !! แถมถึงต่อไปจะมีโทษประหาร แต่ก็คงมีไว้แค่ขู่เท่านั้น 

ประเทศไทยกลายเป็นว่า คนดีตายง่าย คนร้ายตายยากหรือไม่ตาย

คนดีตายไปจนคนลืม แต่คนร้ายได้รับความเมตตาให้กลับตัว ซึ่งกลับตัวกลับใจได้จริงหรือเปล่า มีใครกล้ารับประกัน ?

--------------

ผมได้เสียเพื่อนคนนึงที่เป็นอาจารย์กฎหมายและเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกด้วย ชื่อ อาจารย์นัทจ๋า หนอนพระไตรปิฎก

สาเหตุจาก ที่เราเคยถกกันเรื่องโทษประหารและการพระราชทานอภัยโทษ แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็ตัดผมออกจากการเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คไป

ผมขอยกที่ผมโพสในเฟสบุ้คตามนี้ก่อน



คือ ตามความเห็นที่ผมเคยถกกับอาจารย์นัทจ๋า ผมมองว่า ในอีกหลายคดี เมื่อได้รับการพระราชทานอภัยโทษแล้ว 1 ครั้ง ก็ไม่ควรได้รับการพระราชทานอภัยโทษซ้ำอีก เช่น คดียาเสพติดในหลาย ๆ คดี ที่ศาลลดโทษจากโทษประหารชีวิต ลงกึ่งหนึ่งคงเหลือจำคุกตลอดชีวิตแล้ว

แต่ต่อมา เพราะเป็นเจ้าพ่อยาเสพติด ก็มักจะใช้อิทธิพลในคุก ทำให้เจ้าหน้าที่เรือนจำช่วยชงเรื่องให้เป็นนักโทษชั้นดี แล้วก็ส่งเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษได้หลายครั้งหลายหน ในคน ๆ เดียว

สุดท้ายพวกค้ายาเสพติด ส่วนใหญ่ก็ออกจากคุกในที่สุดในเวลาไม่น่าจะเกิน 20 ปี นี่คือสาเหตุนึงที่ทำให้มีคนจำนวนมากคิดว่า มันคุ้มที่จะเสี่ยงค้ายาเสพติด เพราะโทษประหาร มักมีไว้ขู่เท่านั้น

คนพวกนี้หลายคนสั่งซื้อขายยาได้จากในคุก เพราะคนพวกนี้คิดว่า แค่ตัวเองติดคุก แต่ลูกเมียสบายร่ำรวย มันก็คุ้มที่จะค้ายาต่อไป หรือคุ้มที่จะเสี่ยงค้ายา เพราะสุดท้ายอีกไม่นานเดี๋ยวก็ได้ออกจากคุกแล้ว มันคุ้มที่จะค้ายาเพราะออกจากคุกมาก็มีเงินรออยู่เป็นร้อย ๆ ล้าน

มีหลายคดีที่โทษประหารแล้ว ส่งเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษไปแล้ว แต่เมื่อไม่มีฎีกาพระราชทานอภัยโทษลงมา ก็รอกันไป นานแสนนาน แทบไม่มีการประหารจริง ๆ 


นี่คือบทความของอาจารย์นัทจ๋า เกี่ยวกับ การพระราชทานอภัยโทษ แล้วเอ่ยว่า ได้ตัดความเป็นเพื่อนกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ ผม


คลิกที่รูปเพื่อขยาย !!



ผมอยากบอกอาจารย์นัทจ๋า อีกครั้งว่า ผมไม่เคยขัดขวางการทำพระราชกุศล

แต่ผมอยากบอกว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ แต่มันอยู่ที่กระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษต่างหาก เพราะนักโทษไม่ได้เป็นผู้ทูลเกล้าฯ ขอโดยตรง แต่มันจะต้องผ่านขั้นตอนแรกจากเรือนจำ ไปจนถึงกระทรวงยุติธรรม และไปถึงสำนักราชเลขาธิการ

เราขอแก้ไขที่กระบวนการ ไม่ใช่ไปละเมิดก้าวล่วงพระราชอำนาจ แต่อย่างใด

ผมหวังว่า อาจารย์นัท คงจะเข้าใจในเจตนารมณ์ของผม

---------------

ฝากทิ้งท้ายด้วยเรื่อง อย่ายินดีในการประหาร

เมื่อกฎหมายกำหนดว่า มีโทษประหาร หากศาลตัดสินให้ประหารชีวิตนักโทษ หรือ เพชรฆาต ก็ประหารนักโทษ ไปตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็ไม่บาป เพราะถือว่าทำตามหน้าที่

หรือแม้เราจะเรียกร้องให้โทษประหารมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น มีการใช้จริงให้เกิดขึ้นก็ตาม แต่เราอย่าได้ไปยินดีในการประหาร เพราะนั่นจะทำให้จิตเราไปยินดีในการฆ่า

เช่น เมื่อนักโทษได้รับคำตัดสินจากศาลว่า ต้องรับโทษประหารชีวิต หรือนักโทษได้ถูกประหารชีวิตไปแล้วก็ตาม  ก็ขอให้เราวางจิตว่า นั่นเพราะบาปกรรมที่เป็นผลจากการกระทำของเขา

เราจงอย่าได้ยินดี หรือสะใจ ในโทษประหาร หรือ การประหาร ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะนั่นเท่ากับเรายินดีในการฆ่า ซึ่งเป็นบาป


-----------

แถมข่าววันนี้ 22 ก.ค. 57 เวียดนามได้ประหารนักโทษคดีฆ่าหั่นศพ แล้ว







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น