วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พระกิริยาน่าประทับใจของสมเด็จพระญาณสังวร ฯ กับในหลวงพระโพธิสัตว์







สมเด็จพระญาณสังวร เมื่อครั้งพระองค์ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2532

ได้มีภาพที่ผมประทับใจอย่างมากนั่นก็คือ ช่วงที่ในหลวงทรงพระราชทานน้ำสังข์รดลงฝ่าพระหัตถ์ของสมเด็จพระญาณสังวร ฯ

สมเด็จพระญาณสังวร ทรงประคองน้ำที่อยู่ในพระหัตถ์ ค่อย ๆ ยกขึ้นมาลูบที่พระเศียรของพระองค์เองจนเปียกอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งภาพแบบนี้ผมเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น เพราะปกติแม้แต่เรารดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เราก็ไม่ค่อยได้เห็นผู้ใหญ่คนไหนประคองน้ำมารดบนหัวแบบที่สมเด็จพระสังฆราชทรงกระทำ




ดูเหตุการณ์ตามรูปด้านบนในคลิปนี้ครับ งานพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

(ชมคลิปได้บนคอมพิวเตอร์เท่านั้น และขอบคุณคลิปจากรายการ ดนตรี กวีศิลป์ครับ)

ด้วยที่ในหลวงทรงเคารพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นพระอาจารย์ของพระองค์ มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นพระพี่เลี้ยงในสมัยในหลวงทรงผนวช

ในหลวงจึงทรงมีพระราชอุปถัมป์แก่วัดญาณสังวราราม ฯ จ.ชลบุรี แล้วยกให้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อสมเด็จพระญาณสังวร  และในหลวงยังทรงให้ถือว่า วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 9 คู่กับวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ด้วย

------------------

ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์

(ต่อจากนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล จากคำบอกเล่าของพระอริยสงฆ์ที่ล่วงลับไปแล้วหลายรูป)

เพราะในหลวงของเรา ทรงเปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม และทรงมีพระเมตตากรุณามากล้น

ในหลวงของเราทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 10 ในกัปของพระศรีอารยเมตไตย (พระโพธิสัตว์มีภูมิธรรมระดับพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย)

ซึ่งในยุคนั้น พระศรีอาริยเมตไตย จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก และในหลวงของเราจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 10 ในกัปนั้น

ในหลวงของเราทรงเคยเกิดเป็นพระยาช้างป่าเลไลยกะ ในสมัยพุทธกาล ที่คอยปรนนิบัติถวายอาหารให้แก่พระสมณโคตมพุทธเจ้าของพวกเราในตอนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปลีกหนีเข้าป่า เพราะเบื่อการทะเลาะเบาะแว้งกันเองในหมู่สงฆ์

ช้างปาลิไลกะจักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่ในอนาคต ทรงพระนามว่า พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระพุทธเจ้าโคดมทรงพระทำนายเอาไว้

บุญบารมีของในหลวงของเรามีมากล้น แต่ก็มีมารผจญมากมายเช่นกัน ดั่งคำกล่าวที่ว่า มารไม่มีบารมีไม่เกิด

ซึ่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยพูดถึงในหลวงว่า ทรงปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว ซึ่งในชาตินี้พระองค์ทรงบำเพ็ญวิริยะบารมี แล้วพระองค์จะทรงเหลือการเกิดเพื่อสร้างบารมีอีกเพียง 5 ชาติเท่านั้นก่อนจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

------

ส่วนสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเคยเป็นพระพี่เลี้ยงให้ในหลวงของเรา เมื่อครั้งที่ในหลวงทรงผนวชเป็นภิกษุ มีพระนามว่า ภูมิพโลภิกขุ

และเมื่อสมเด็จพระญาณสังวร ได้รับพระราชทานน้ำสังข์จากในหลวง พระองค์ก็ทรงรับไว้อย่างตั้งใจ น่าประทับใจแก่ผู้พบเห็นจริง ๆ




แม้ในหลวงจะทรงพูดเรื่อง พระชนม์มายุ 120 พรรษา ด้วยพระอารมณ์ขัน เพื่อเปรียบเทียบเรื่อง ไบโอดีเซล ก็ตาม

ผมก็อยากขอให้พวกเราทุกคนร่วมกันอธิษฐานจิตให้พระราชปณิธานของในหลวงสำเร็จดังที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้ครับ

คลิกอ่าน อาลัยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชในความทรงจำของผม


วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรยุทธ โลโก้ช่อง 3 กับถุงยังชีพ






บทความนี้เป็นบทความที่ผมวางแผนไว้ในใจว่าจะเขียนมานานพอควร แต่ก็ไม่ได้เขียนสักที

ประเด็นก็คือเรื่อง ถุงยังชีพช่อง 3 ที่ผมคิดอยากจะแนะนำว่า โลโก้ช่อง 3 ควรจะใช้ตัวเล็ก ๆ ไม่ต้องใหญ่มาก

ส่วนประโยค "ด้วยเงินบริจาคของประชาชน ผ่านครอบครัวข่าว3" ควรจะเขียนตัวใหญ่ ๆ ให้ชัดเจน

แต่ที่เห็นทุกวันนี้คือ โลโก้ช่อง 3 ตัวใหญ่มาก ๆ มองเห็นชัดเจนแต่ไกล แต่คำว่า ด้วยเงินบริจาคของประชาชน ถ้าอยู่ไกล ๆ ก็มองไม่เห็นแล้ว




ทีนี้ผมได้เห็นความเห็นที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องถุงยังชีพช่อง 3 ทางเว็บข่าว ASTV ตามนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


"การกระทำของสรยุทธ และช่อง 3 ทุกวันนี้ได้แสดงตัวความเป็นทุนนิยมสามานได้ออกมาอย่างแจ่มชัด งานทุกอย่างที่ทำ และงานช่วยเหลือสังคมทั้งหลาย เช่น ช่วยเหลือผู้ประสพภัยน้ำท่วม อย่าคิดว่าเขาช่วยจริงๆ แต่เขาทำเพื่อ เรทติ้ง สร้างคุณค่าให้ตัวเอง และรายการของเขา โดยใช้เงินประชาชน ที่มีจิตเมตตา วีธีนี้คล้ายๆใครไหมครับ ทักษิณ ไงครับ ใช้เงินประชาชน แต่โล้โก้รายการ โล้โก้ช่อง 3 ตัวเบ้อเร้อ และเขียนต่อไปว่าด้วยเงินของประชาชน แต่ลองคิดดีๆ ว่าใครได้ประโยชน๋ ทำไมไม่เขียนว่าด้วยเงินประชาชนตัวโตๆ แล้วโล้โก้เขาตัวเล็ก ทำไมเหรอครับ เพราะตัวโตๆในทีวีเห็นชัด ไม่ว่าจะไปเดินลุยน้ำไม่กี่วัน อดทนไม่กี่วัน แต่สิ่งที่ได้กลับมามหาศาลกว่า มันเป็นวาไรตี้ ทุกวันนี้เขาไม่ใช่นักข่าว เขาเป็นดารา ถ้าทำให้เรทติ้งเขาตก เขาจะโกรธมาก เหมือนวันที่ประชาชนให้เขาเป่านกหวีด"


--------------------------

ทุกครั้งที่ช่อง 3 เปิดรับบริจาคอะไร ผมชื่นชมและอนุโมทนาร่วมด้วยทุกครั้ง ถ้ามีโอกาสก็จะร่วมทำบุญด้วยเสมอ

แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่อยากให้มีข้อครหา ควรก็ทำตามผมแนะนำ โดยโลโก้ช่อง 3 ต้องให้มันตัวเล็ก ๆ แต่คำว่า เงินบริจาคของประชาชน ต้องเขียนตัวใหญ่ ๆ

แบบนี้




วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ความโง่ของนิติราษฎร์กับคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา สว.






ได้ดูพวกนิติราษฎร์นำโดย วรเจตน์ กับ ปิยะบุตร แถลงเรื่องศาลไม่มีอำนาจรับคดีที่มา สว. เพราะในมาตรา 68 ศาลต้องรับเรื่องจากอัยการสูงสุดเท่านั้น

และพวกนิติราษฎร์ยังอ้างอีกว่า คดีนี้ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ศาลจึงรับคดีแก้ไขที่มา สว. ไม่ได้

-----------------------

ทำไมศาลรัฐธรรมนูญถึงสามารถรับคดีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา สว.ได้

ให้ดูจากรูปนี้นะครับ



ประเด็น ศาลใช้ข้อกล่าวหาใดในการรับพิจารณาคดีนี้ ซึ่งไม่ใช่กรณีรื่องการล้มล้างการปกครอง เพราะถ้าเป็นการล้มล้างการปกครอง ในวันนั้นศาลสามารถตัดสินยุบพรรคเพื่อไทยได้ทันที

แต่เป็นประเด็นที่ผมขีดเส้นใต้สีฟ้าไว้ คือ

ข้อความที่ขีดเส้นใต้สีฟ้า คือ หรือเพื่อได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้

จุดแรกให้สังเกตคำว่า หรือ

ซึ่งแปลว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครองฯ เท่านั้น ที่ศาล รธน.จะรับพิจารณาคดีได้

แต่ศาลสามารถรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่ได้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ได้เช่นกัน

เพราะคดีแก้ไขที่มา สว. นั้น มีข้อกล่าวหาเรื่องเสียบบัตรแทนกัน หรือข้อกล่าวหาเรื่องที่ประธานรัฐสภาไม่ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง ซึ่งทั้งสองข้อกล่าวหานี้ผิดรัฐธรรมนูญหลายมาตรา จึงทำให้ศาล รธน. จึงรับคดีนี้มาวินิจฉัยได้ครับ

---------------------

จากมาตรา 68 ทำไมศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องรับเรื่องผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น

ให้ดูจากรูปประกอบด้านบนในมาตรา 68 อีกรอบ ตรงที่ผมขีดเส้นใต้สีเขียวไว้ และดูรูปด้านล่างนี้ประกอบ



ให้สังเกตคำว่า สิทธิ ซึ่งหมายถึง ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวมีสิทธิยื่น หรือจะไม่ใช้สิทธิยื่นก็ได้ เพราะคำว่า สิทธิ คือทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้ ไม่ได้บังคับ

ถ้าจะบังคับให้ผู้ทราบการกระทำต้องยื่นให้อัยการสูงสุดตรวจสอบก่อนเท่านั้น จะต้องไม่ใช้คำว่า สิทธิ ในมาตรา 68 แต่ต้องใช้คำว่า ต้อง หรือ มีหน้าที่ แทนในมาตรา 68 นี้

ตัวอย่างเช่น ผู้ทราบการกระทำต้องยื่นให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยฯ

และเมื่อดูประโยคที่ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบ "ผมทำการบ้านเสร็จแล้วส่งให้แม่ตรวจทานก่อน และไปส่งให้ครูตรวจในวันรุ่งขึ้น"

จากประโยคดังกล่าว ผมคือผู้ที่ส่งการบ้านให้แม่ตรวจทาน และผมก็ไปส่งให้ครูตรวจอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (ไม่ใช่แม่ ที่ไปส่งการบ้านให้ครูในวันรุ่งขึ้น)

เช่นเดียวกัน อัยการสูงสุด ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนนำเรื่องไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้เท่านั้น

รายละเอียดเกี่ยวกับมาตรา 68 แบบจะจะกว่านี้ ตามไปอ่านได้ที่
คลิกอ่าน ความโง่ของนิติราษฎร์ กับมาตรา 68 ตอน 1

---------------

ส่วนที่นายวรเจตน์ ได้ยกตัวอย่างว่า ถ้าใคร ๆ ก็ส่งเรื่องให้ศาล รธน.ได้ตามตามมาตรา 68 จะทำให้ศาล รธน. จะมีคดีล้นมือนั้น

ผมขอตอบว่า เป็นการอ้างง่าย ๆ แบบมั่ว ๆ เพราะตั้งแต่ศาล รธน.วินิจฉัยว่า ศาลสามารถรับเรื่องโดยตรงจากประชาชนได้ตามมาตรา 68 มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีประชาชนมากมายไปยื่นเรื่องต่อศาลรธน. ตามที่นายวรเจตน์อ้างเลย

ก็ขนาดอัยการสูงสุด รับเรื่องได้แทบทุกเรื่องในราชอาณาจักร แต่อัยการสูงสุดมีตำแหน่งเดียวคนเดียว งานมันควรจะล้มมือมากกว่าศาลรธน.เสียอีก

ฉะนั้นประเด็นอ้างชุ่ย ๆ ว่า ถ้าใครก็ยื่นตรงต่อศาลรธน. ตามมาตรา68 นั้น จะทำให้ศาลรธน.งานล้มมือ จึงไม่เป็นความจริงครับ

เพราะคงไม่มีใครที่ไหน อยู่ดี ๆ ไปกล่าวหาใครล้มล้างการปกครองง่าย ๆ หรอกครับ เพราะอาจโดนฟ้องร้องทีหลังได้


------------------

ต่อไปนี้ผมจะยกแค่ความผิดในประเด็นสำคัญ ๆ บางประเด็นมาอธิบาย

เช่นเรื่องการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน

การเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ศาลตัดสินว่า ผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 126 วรรค 3

ซึ่งมาตรา 126 วรรค 3 เขียนไว้ว่า

"สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงลงคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเพื่อเป็นการชี้ขาด"

การที่สส.เสียบบัตรแทนกัน ก็เท่ากับใช้สิทธิเกิน 1 คน 1 เสียง หรือเปรียบเสมือนในการเลือกตั้ง มีคนใช้บัตรประชาชนของคนอื่นมาลงคะแนนแทนกัน

ส่วนตรรกะของนายปิยะบุตร แห่งนิติราษฎร์ ในเรื่องเสียบบัตรแทนกันนั้น

นายปิยะบุตร ได้อ้างว่า "ถ้ามีคนเสียบบัตรแทนกันจริง ก็มีเสียงแค่ 8 เสียงเท่านั้น เมื่อหัก 8 เสียงออกไป ก็ยังเหลือเสียงส่วนใหญ่ที่ยังสามารถผ่านกฎหมายนี้ได้"

ตรรกะนายปิยบุตรนั้น เห่ยมาก ๆ ถ้าคิดแบบนายปิยะบุตร ก็จะทำให้นายโอ๊คก็ไม่ต้องโดนปรับตกในการพกโพยเข้าห้องสอบก็ได้ ตามตัวอย่างนี้

โอ๊ค พานทองกุ๊ย ได้นำโพยเข้าห้องสอบตามคำแนะนำของนายเฉลิมรุ่นพี่ จนถูกอาจารย์จับได้ว่า ทุจริตในการสอบ

แต่เมื่อได้ตรวจข้อสอบของโอ๊คแล้วนำมาเทียบกับโพย พบว่า มีข้อสอบที่ตรงกับโพยเพียง 10 ข้อเท่านั้น

แต่โอ๊คทำข้อสอบได้คะแนนทั้งหมด 60 คะแนน เมื่อหักออก 10 คะแนนที่ตรงกับโพย

โอ๊ค จึงเหลือคะแนน 50 คะแนน พอดี โอ๊คจึงสอบไม่ตก

ด้วยตรรกะควาย ๆ เช่นนี้ โอ๊คเลยสอบผ่าน และไม่ถึงขั้นต้องปรับตก หรือไล่ออกแต่อย่างใด

5555/@akecity


นายปิยะบุตร ยังแถในเรื่องนี้ต่อไปอีกว่า ถ้าอย่างนั้น ต่อไปเสียงข้างน้อยในสภาอยากจะป่วนล้มกฎหมายอะไร ก็แค่แกล้งเสียบบัตรแทนกันก็ได้น่ะสิ เพราะพอเสียบบัตรแทนกัน ก็จะทำให้ขั้นตอนการออกกฎหมายผิดไปจากบรรทัดฐานของคำตัดสินศาล รธน. ที่เคยตัดสิน

ผมว่านายปิยะบุตร นี่มันโง่จริง ๆ กรณีฝ่ายเสียงข้างน้อยจะล้มคะแนนเสียงข้างมาก ด้วยการที่เสียงข้างน้อยเสียบบัตรแทนกันนั้น ย่อมไม่มีทางล้มคะแนนเสียงส่วนใหญ่ได้ เพราะมันเป็นคนละฝ่ายกัน จึงนำวิธีนี้มาใช้ล้มอีกฝ่ายไม่ได้

แต่กรณีแก้ไขที่มา สว. ฝ่ายเสียงข้างมาก กลับมี สส. พวกเดียวกันที่เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ก็เพราะมันเป็นพวกเดียวกันนั่นแหละ กฎหมายจึงได้มีอันตกไป เพราะมีการโกงคะแนนในเสียงข้างมากเกิดขึ้น !!

เพราะศาลคงจะพิจารณาว่า เฉพาะคะแนนที่ชนะการโหวตนั้นมีการโกงคะแนนกันหรือไม่ (ผมเชื่อว่าศาลคงวินิจฉัยเช่นนั้น)

----------------------

ประเด็น ประธานตัดสิทธิ สส. และ สว. ในการแปรญัตติ

ศาลตัดสินว่า การที่ประธานในที่ประชุมรัฐสภา ตัดสิทธิการขอแปรญัตติของ สส. และ สว. เป็นจำนวนมากนั้น

ซึ่งผมก็ดูการประชุมใันวันนั้นเช่นกันว่า  การทำหน้าที่ของประธานสภาได้ตัดสิทธิการขอแปรญัตติของสส. และ สว. รวมกันทุกวาระมีร่วมร้อยคนอย่างน่าเกลียด โดยตัดสิทธิ สส. และสว. ไม่ให้แปรญัตติในแต่ละวาระเป็นจำนวนมาก เพราะประธานเร่งรีบให้กฎหมายผ่านไปเร็ว ๆ ตามใบสั่ง

ศาล รธน. ได้ตัดสินในเรื่องนี้ว่า ประธานรัฐสภา กระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรค 2 และมาตรา 125 วรรค 1 และวรรค 2

มาตรา 3 วรรค 2 เขียนว่า "การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งอค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม"

มาตรา 125 วรรค 1 เขียนว่า "ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภามีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของสภานั้น ๆ ให้เป็นไปตามข้อบังคับ รองประธานมีหน้าที่ตามที่ประธานมอบหมายและปฏิบัติหน้าที่แทนประธานเมื่อประธานไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้"

มาตรา 125 วรรค 2 เขียนว่า "ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือผู้ทำหน้าที่แทน ต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่"

ซึ่งเมื่อเราดูมาตรา 3 และมาตรา 125 แล้วนำไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของประธานรัฐสภาและประธารวุฒิสภา จะเห็นได้ว่า หน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง  ตัดสิทธิการขอแปรรญัตติของ สส. และ สว. เป็นจำนวนมากแบบน่าเกลียดมาก

จึงถือว่า ประธานทั้งสองคนปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลาง ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม


ตรรกะของนายปิยะบุตร ในเรื่องนี้ได้แถว่า "ถ้ายึดตามคำตัดสินของศาล ต่อไปฝ่ายค้ายจะป่วนรัฐบาลทุกเรื่องด้วยการเสนอขอแปรญัตติกันทุกคน ยิ่งจะทำให้การประชุมในแต่ละเรื่องล่าช้าอย่างมาก"

เอ่อ.. ไอ้ปิยะบุตร เอ็งมันแถเอาแต่ได้นี่หว่า อย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา การประชุมรัฐสภาในหลาย ๆ เรื่อง เขาเปิดโอกาสให้ สว. สส. อภิปรายกันได้เต็มที่ บางคนอภิปรายเรื่องเดียวเป็นวัน ๆ ก็เคยมีมาแล้ว หรืออภิปรายข้ามไปอีกวันต่อ ก็เคยมี เพราะนั่นเป็นสิทธิและหน้าที่โดยชอบธรรมของ สส.และ สว.

โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ ๆของประเทศไทย อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยิ่งต้องเปิดให้แสดงความเห็นอย่างเต็มที่ มันจะเสียเวลาประชุมจะกี่วันก็ชั่ง ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่รู้พวกมึงจะรีบเร่งไปทำไม

ไอ้ควรที่เร่งรีบคือ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน ไม่ใช่แก้ไขรัฐธรรมนูญ

การที่ประธานสภาไปตัดสิทธิการแสดงความเห็น สว. และ สส. คือการริดรอนสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาชัด ๆ

--------------------

จากที่ผมยกตัวอย่างมาคร่าว ๆ คงพอมาออกกันแล้วว่า พวกนักวิชาการชั่ว ๆ สายล้มเจ้าอย่างพวกนิติราษฎร์ มันพยายามแถเพื่อช่วยรัฐบาลชั่วและสส.ขี้ข้าทักษิณอย่างไร

ยิ่งไอ้พวกคนที่ไปฟังพวกนิติราษฎร์แถลง ยิ่งท่าทางโง่มาก ๆ  พวกนี้มันคงไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญกันแหง ๆ เพราะเอาแต่เชื่อไอ้พวกนิติราษฎร์มันสั่งสอนเท่านั้น


คลิกอ่าน ความโง่ของนปช. นิติราษฎร์ เรื่องอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ



วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เสื้อแดงตาสว่างจริง หรือจะเป็นแผนซ้อนแผน







เป็นที่ฮือฮาว่า มีเสื้อแดงกลับใจมาขึ้นเวทีของเทพเทือก ชื่อ ปาริชาติ บุญสร้อย มาแฉระบอบทักษิณ ตามคลิปข้างล่างนี้




แถมเสื้อแดงคนนี้ยังบอกอีกว่า จนเหลือเกิน แต่พอดูจากรูปในเฟสบุ้คที่มีชื่อเดียวกับเธอ ก็เห็นว่า มีทั้งรถป้ายแดง มีมอไซค์ฮอนด้า ยังเพิ่งขึ้นบ้านใหม่

แถมยังใส่ทองทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมืออีกด้วย



แม้ว่าเสื้อแดงคนนี้จะบอกกับทางเวทีเทพเทือกไว้ว่า ไม่เคยเล่นเฟสบุ้ค แต่ผัวเก่าโพสแทน

ถามว่า จะเชื่อถือเสื้อแดงนางนี้ได้เหรอ ? เสื้อแดงแม่งโกหกตอแหล เป็นงานถนัดอยู่แล้ว

ยังไง ๆ ผมก็ว่า ฟังหูไว้หูดีที่สุด เพราะมันอาจเป็นแผนซ้อนแผนซ้อนแผนและซ้อนแผนหลายตลบก็ได้นะ



ถ่ายรูปกับ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์





รถป้ายแดง ก็ไม่อาจชี้ชัดว่าเป็นรถของเธอหรือเปล่า แต่ถ้าใช่รถของเธอ ก็ถือว่าไม่ยากจนแล้วล่ะ




 เพิ่งขึ้นบ้านใหม่


ยังไงผมก็ขอย้ำว่า เรื่องนี้ต้องฟังหูไว้หูน่ะดีที่สุด เพราะไม่ใช่วันดีคืนดี หลายวันต่อมา

เสื้อแดงคนนี้กลับไปขึ้นเวทีเสื้อแดง แล้วออกมาบอกว่า

"พวกสลิ่มแม่งโง่ว่ะ กูแค่ไปรับเงินของมัน เพื่อขึ้นไปหลอกมัน พวกมันก็รีบหลงเชื่อกู แถมพวกสลิ่มแม่งเสือกเชื่อกูด้วยนะว่า ท่านทักษิณจ้างกูตั้งล้านห้าไปเผาศาลากลาง สลิ่มแม่งโง่จริง ๆ ที่กูเผาเพราะกูเกลียดไอ้ฆาตกรอภิสิทธิ์ต่างหากโว้ย 5555"

เขาเรียกกลยุทธนี้ว่า ใช้คนโกหกให้ไปพูดเรื่องจริง แล้วเรื่องจริงก็กลับกลายเป็นเรื่องโกหก 

กลยุทธนี้ องค์หญิงต๊อกมานเคยใช้หลอกมีซิลมาแล้ว

-------------------------

สมมุติง่าย ๆ

ถ้าคุณป็นเสื้อแดง ส่วนผมเป็นแกนนำแล้วไปบอกคุณว่า ถ้าไปเผาศาลากลางทักษิณจะจ่ายให้คุณล้านห้า คุณจะเชื่อผมไหม ?

ถ้าเสื้อแดงรากหญ้าส่วนใหญ่มันเชื่อว่าทักษิณเป็นคนดี แล้วจู่ ๆ มาจ้างให้ไปเผาศาลากลาง มันแทม่ง ๆ อยู่นะ

การที่จะให้ใครไปทำชั่วเสี่ยงตายได้ โดยเฉพาะพวกรากหญ้า ผมว่า หลอกให้มันศรัทธาหลงเชื่อแบบหัวปักหัวปำ โดยไม่ต้องจ่ายเงินจ้างนั่นแหละดีที่สุด เหมือนพวกลัทธินอกรีตเคยใช้มอมเมาสาวก เช่นลัทธิโอม ชิน ริ เกียว

แต่ที่นี่คือลัทธิทักษิณหลอกควาย 555

ส่วนเงินน่ะ เอาไว้จ้างไอ้ตู่ ไอ้เต้น ไอ้เหวง อีธิดานกแสก ก็พอ แล้วให้ไอ้พวกนี้ไปหลอกพวกรากหญ้าอีกที

และที่จริงสำหรับไอ้พวกเสื้อแดงรากหญ้าที่เห็นแก่เงิน จ้างมันแค่หมื่นเดียว มันก็ยอมเผาแล้ว ทักษิณมันไม่โง่จ้างตั้งล้านห้าหรอก !


สุดท้ายอยากจะบอกไอ้พวกฟายแดทั้งหลายว่า ถึงพวกกูจะยอมให้เสื้อแดงคนนี้ขึ้นเวทีพวกกู ก็ไม่ได้แปลว่า พวกกูจะหลงเชื่อเสื้อแดงคนนี้ง่าย ๆ หรอกนะโว้ย 555


----------------------

ความเห็นดี ๆ จากเพื่อน




--------------------------

ขำขัน กับก้นบึ้งหัวใจแดงปาริชาติ



มีเพื่อนถามว่า "ได้เคยสืบประวัติก่อนขึ้นเวทีหรือยัง"

ผมตอบไปว่า "ทางเวทีเขาก็ว่าสืบประวัติแล้ว แตสำหรับผม แค่ได้ฟังจากคลิปก็พอ เธอบอกเองว่า ยอมเผาศาลากลางจังหวัดได้เพื่อเงิน เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วครับว่า คนพรรค์นี้คบไม่ได้ ตอแหลปลิ้นปล้อนครับ"


คลิกอ่าน ปาริชาติ บุญสร้อย ชักเริ่มออกแนวเพี้ยน ๆ


วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2







ขอตอกย้ำเลยว่า ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 .ในพ.ศ.2556 อีกแล้ว?

เพราะศาลโลกแทงกั๊ก ใช้คำตัดสินเดิมปี 2505 เป็นหลักนี่แหละที่ว่าต้องเป็นปัญหาต่อไป เพราะคำตัดสินเดิมก็กำกวม แต่คราวนี้ศาลโลกก็ยังเอียงไปทางกัมพูชามากกว่าเหมือนเดิม

และสื่อต่างประเทศทุกสื่อ ก็ลงข่าวในแนวทางเดียวกันคือ กัมพูชาชนะไทย





ซึ่งผมต่อไปนี้ ผมจะอธิบายโดยใช้คำแปลจากคำตัดสินจากเว็บมติชนเป็นหลัก และใช้คำตัดสินที่เว็บผู้จัดการแปลเป็นส่วนเสริม

เพราะผมคิดว่า มติชนเป็นพวกรัฐบาล แต่เมื่อผมอ่านคำแปลของมติชนแล้ว ผมกลับมองว่า ไทยก็ยังแพ้คดีเหมือนเดิม

------------------------

ประเด็นแรก การล้อมรั้วตามมติครม. 2505 กลายเป็นโมฆะ

จากคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ ปี พ.ศ. 2505 ไทยเราตีความว่า เฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่ตกอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาเท่านั้น จึงได้มีมติครม. 2505 ล้อมรั้วตัวปราสาทไว้

แต่ศาลโลกในปี 2556 นี้ ได้ตัดสินชัดเจนว่า เส้นเขตแดนไม่ได้เป็นไปตามมติ ครม.2505 ของไทย

เพราะศาลโลกระบุว่า มติครม.2505 ของไทยเป็นการตีความที่ผิด เป็นการกำหนดเองของไทยฝ่ายเดียว และไม่ได้ตีพิมพ์เอกสารเผยแพร่ ในขณะที่ศาลโลกบอกว่า กัมพูชาเคยทำหนังสือส่งมาที่ศาลโลกว่า ไม่เห็นด้วยกับการล้อมรั้วลวดหนามของไทย

ฉะนั้น ตรงนี้ไทยเราต้องเสียดินแดนเพิ่มจากมติครม.2505 แน่นอน เท่ากับประเด็นแรกไทยแพ้ครับ

---------------------

ประเด็นที่ 2 ภูมะเขือเป็นของไทยหรือกัมพูชา ?

ศาลโลกตัดสินว่า ในคำตัดสินเดิมนั้นไม่มีภูมะเขือมาเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ศาลจึงไม่เหตุอันใดต้องมาตัดสินชี้ชัดในเรื่องภูมะเขือ

สรุปง่าย ๆ ว่า ศาลโลกไม่ได้บอกว่า ตกลงภูมะเขือเป็นของไทยหรือกัมพูชากันแน่ เหตุเพราะคำพิพากษาเดิมไม่เอ่ยถึง (ใครสงสัยไปอ่านคำแปลที่มติชนได้ คลิก)

แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ภูมะเขือ ทหารกัมพูชายึดครองมานานแล้วครับ การที่ศาลโลกบอกว่า คำตัดสินเดิมไม่มีเรื่องภูมะเขือ นั่นแสดงว่า ไทยกับกัมพูชาก็ไปเจรจาตกลงกันเองเรื่องภูมะเขือ

แล้วคุณคิดว่า กัมพูชาจะยอมถอนทหารออกจากภูมะเขือเหรอครับ ?

สรุปง่าย ๆ ว่า ไทยไม่ได้ภูมะเขือกลับมาแน่นอน 100 %

------------------

ประเด็นที่ 3 เรื่อง แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ศาลว่าไง ?

ถ้าได้อ่านคำตัดสินของศาลโลกในประเด็นแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนโดยละเอียด จะเห็นว่า ศาลโลกไม่ได้ปฏิเสธแผนที่ฉบับนี้

แถมยังย้ำอีกครั้งด้วยว่า การที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนเขาพระวิหาร ก็เท่ากับแสดงว่าไทยยอมรับทางอ้อมว่าไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว

ดังส่วนหนึ่งของคำตัดสินของศาลโลกในปี 2556 ตามนี้

" แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเหตุผลหลักในการพิพากษา เมื่อได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของคดี และพิจารณาผลความเกี่ยวเนื่องกับสนธิสัญญา ศาลเห็นว่า ประเด็นหลักคือคู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดนอันเป็นผลของคณะกรรมการปักปันเขตแดน บริเวณปราสาทพระวิหาร และมีผลผูกพันหรือไม่ ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความในการเข้าไปเยี่ยมชม โดยเฉพาะสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยมีเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสให้การต้อนรับ ศาลเห็นว่า เหมือนเป็นการยอมรับโดยทางอ้อมของสยามในอธิปไตยของปราสาทพระวิหาร รวมทั้งพฤติกรรมอื่นๆ ของไทยในเวลาต่อมา ถือว่าเป็นการยืนยันของไทยในการยอมรับเส้นแบ่งเขตแดน ในภาคผนวก 1

โดยไทยในปี 1908 (พ.ศ.2451) และ1909 (พ.ศ.2452) ได้ยอมรับว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นผลของคณะกรรมการปักปัน และยอมรับว่าเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่นำไปสู่การวินิจฉัยว่าปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชา การยอมรับของคู่ความสองฝ่าย ทำให้แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา จึงเห็นได้ว่า การตีความสนธิสัญญาจะต้องชี้ขาดว่า แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นแผนที่ในพื้นที่ขัดแย้ง"

ที่ยกมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ศาลโลกได้ยืนยันอีกครั้งว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปแล้ว แถมบอกด้วยว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา

เพียงแต่ในกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ศาลพิจารณาแค่ที่มีในคำตัดสินพ.ศ.2505 เท่านั้น คือบริเวณปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น ศาลไม่มีอำนาจชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศจากประเด็นเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน

สรุปง่าย ๆ ว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาก็ยังต้องหลอนไทยต่อไป ทีนี้ขึ้นอยู่กับการตีความของกัมพูชากับไทยแล้วล่ะ ว่าจะเอายังไง

แต่ผมว่า กัมพูชาเขาก็ยังจะยึดแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนต่อไปแน่นอน ก็เพราะศาลโลกได้ตัดสินแล้วนี่ว่า ไทยได้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนในกรณีเขาพระวิหารไปแล้ว

--------------------------

ประเด็นพื้นที่ 4.6 ตร.กม.

ศาลโลกตัดสินว่า ในคำตัดสินเดิมไม่มีเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ดังนั้นศาลจึงไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องนี้เพราะมันอยู่นอกเหนือคำตัดสินเดิม

นั่นแปลว่า บริเวณพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ศาลโลกก็เลยไม่ตัดสินชี้ชัดว่าเป็นของไทย หรือของกัมพูชากันแน่เหมือมเดิม

แต่ที่แน่ ๆ กัมพูชาเขาย่อมตีความว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชาแน่นอน ตามแผนที่ภาคผนวก 1 (หรือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน)

การที่ท่านทูตวีระชีย บอกว่า กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไป จึงเป็นการคิดเองของไทยฝ่ายเดียวครับ เพราะศาลโลกไม่ได้ตัดสินในประเด็นนี้

เท่ากับว่า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องต่างตีความกันเองต่อไป หรือไปเจรจากันเองแล้วกัน

--------------------

ประเด็น พื้นที่รอบเขาพระวิหารคือแค่ไหนกันแน่ ?

ศาลโลกตัดสินว่า ในคำพิพากษาเดิมปี 2505 ก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า พื้นที่รอบเขาพระวิหารมีแค่ไหน เพราะคำตัดสินเขียนไว้คร่าว ๆ ว่าบริเวณปราสาทพระวิหารและบริเวณใกล้เคียง แต่ที่แน่ ๆ พื้นที่ต้องมีมากกว่ามติครม.2505 เพราะรวมไปถึงชะง่อนผา

ศาลโลกจึงแนะนำให้ไทยกับกัมพูชาไปเจรจากันเอง โดยเน้นว่า ให้ยึดเรื่องมรดกโลกเป็นสำคัญ และให้ฟังคำแนะนำจากยูเนสโกไว้เป็นสำคัญ

นี่เท่ากับเข้าทางกัมพูชาอีกแล้วครับ เพราะกัมพูชาเขาตีความมาตลอดว่า บริเวณรอบเขาพระวิหารคือพื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของกัมพูชา เช่น รวมพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ร่วมกันกับปราสาทเขาพระวิหารไปด้วย เช่น สระตราว สถูปคู่ และเผลอ ๆ มีผามออีแดงพ่วงไปด้วย

การที่ศาลโลกแนะนำว่า ให้ไทยกับกัมพูชาบริหารจัดการบริเวณรอบเขาพระวิหารร่วมกัน นั่นเท่ากับว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.จะไม่เป็นอำนาจอธิปไตยของไทยฝ่ายเดียวอีกต่อไป เพราะจะต้องมีคณะกรรมการร่วมอีก 7 ชาติ รวมกับไทยและกัมพูชาเป็น 9 ชาติ ร่วมกันบริหารจัดการพื้นที่นี้ตามระเบียบของคณะกรรมการมรดกโลก

แต่ !! มรดกโลกเขาพระวิหารยังเป็นสิทธิของกัมพูชาฝ่ายเดียว แต่ไทยต้องยอมเสียพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารซึ่งจะอาจมากถึง 4.6ตร.กม.จริงหรือไม่ ? ก็ยังไม่ชัดเจน เพราะต้องเจรจากันต่อไป

แต่ที่แน่ ๆ คณะกรรมการมรดกโลกจาก 7 ชาติเขาเข้าข้างกัมพูชาแน่นอน

สรุปไทยมีแต่เสียดินแดนเพิ่มแน่นอน แต่รัฐบาลไทยจะหลอกคนไทยว่า ไม่ได้เสียดินแดน แค่เข้าไปจัดการพื้นที่ร่วมกันเท่านั้น (นั่นแหละคือเสียอธิปไตยบนดินแดนไปแล้ว)

-------------------------------

ประเด็นทหารไทยต้องถอนทหารออกจากบริเวณรอบปราสาทแคไหน

ก็เพราะศาลไม่ชี้ชัดว่า บริเวณรอบปราสาทคือแค่ไหนกันแน่เหมือนเดิม แต่มีมากกว่าตามมติครม.2505 แน่นอน เพราะให้รวมไปถึงทางขึ้นตัวปราสาทด้วยให้ตกเป็นของกัมพูชาเป็นอย่างน้อย

ดังนั้นคำว่าบริเวณรอบปราสาท ก็ยังขึ้นอยู่กับการตีความของไทยและกัมพูชาเหมือนเดิม ซึ่งก็ต้องเป็นปัญหาต่อไปแน่นอน

ซึ่งถ้ากัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลกร่วมอีก 7ชาติ เขาเกิดระบุว่า บริเวณรอบปราสาทเขาพระวิหารคือพื้นที่ใน4.6 ตร.กม.ล่ะ เช่นต้องมี สระตราว สถูปคู่ และผามออีแดงด้วยล่ะ ไทยเราจะยอมถอนทหารออกจากพื้นที่เหล่านี้หรือไม่ ?

สรุปว่า ไทยมีแต่เสียดินแดนเพิ่มขึ้นแน่นอน อย่างเช่นในคำตัดสินศาลโลกคราวนี้ได้ระบุว่า

"ศาลได้เน้นย้ำบริเวณปราสาทว่า ปราสาทตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เห็นได้ชัดเจนมาก ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น คือทางตะวันออกเฉียงใต้และทางตะวันตกเฉียงใต้ของหน้าผาฝั่งกัมพูชา และด้านเหนือกับตะวันตกเฉียงเหนือเป็นที่ที่อยู่ในเทือกเขาดงรัก หุบเขาทั้งสองนี้ เป็นช่องทางที่กัมพูชาสามารถเข้าถึงปราสาทพระวิหารได้เพราะฉะนั้นตามความเข้าใจเบื้องต้นบริเวณปราสาทพระวิหาร ศาลเห็นว่า เขตแดนของกัมพูชาทางเหนือนั้น ไม่เกินเส้นแบ่งของแผนที่ภาคผนวก 1 ศาสตราจารย์ฟรีดริช แอคเคอร์มานน์ ไม่ได้ให้ระบุระยะทางที่ชัดเจน แต่ตามพยานหลักฐานมีความชัดเจนว่าด่านตำรวจอยู่ในระยะที่ไม่ไกลมากทางใต้และอยู่ในจุดใดจุดหนึ่งบนแผ่นที่ภาคผนวก 1"

ตรงที่ศาลตัดสินว่า เขตแดนของกัมพูชาทางเหนือนั้น ไม่เกินเส้นแบ่งของแผนที่ภาคผนวก1 (1 ต่อ 2 แสน) ก็เท่ากับว่า กัมพูชาสามารถตีความได้เลยว่า ทางทิศเหนือของปราสาทเขาพระวิหาร กัมพูชายึดพื้นที่ได้ตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เพราะคำว่าไม่เกิน ก็แปลว่า พอดีก็ได้ 



หน้าผาของตัวปราสาทเขาพระวิหารยื่นลงไปทางทิศใต้สู่กัมพูชา ส่วนทิศเหนือก็คือตามแนวเส้นประหรือตามแนวแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน

สรุปว่า กัมพูชาจะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นทางเหนือไปจรดถึงแนวเส้นประตามแผนที่ 1ต่อ 2 แสนแน่นอน เท่ากับไทยเสียดินแดนเพิ่มครับ

------------------

ประเด็น พื้นที่เล็ก ๆ คือแค่ไหน ?

ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่า คำว่าพื้นที่เล็กๆ ที่ศาลเอ่ยถึงคือแค่ไหน ฉะนั้นอย่าหลงดีใจกับคำว่า พื้นที่เล็ก ๆ ครับ

-----------------

มาตรา 190 ฉบับใหม่ ทำไทยเสียดินแดนแน่ ๆ

การที่นายนพดล ไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมยกตัวปราสาทให้กัมพูชาฝ่ายเดียวไปขึ้นทะเบียน โดยไม่ผ่านมาตรา 190 เดิม เจตนาคืออะไร ?

ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์กระสันจะแก้มาตรา190 ?

ถ้ามาตรา 190 ฉบับใหม่ผ่านออกไปได้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จะมีสิทธิยกดินแดนรอบเขาพระวิหารโดยไม่ต้องผ่านสภา ซึ่งยังไม่อาจระบุแน่ชัดได้ว่า จะต้องเสียดินแดนรอบเขาพระวิหารมากขนาดไหน ไปให้กัมพูชาใช้เป็นพื้นที่ร่วมกันบริหารจัดการตามมติคณะกรรมการร่วมมรดกโลกแน่นอน

คลิกอ่าน นพดล ปัทมะ คือคนยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรไปตลอดกาล

------------------

คำแก้ตัวของท่านทูตวีระชัย

ท่านทูตวีระชับบอกว่า กัมพูชาไม่ได้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. 

ท่านพูดถูกแค่ครึ่งเดียวครับ เพราะศาลไม่ได้ตัดสินประเด็นนี้ จึงทำให้พื้นที่ 4.6 ตร.กม. จะยังคงเป็นปัญหาการตีความที่แตกต่างกันต่อไปของไทยกับกัมพูชา

ท่านทูตวีระชัยบอกว่า กัมพูชาไม่ได้ภูมะเขือ 

ท่านก็พูดถูกแค่ครึ่งเดียวครับ ศาลตัดสินว่า ภูมะเขือไม่ได้อยู่ในคำตัดสินเดิม แต่ศาลก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ภูมะเขือเป็นของชาติไหน

แต่ที่แน่ ๆ กัมพูชายึดครองภูมะเขือไปแล้ว

ท่านทูตวีระชัยบอกว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไม่ได้รวมอยู่ในคำตัดสิน 2505

ผมว่าท่านไปอ่านอีกรอบนะครับ ศาลบอกเองว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนคือสนธิสัญญาที่ไทยได้ยอมรับโดยอ้อมไปแล้ว

ท่านทูตวีระชัยบอกว่า ศาลโลก แนะนำให้ทั้ง 2 ประเทศ ร่วมมือกันดูแล เขาพระวิหาร ในฐานะที่เป็นมรดกโลก

นั่นก็คือเข้าทางกัมพูชา กัมพูชาจะได้พื้นที่รอบปราสาทเพิ่มเพื่อบริหารจัดการตามระเบียบของคณะกรรมการร่วมมรดกโลกอีก 7 ชาติ ซึ่งไทยก็แค่เป็น 1 ในคณะกรรมการร่วมเท่านั้น แต่มรดกโลกยังเป็นสิทธิของกัมพูชาฝ่ายเดียว

แล้วเวลาออกเสียงอะไร ไทยก็แค่เสียงเดียว ส่วนชาติอื่น ๆ เขาเข้าข้างกัมพูชาแน่นอน เพราะชาติเหล่านั้นได้เข้าไปเตรียมการหาผลประโยชน์ในกัมพูชาไว้แล้ว

-----------------

เชื่อผมรึยังว่า ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 ไปแล้วครับ

ฉะนั้น ไม่ควรเลยที่ไทยโดยนายนพดล ไปเซ็นยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว จนเกิดปัญหาบานปลายในวันนี้

สุดท้ายนี้ผมขอบอกว่า ตอนนี้ ฮุนเซ็น และ ฮอนัมฮง ได้ประกาศว่า ศาลโลกได้รับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาแล้ว ต่อไปหลายจังหวัดทางอีสานใต้ ก็จะเป็นปัญหาพิพาทต่อไป



คลิกอ่าน นพดล ปัทมะ คือคนยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรไปตลอดกาล


วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เมื่อจ่าประสิทธิ์ มีบางอย่างจะสอน เดียร์ ขัตติยา






บทความนี้ขอเล่าเรื่องด้วยภาพแล้วกันครับ











เชื่อมะ สุดท้าย เดียร์ ขัตติยา ก็ต้องทำตามที่จ่าประสิทธิ์สอนในที่สุด 5555




-----------------

ปิดท้ายด้วย เพลงชั่งแม่มัน

"เสื้อแดงจะเป็นจะตาย ก็ชั่งแม่มัน"

ขอให้กูได้เงินคืนก็พอ ใครจะเป็นจะตายก็ชั่งแม่มัน

หน้าแม่งโคตรเหี้ยจริง ๆ พ่ออีโอ๊คเนี่ย !!





คลิกอ่าน เดียร์ขัตติยา อย่าโง่อีกเลยยอมรับความจริงเถอะ